บุลินสะลึมสะลือ เผยอเปลือกตาขึ้นทีละน้อย ห้วงสมองมึนงง จับต้นชนปลายเรื่องราวไม่ถูก
เหลียวมองรอบกายถึงกับสะดุ้งเฮือก พบตนเองอยู่บนเรือเล็กลอยลำกลางมหานที เสื้อผ้า ร่างกาย ผมเผ้าซึ่งเดิมเปียกโชกแห้งสนิทแล้ว ไม่รู้ว่าสิ้นสติไปนานเท่าไหร่ ยิ่งไม่ทราบทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ แล้วเขี้ยววายุไปอยู่เสียที่ไหน รัตติกาลยังคลุมรอบกาย สายลมเยือกกระโชกปะทะจนร่างสั่นสะท้าน
ความทรงจำสุดท้ายเลอะเลือนสับสน เหตุการณ์ต่างๆ พลันประดังเข้าในห้วงความคิดอีกครั้ง คำถามมากมายทยอยผุดขึ้นโดยไม่อาจหาคำตอบ จำได้เพียงเลาๆ ว่าจู่ๆ บังเกิดเปลวอัคคี คลุมรอบรถศึกของขุนพลเฒ่าอัฒฑ์กลางมหานที ไอระอุพุ่งปะทะแผดเผาแสบร้อนราวนั่งกลางกองเพลิง...ยามนั้นบังเกิดอะไรขึ้นกันแน่...
เพลานี้ เหลียวมองบนเรือพบชายหนุ่มแต่งกายคล้ายลูกเรือของเฒ่าเวทิต และหญิงสาวผู้แอบขึ้นเรือมาสลบไสลสิ้นสติทั้งคู่ ยามนี้ค่อยเห็นใบหน้าหญิงสาวถนัดชัด อายุนางควรใกล้เคียงกับตน ผมสีน้ำตาลเข้มประต้นคอขับเน้นวงหน้ากระจ่าง ผิวนั้นคล้ำกว่าชาวแคว้นบูรพประเทศทั่วไป รูปหน้าเรียวรีคล้ายเป็นชาวแคว้นปัจฉิมประเทศ แม้มิได้สะสวยงามล้ำ ทว่าใบหน้านั้นกลับน่าดูอย่างยิ่ง เห็นเพียงครั้งก็มิอาจลืมเลือน
คิ้วเรียวทั้งคู่ขมวดมุ่นแม้ในยามสิ้นสติ ดุจกำลังกังวลครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา ช่างแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับริมฝีปากอิ่ม ประดับรอยยิ้มจางๆ ราวเจ้าของใบหน้าหมดจดอ่อนเยาว์ แย้มยิ้มสดใสอยู่เป็นนิจกระทั่งอยู่ในห้วงนิทรา ความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงสองประการ ไฉนปรากฏบนวงพักตร์เดียวกันได้
ชายหนุ่มอีกคนผู้ยังสิ้นสติ เส้นผมเป็นสีน้ำตาลแดง อันเป็นเอกลักษณ์ของชาวเมธาปุระ ใบหน้าขาวซีดจาง เมื่อเทียบกับชาวเมธาปุระอื่นๆ เค้าโครงหน้าจัดว่าคมคายไม่น้อย ควรอายุมากกว่าตนราวสามหรือสี่ปี ชายผู้นี้กระชากตนหลุดจากหลักแล้วเหวี่ยงขึ้นมาบนเรือเล็ก จากนั้นตนก็หมดสติไม่รู้สึกตัวกระทั่งบัดนี้
บุลินไม่อยากเชื่อเลยว่าชายหนุ่มคนนี้ จะมีเรี่ยวแรงกำลังกระชากตนหลุดจากหลัก แล้วเหวี่ยงโยนขึ้นมาอยู่บนเรือเล็กได้ ชายคนนี้ทำได้อย่างไรในเมื่อรูปร่างก็แทบเทียบเท่ากัน พละกำลังมหาศาลนั่นเกิดขึ้นได้มาอย่างไร ส่วนหญิงสาวผู้ยังสลบไสลคลับคล้ายคลับคลา จะกระโดดขึ้นเรือเล็กตามหลังมา แต่หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นล้วนจดจำไม่ได้
มายากรหนุ่มสะบัดใบหน้าแรงๆ หมายขับไล่อาการมึนงงวิงเวียน พยายามเรียกสัมปชัญญะกลับคืน แหงนหน้าขึ้นมองบนนภา ดาราส่องประกายระยิบระยับเฉกเช่นเดิม จันทรายังคงสาดแสงนวลกลางนภา
แต่นั่นอะไรกัน! จันทรามิได้เต็มดวง!
ขอบดวงจันทราเริ่มเว้าแหว่งเล็กน้อย แม้เป็นเพียงเล็กน้อย แต่จันทรามิได้เต็มดวงอย่างแน่นอน...
เกิดอะไรขึ้น...ค่ำคืนนี้จันทราเพิ่งเต็มดวงเป็นคืนแรกมิใช่หรือ!
กระแสเสียงทุ้มกังวาน ดังขึ้นข้างกาย
“เวลาล่วงมาสามราตรีแล้ว นับจากพวกเราผ่านห้วงดารานาถ”
เจ้าของสุ้มเสียงเป็นชายหนุ่ม ผู้ซึ่งบุลินเข้าใจว่าเป็นลูกเรือของเฒ่าเวทิต ไม่ทราบฟื้นคืนสติตั้งแต่เมื่อไหร่ ชายหนุ่มเหลียวสำรวจรอบข้างเพียงครู่ ก่อนเบนใบหน้ามาเผชิญสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามของบุลิน
มายากรหน้าตาตื่นตะลึง ฉงนฉงาย ได้แต่ส่ายหน้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อถือ
“เป็นไปไม่ได้ เขี้ยววายุเพิ่งผ่านห้วงดารานาถเมื่อครู่ เวลาจะผ่านมาสามวันแล้วได้อย่างไร แล้ว...ที่นี่ที่ไหน เราสามคนมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร”
นารทผู้ถูกเข้าใจว่าเป็นลูกเรือของเฒ่าเวทิต กล่าวตอบ
“เป็นไปได้ เพราะพวกเราสิ้นสติมาสามวันแล้ว”
“ไม่จริง!”
“เป็นความจริง ฌานเวทที่ไม่สมบูรณ์ของนาง...” ปรายสายตาฉงนฉงายไปยังหญิงสาวผู้ยังสิ้นสติ “ทำให้เราหลุดจากเขตเตโชฌานเวทของขุนพลอัฒฑ์ได้ก็จริง แต่...อาจเพราะนางใช้พลังเกินความสามารถที่มี ผลกระทบแห่งพลังเวทที่ไม่สมบูรณ์ ทำให้ทั้งนางและพวกเราที่ตกอยู่ในเขตเวทเดียวกันสลบไสลไปถึงสามวัน”
บุลินทะลึ่งตัวลุกพรวด หน้าตาแตกตื่น กล่าวตะกุกตะกัก
“นี่มันเรื่องอะไรกัน...ขุนพลเฒ่าอัฒฑ์หายสาบสูญไปสี่สิบเก้าปี ทำไมจู่ๆ จึงปรากฏตัวที่ห้วงดารานาถ แล้ว...นี่พวกเจ้าสองคนเป็นใครกัน เจ้า…เจ้ากล่าวถึงฌานเวท พวกเจ้า...ใช้ฌานเวทได้ด้วยหรือ!”
นารทมองประเมินอีกฝ่าย ชั่งใจชั่วครู่ ทอดถอนใจด้วยหาคำอธิบายใดไม่ได้ กระทั่งถึงยามนี้ยังไม่เข้าใจว่า เหตุใดนายเรือเฒ่าจึงต้องให้พาเจ้ามายากรหลบหนีมาด้วย
ผู้เฒ่าเวทิตมีจุดมุ่งหมายอันใด…บุคคลเช่นท่านไฉนจึงให้ความสำคัญกับมายากรหนุ่มผู้หนึ่ง…
เวลาดำเนินมาใกล้ครบกำหนด ‘ห้าสิบปี’ อีกครั้ง หรือท่านผู้เฒ่าตระเตรียมดำเนินแผนการใด!
“นารท...คือชื่อของข้า ตำแหน่งปัจจุบันคืออาลักษณ์แห่งหอสมุดเมธา”
“หา!” บุลินอุทานหน้าตาตื่น ตกตะลึงพรึงเพริด ท่าทีต่ออีกฝ่ายเปลี่ยนไปทันที กลายเป็นประหวั่นสงสัย ระคนนอบน้อมเกรงใจยิ่ง เพราะ ‘หอสมุดเมธา’ คือแหล่งรวบรวมสรรพตำราทั้งมวล ตั้งอยู่ภายในวิหารแห่งปราชญ์ ณ เมธาปุระ มีเพียงเหล่าปราชญ์และผู้ซึ่งได้รับอนุญาต จึงสามารถเข้าไปศึกษาหาความรู้ภายในหอสมุดได้
“ท่าน...ท่านนารท อย่างนั้นท่านก็เป็นปราชญ์ใช่หรือไม่ ต้องใช่สิ...ต้องเป็นปราชญ์ถึงดำรงตำแหน่งในหอสมุดเมธาได้ ข้า...ข้าขออภัย...”
แววสงสัยในดวงตาฉายไปยังหญิงสาวผู้ยังไม่ฟื้นคืนสติ
“ท่านผู้นี้ก็เป็นปราชญ์หรือ” เอ่ยออกไปค่อยรู้ตัวว่า ผิดเสียแล้วที่ถามเช่นนั้น หากหญิงสาวผู้นี้คือปราชญ์หญิงแห่งเมธาปุระ ย่อมไม่ลดตัวเข้าไปหลบซ่อนอยู่ในช่องเก็บสินค้าข้างกราบเรือ และไหนเลยจะยอมถูกมัดผูกติดกับหลัก
จริงดังคาด อาลักษณ์แห่งหอสมุดเมธาส่ายหน้า พลางปฏิเสธ
“ไม่ใช่ ข้าไม่รู้จักนาง”
ห้วงความคิดบุลินยังอึงอลงุนงง ไม่อาจจับต้นชนปลายเรื่องราวที่เกิดได้
“แล้วตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหน”
“เราควรอยู่ช่วงต้นมหานทีศศิกันทรา ฌานเวทของข้าไม่มีพลังพาพวกเราทั้งสามไปไกลเกินนี้ จากตำแหน่งนี้ถ้าเดินทางโดยเรือสินค้า คงใช้เวลาอีกกว่าหนึ่งอาทิตย์จึงจะถึงพุทธินครา”
บุลินยิ่งรับฟังยิ่งตะลึงพรึงเพริด ปริวิตกจนหน้าเสีย
“พวกเรามีเพียงเรือเล็กลำนี้ แม้กระแสน้ำกระแสลมแรงเพียงใด แต่อีกกี่สัปดาห์กว่าจะไปถึง ที่สำคัญน้ำหรืออาหารก็ไม่มี พวกเราจะประทังชีวิตกันอย่างไร”
ราวกับอาลักษณ์แห่งหอสมุดเมธา มิได้ใส่ใจปัญหาประดานั้นของบุลินแม้แต่น้อย ใบหน้าคล้ายเฉยเมยหันมองไปยังกลางมหานทีกว้าง แววล้ำลึกสุดหยั่งในดวงตาฉายประกายวูบ ดั่งค้นพบสิ่งใดในชั่วพริบตานั้น หากทว่าน้ำเสียงเรียบเฉยกลับเอ่ยไปอีกเรื่องหนึ่ง
“นางฟื้นแล้ว”
บุลินรีบขยับเข้าไปดูอาการหญิงสาว
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
หญิงสาวนามวาสิตา ขมวดคิ้วสับสนอยู่ครู่ใหญ่ สุ้มเสียงกังวานใส เอ่ยด้วยความงุนงง
“ข้า...ข้าไม่เป็นไร พวกเราอยู่ที่ไหน...”
นารทไม่ตอบคำถามของนาง หากยังคงเขม้นมองไกลในห้วงน้ำกว้าง
“เรือลำหนึ่งกำลังใกล้เข้ามา...เรือขนาดใหญ่กำลังมุ่งตรงมาทางนี้”
ทั้งสามหันไปมองทางเดียวดุจนัดกันไว้ บุลินยังมองไม่เห็นสิ่งใด แต่วาสิตาเอ่ยน้ำเสียงวิตก
“ท่านแน่ใจหรือว่าจะอาศัยโดยสารเรือลำนี้ นี่มัน...”
นารทเองก็ขมวดคิ้ว คล้ายเพิ่งตระหนักถึงบางสิ่งซึ่งคาดไม่ถึงเช่นกัน หากยังกล่าวว่า
“ลองดูลาดเลาก่อน ค่อยตัดสินใจเถอะ”
บุลินสลับมองหน้านารทกับวาสิตา ด้วยไม่เข้าใจว่าทั้งสองกล่าวถึงเรื่องอะไร
“ทำไมล่ะ เรือลำนั้นมีปัญหาอะไรหรือ”
วาสิตาทอดถอนใจ กล่าวว่า
“เรือขนาดใหญ่ที่กำลังมุ่งหน้าตรงมาหาเรา...เป็นเรือรบ”
บุลินสะดุ้งเฮือก แม้สงสัยใคร่รู้ว่าคนทั้งสองรู้ได้อย่างไร แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากถาม เพราะคิดได้ว่าทั้งสองเป็นผู้ใช้ฌานเวทย่อมต้องรู้ดีกว่าตนแน่ๆ ตอนนี้เหม่อมองไปกลางมหานทีก็ยังไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น
หญิงสาวหันมาเอ่ยกับบุลิน
“ข้าชื่อวาสิตา ข้าได้ยินท่านผู้เฒ่าเรียกท่านว่าบุลิน”
มายากรหนุ่มยิ้มรับ แววสงสัยใคร่รู้เปี่ยมใบหน้า
“ท่านนารทบอกว่า เจ้าใช้ฌานเวทนำพวกเราหลุดจากเขตเวทของขุนพลอัฒฑ์ เจ้าที่แท้เป็นใครกัน”
วาสิตาเผยยิ้มน้อยๆ นิ่งไม่ตอบคำถาม
นารทยังเขม้นมองกลางห้วงน้ำอย่างใช้ความคิด เตือนทั้งสองว่า
“เว้นการสนทนาไว้สักครู่เถอะ”
บุลินกับวาสิตาต่างรับคำ มายากรหนุ่มย่อมไม่รู้เหตุผล ทว่าเพราะนารทผู้เป็นปราชญ์ บอกเช่นนั้นจึงกระทำตาม สำหรับวาสิตาย่อมทราบความหมายในคำเตือนนั้น เพราะหญิงสาวก็รับรู้กระแสจิตอ่อนๆ จากเรือซึ่งกำลังมุ่งหน้ามา
กระแสพลังนี้สำรวจตรวจสอบทุกสรรพสิ่งเบื้องหน้าเรือลำนั้น ดุจดั่งเป็นนัยน์ตา โสต นาสิก แจ้งทุกเรื่องราวแก่ผู้เป็นเจ้าของ ไม่เว้นกระทั่งการดำรงอยู่และกระแสพลังของพวกตนทั้งสาม
กระแสพลังจิตที่พุ่งแผ่กระทบนี้อ่อนจาง เนื่องเพราะผู้เป็นเจ้าของยังอยู่ห่างไกลโข แต่หากได้คิดว่าแม้อยู่ห่างไกลเพียงนี้ ยังสามารถแผ่กระแสจิตสำรวจตรวจสอบสรรพสิ่ง นับว่าเจ้าของกระแสพลังผู้อยู่บนเรือ ย่อมมีความสำเร็จในฌานเวทขั้นสูง นับไปนับมาผู้มีฌานเวทขั้นนี้มีอยู่ไม่มาก ไม่รู้ว่าอีกสักครู่ต้องเผชิญกับผู้ใด
ทั้งสามรอคอยอย่างสงบมิได้เอ่ยสิ่งใดอีก จันทราค่อยเคลื่อนผ่านนภากำลังจะตกสู่มหานทีกว้างใหญ่ อีกไม่กี่ชั่วยามพระสุริยาทิตย์จะทรงราชรถพ้นจากขอบฟ้า กระแสลมยิ่งเยียบเย็นแทบบาดผิวหนัง ทว่าจิตใจของผู้อยู่บนเรือเล็กทั้งสามกลับร้อนรุ่มด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน
ทันใด กลางมหานทีเบื้องหลังเรือลำเล็ก บังเกิดเสียงสายลมตีปะทะใบเรือขนาดใหญ่ แว่วกระทบโสตทั้งสามถนัดชัด ไม่นานนักเรือลำใหญ่ซึ่งมุ่งตรงมาก็ปรากฏแก่สายตา นั่นเป็นเรือรบขนาดใหญ่ ลำเรือใหญ่กว่าเขี้ยววายุกว่าหนึ่งเท่า!
ธงประจำเรือโบกสะบัดโต้กระแสลมแรง พื้นธงสีแดงดั่งเปลวเพลิง ตัดกับสัญลักษณ์คมศรสีทองบนผืนธง บ่งบอกชัดโดยไม่ต้องการคำอธิบายใด เรือลำนี้เป็นของกษมปราการ เมืองเอกแห่งแคว้นทักษิณาประเทศ!
ไม่เพียงเท่านั้น ธงอีกผืนซึ่งโบกสะบัดเคียงข้าง ผืนธงทอประกายสีทองแวววาว ตรงกลางปรากฏสัญลักษณ์รูปมงกุฏสีแดงเพลิง ประดับเหนือคมศรคู่สีขาว บ่งบอกฐานะของผู้ประทับบนเรือ นั่นเป็นตราประจำตัวของประธานผู้สำเร็จราชการแห่งแคว้นทักษิณาประเทศ!
วาสิตาสะดุ้งเฮือกถึงกับอุทานออกมา แต่นารทกลับมีสีหน้าปีติยินดี และยังไม่ทันที่ทั้งสามจะเอ่ยปากสิ่งใด เหล่าทหารองครักษ์ประจำบนเรือของกษมปรากการ ต่างส่งเสียงรายงานตะโกนโหวกเหวก ทั้งหมดเห็นเรือเล็กที่ลอยอยู่เบื้องหน้า กำลังตระเตรียมนำผู้อยู่บนเรือขึ้นเรือของตน
บัดนั้น คล้ายบังเกิดเสียงหัวร่อแว่วแผ่วเบา ดังจากบนเรือรบเบื้องหน้า กระแสเสียงนั่นปีติยินดียิ่ง
ทันใด วาสิตากับนารทสะดุ้งเฮือกขึ้นทั้งร่าง!
วาสิตาขมวดคิ้วมุ่น นิ่งขรึมไม่เอ่ยสิ่งใด
ทว่าสีหน้าของนารท ปรากฏแววยินดีเด่นชัด
“โชคเข้าข้างพวกเราแล้ว”
สิ้นประโยค เรือเล็กค่อยๆ เคลื่อนเข้าหาเรือรบลำใหญ่ วาสิตาแม้มีสีหน้าเคร่งขรึมหากท่าทียังเป็นปกติ บุลินทั้งตื่นเต้นทั้งยินดี ไหนเลยคาดคิดว่าจะได้มีโอกาส ขึ้นบนเรือรบของกษมปราการเจ้าแห่งมหานที ผู้มีกองเรือรบอันยิ่งใหญ่และทรงประสิทธิภาพที่สุดในสี่แคว้น
มายากรหนุ่มมัวแต่กระหยิ่มยินดี กลับไม่ได้สังเกตหรือเฉลียวใจฉุกคิดเลยว่า เรือเล็กกำลังเคลื่อนที่ต้านทั้งกระแสลมและกระแสน้ำ มุ่งตรงเข้าหาเรือรบด้วยความเร็วที่ไม่น่าเป็นไปได้ เพียงอึดใจเดียวก็เข้าเทียบข้างเรือใหญ่
วาสิตากลับชำเลืองมองนารทด้วยสายตาเลื่อมใส ไม่บ่อยครั้งที่นางบังเกิดความรู้สึกเช่นนี้ ต่อผู้มีอายุสูงวัยกว่านางไม่มาก เพราะนางภาคภูมิใจในความสำเร็จของตนเป็นที่ยิ่ง ด้วยรู้ดีว่าผู้อายุไล่เลี่ยใกล้เคียงกัน แทบไม่มีใครเรียนรู้ฌานเวทขั้นสูงเฉกเช่นนางได้
ทว่านับจากขึ้นบนนาวาเขี้ยววายุ นางตระหนักในฌานเวทของนารท ผู้สำเร็จขั้นเมธาปราชญ์แห่งเมธาปุระหลายต่อหลายครั้งครา ฤทธาแห่งฌานเวทนั้นแทบมิใช่เมธาปราชญ์แล้ว หากกำลังเข้าสู่ขั้นมหาปราชญ์แทบจะสำเร็จในเร็ววัน ด้วยอายุที่มากกว่านางเพียงสองหรือสามปี นับเป็นความสำเร็จที่ไม่น่าเชื่อจริงๆ
เหล่าทหารนักรบบนเรือลำใหญ่ ล้วนสังเกตเห็นการเคลื่อนที่อันผิดปกติของเรือเล็กเช่นกัน บ้างแตกตื่นฮือฮา บ้างซุบซิบสุ้มเสียงอื้ออึง แต่ทั้งหมดเตรียมการพร้อมสรรพอยู่ก่อน โยนบ่วงเชือกช่วยเหลือทั้งสามขึ้นบนเรือใหญ่ในชั่วอึดใจ
เหมันต์จันทร์ธารา บทที่ 4. ปริศนากลางมหานที
เหลียวมองรอบกายถึงกับสะดุ้งเฮือก พบตนเองอยู่บนเรือเล็กลอยลำกลางมหานที เสื้อผ้า ร่างกาย ผมเผ้าซึ่งเดิมเปียกโชกแห้งสนิทแล้ว ไม่รู้ว่าสิ้นสติไปนานเท่าไหร่ ยิ่งไม่ทราบทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ แล้วเขี้ยววายุไปอยู่เสียที่ไหน รัตติกาลยังคลุมรอบกาย สายลมเยือกกระโชกปะทะจนร่างสั่นสะท้าน
ความทรงจำสุดท้ายเลอะเลือนสับสน เหตุการณ์ต่างๆ พลันประดังเข้าในห้วงความคิดอีกครั้ง คำถามมากมายทยอยผุดขึ้นโดยไม่อาจหาคำตอบ จำได้เพียงเลาๆ ว่าจู่ๆ บังเกิดเปลวอัคคี คลุมรอบรถศึกของขุนพลเฒ่าอัฒฑ์กลางมหานที ไอระอุพุ่งปะทะแผดเผาแสบร้อนราวนั่งกลางกองเพลิง...ยามนั้นบังเกิดอะไรขึ้นกันแน่...
เพลานี้ เหลียวมองบนเรือพบชายหนุ่มแต่งกายคล้ายลูกเรือของเฒ่าเวทิต และหญิงสาวผู้แอบขึ้นเรือมาสลบไสลสิ้นสติทั้งคู่ ยามนี้ค่อยเห็นใบหน้าหญิงสาวถนัดชัด อายุนางควรใกล้เคียงกับตน ผมสีน้ำตาลเข้มประต้นคอขับเน้นวงหน้ากระจ่าง ผิวนั้นคล้ำกว่าชาวแคว้นบูรพประเทศทั่วไป รูปหน้าเรียวรีคล้ายเป็นชาวแคว้นปัจฉิมประเทศ แม้มิได้สะสวยงามล้ำ ทว่าใบหน้านั้นกลับน่าดูอย่างยิ่ง เห็นเพียงครั้งก็มิอาจลืมเลือน
คิ้วเรียวทั้งคู่ขมวดมุ่นแม้ในยามสิ้นสติ ดุจกำลังกังวลครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา ช่างแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับริมฝีปากอิ่ม ประดับรอยยิ้มจางๆ ราวเจ้าของใบหน้าหมดจดอ่อนเยาว์ แย้มยิ้มสดใสอยู่เป็นนิจกระทั่งอยู่ในห้วงนิทรา ความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงสองประการ ไฉนปรากฏบนวงพักตร์เดียวกันได้
ชายหนุ่มอีกคนผู้ยังสิ้นสติ เส้นผมเป็นสีน้ำตาลแดง อันเป็นเอกลักษณ์ของชาวเมธาปุระ ใบหน้าขาวซีดจาง เมื่อเทียบกับชาวเมธาปุระอื่นๆ เค้าโครงหน้าจัดว่าคมคายไม่น้อย ควรอายุมากกว่าตนราวสามหรือสี่ปี ชายผู้นี้กระชากตนหลุดจากหลักแล้วเหวี่ยงขึ้นมาบนเรือเล็ก จากนั้นตนก็หมดสติไม่รู้สึกตัวกระทั่งบัดนี้
บุลินไม่อยากเชื่อเลยว่าชายหนุ่มคนนี้ จะมีเรี่ยวแรงกำลังกระชากตนหลุดจากหลัก แล้วเหวี่ยงโยนขึ้นมาอยู่บนเรือเล็กได้ ชายคนนี้ทำได้อย่างไรในเมื่อรูปร่างก็แทบเทียบเท่ากัน พละกำลังมหาศาลนั่นเกิดขึ้นได้มาอย่างไร ส่วนหญิงสาวผู้ยังสลบไสลคลับคล้ายคลับคลา จะกระโดดขึ้นเรือเล็กตามหลังมา แต่หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นล้วนจดจำไม่ได้
มายากรหนุ่มสะบัดใบหน้าแรงๆ หมายขับไล่อาการมึนงงวิงเวียน พยายามเรียกสัมปชัญญะกลับคืน แหงนหน้าขึ้นมองบนนภา ดาราส่องประกายระยิบระยับเฉกเช่นเดิม จันทรายังคงสาดแสงนวลกลางนภา
แต่นั่นอะไรกัน! จันทรามิได้เต็มดวง!
ขอบดวงจันทราเริ่มเว้าแหว่งเล็กน้อย แม้เป็นเพียงเล็กน้อย แต่จันทรามิได้เต็มดวงอย่างแน่นอน...
เกิดอะไรขึ้น...ค่ำคืนนี้จันทราเพิ่งเต็มดวงเป็นคืนแรกมิใช่หรือ!
กระแสเสียงทุ้มกังวาน ดังขึ้นข้างกาย
“เวลาล่วงมาสามราตรีแล้ว นับจากพวกเราผ่านห้วงดารานาถ”
เจ้าของสุ้มเสียงเป็นชายหนุ่ม ผู้ซึ่งบุลินเข้าใจว่าเป็นลูกเรือของเฒ่าเวทิต ไม่ทราบฟื้นคืนสติตั้งแต่เมื่อไหร่ ชายหนุ่มเหลียวสำรวจรอบข้างเพียงครู่ ก่อนเบนใบหน้ามาเผชิญสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามของบุลิน
มายากรหน้าตาตื่นตะลึง ฉงนฉงาย ได้แต่ส่ายหน้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อถือ
“เป็นไปไม่ได้ เขี้ยววายุเพิ่งผ่านห้วงดารานาถเมื่อครู่ เวลาจะผ่านมาสามวันแล้วได้อย่างไร แล้ว...ที่นี่ที่ไหน เราสามคนมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร”
นารทผู้ถูกเข้าใจว่าเป็นลูกเรือของเฒ่าเวทิต กล่าวตอบ
“เป็นไปได้ เพราะพวกเราสิ้นสติมาสามวันแล้ว”
“ไม่จริง!”
“เป็นความจริง ฌานเวทที่ไม่สมบูรณ์ของนาง...” ปรายสายตาฉงนฉงายไปยังหญิงสาวผู้ยังสิ้นสติ “ทำให้เราหลุดจากเขตเตโชฌานเวทของขุนพลอัฒฑ์ได้ก็จริง แต่...อาจเพราะนางใช้พลังเกินความสามารถที่มี ผลกระทบแห่งพลังเวทที่ไม่สมบูรณ์ ทำให้ทั้งนางและพวกเราที่ตกอยู่ในเขตเวทเดียวกันสลบไสลไปถึงสามวัน”
บุลินทะลึ่งตัวลุกพรวด หน้าตาแตกตื่น กล่าวตะกุกตะกัก
“นี่มันเรื่องอะไรกัน...ขุนพลเฒ่าอัฒฑ์หายสาบสูญไปสี่สิบเก้าปี ทำไมจู่ๆ จึงปรากฏตัวที่ห้วงดารานาถ แล้ว...นี่พวกเจ้าสองคนเป็นใครกัน เจ้า…เจ้ากล่าวถึงฌานเวท พวกเจ้า...ใช้ฌานเวทได้ด้วยหรือ!”
นารทมองประเมินอีกฝ่าย ชั่งใจชั่วครู่ ทอดถอนใจด้วยหาคำอธิบายใดไม่ได้ กระทั่งถึงยามนี้ยังไม่เข้าใจว่า เหตุใดนายเรือเฒ่าจึงต้องให้พาเจ้ามายากรหลบหนีมาด้วย
ผู้เฒ่าเวทิตมีจุดมุ่งหมายอันใด…บุคคลเช่นท่านไฉนจึงให้ความสำคัญกับมายากรหนุ่มผู้หนึ่ง…
เวลาดำเนินมาใกล้ครบกำหนด ‘ห้าสิบปี’ อีกครั้ง หรือท่านผู้เฒ่าตระเตรียมดำเนินแผนการใด!
“นารท...คือชื่อของข้า ตำแหน่งปัจจุบันคืออาลักษณ์แห่งหอสมุดเมธา”
“หา!” บุลินอุทานหน้าตาตื่น ตกตะลึงพรึงเพริด ท่าทีต่ออีกฝ่ายเปลี่ยนไปทันที กลายเป็นประหวั่นสงสัย ระคนนอบน้อมเกรงใจยิ่ง เพราะ ‘หอสมุดเมธา’ คือแหล่งรวบรวมสรรพตำราทั้งมวล ตั้งอยู่ภายในวิหารแห่งปราชญ์ ณ เมธาปุระ มีเพียงเหล่าปราชญ์และผู้ซึ่งได้รับอนุญาต จึงสามารถเข้าไปศึกษาหาความรู้ภายในหอสมุดได้
“ท่าน...ท่านนารท อย่างนั้นท่านก็เป็นปราชญ์ใช่หรือไม่ ต้องใช่สิ...ต้องเป็นปราชญ์ถึงดำรงตำแหน่งในหอสมุดเมธาได้ ข้า...ข้าขออภัย...”
แววสงสัยในดวงตาฉายไปยังหญิงสาวผู้ยังไม่ฟื้นคืนสติ
“ท่านผู้นี้ก็เป็นปราชญ์หรือ” เอ่ยออกไปค่อยรู้ตัวว่า ผิดเสียแล้วที่ถามเช่นนั้น หากหญิงสาวผู้นี้คือปราชญ์หญิงแห่งเมธาปุระ ย่อมไม่ลดตัวเข้าไปหลบซ่อนอยู่ในช่องเก็บสินค้าข้างกราบเรือ และไหนเลยจะยอมถูกมัดผูกติดกับหลัก
จริงดังคาด อาลักษณ์แห่งหอสมุดเมธาส่ายหน้า พลางปฏิเสธ
“ไม่ใช่ ข้าไม่รู้จักนาง”
ห้วงความคิดบุลินยังอึงอลงุนงง ไม่อาจจับต้นชนปลายเรื่องราวที่เกิดได้
“แล้วตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหน”
“เราควรอยู่ช่วงต้นมหานทีศศิกันทรา ฌานเวทของข้าไม่มีพลังพาพวกเราทั้งสามไปไกลเกินนี้ จากตำแหน่งนี้ถ้าเดินทางโดยเรือสินค้า คงใช้เวลาอีกกว่าหนึ่งอาทิตย์จึงจะถึงพุทธินครา”
บุลินยิ่งรับฟังยิ่งตะลึงพรึงเพริด ปริวิตกจนหน้าเสีย
“พวกเรามีเพียงเรือเล็กลำนี้ แม้กระแสน้ำกระแสลมแรงเพียงใด แต่อีกกี่สัปดาห์กว่าจะไปถึง ที่สำคัญน้ำหรืออาหารก็ไม่มี พวกเราจะประทังชีวิตกันอย่างไร”
ราวกับอาลักษณ์แห่งหอสมุดเมธา มิได้ใส่ใจปัญหาประดานั้นของบุลินแม้แต่น้อย ใบหน้าคล้ายเฉยเมยหันมองไปยังกลางมหานทีกว้าง แววล้ำลึกสุดหยั่งในดวงตาฉายประกายวูบ ดั่งค้นพบสิ่งใดในชั่วพริบตานั้น หากทว่าน้ำเสียงเรียบเฉยกลับเอ่ยไปอีกเรื่องหนึ่ง
“นางฟื้นแล้ว”
บุลินรีบขยับเข้าไปดูอาการหญิงสาว
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
หญิงสาวนามวาสิตา ขมวดคิ้วสับสนอยู่ครู่ใหญ่ สุ้มเสียงกังวานใส เอ่ยด้วยความงุนงง
“ข้า...ข้าไม่เป็นไร พวกเราอยู่ที่ไหน...”
นารทไม่ตอบคำถามของนาง หากยังคงเขม้นมองไกลในห้วงน้ำกว้าง
“เรือลำหนึ่งกำลังใกล้เข้ามา...เรือขนาดใหญ่กำลังมุ่งตรงมาทางนี้”
ทั้งสามหันไปมองทางเดียวดุจนัดกันไว้ บุลินยังมองไม่เห็นสิ่งใด แต่วาสิตาเอ่ยน้ำเสียงวิตก
“ท่านแน่ใจหรือว่าจะอาศัยโดยสารเรือลำนี้ นี่มัน...”
นารทเองก็ขมวดคิ้ว คล้ายเพิ่งตระหนักถึงบางสิ่งซึ่งคาดไม่ถึงเช่นกัน หากยังกล่าวว่า
“ลองดูลาดเลาก่อน ค่อยตัดสินใจเถอะ”
บุลินสลับมองหน้านารทกับวาสิตา ด้วยไม่เข้าใจว่าทั้งสองกล่าวถึงเรื่องอะไร
“ทำไมล่ะ เรือลำนั้นมีปัญหาอะไรหรือ”
วาสิตาทอดถอนใจ กล่าวว่า
“เรือขนาดใหญ่ที่กำลังมุ่งหน้าตรงมาหาเรา...เป็นเรือรบ”
บุลินสะดุ้งเฮือก แม้สงสัยใคร่รู้ว่าคนทั้งสองรู้ได้อย่างไร แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากถาม เพราะคิดได้ว่าทั้งสองเป็นผู้ใช้ฌานเวทย่อมต้องรู้ดีกว่าตนแน่ๆ ตอนนี้เหม่อมองไปกลางมหานทีก็ยังไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น
หญิงสาวหันมาเอ่ยกับบุลิน
“ข้าชื่อวาสิตา ข้าได้ยินท่านผู้เฒ่าเรียกท่านว่าบุลิน”
มายากรหนุ่มยิ้มรับ แววสงสัยใคร่รู้เปี่ยมใบหน้า
“ท่านนารทบอกว่า เจ้าใช้ฌานเวทนำพวกเราหลุดจากเขตเวทของขุนพลอัฒฑ์ เจ้าที่แท้เป็นใครกัน”
วาสิตาเผยยิ้มน้อยๆ นิ่งไม่ตอบคำถาม
นารทยังเขม้นมองกลางห้วงน้ำอย่างใช้ความคิด เตือนทั้งสองว่า
“เว้นการสนทนาไว้สักครู่เถอะ”
บุลินกับวาสิตาต่างรับคำ มายากรหนุ่มย่อมไม่รู้เหตุผล ทว่าเพราะนารทผู้เป็นปราชญ์ บอกเช่นนั้นจึงกระทำตาม สำหรับวาสิตาย่อมทราบความหมายในคำเตือนนั้น เพราะหญิงสาวก็รับรู้กระแสจิตอ่อนๆ จากเรือซึ่งกำลังมุ่งหน้ามา
กระแสพลังนี้สำรวจตรวจสอบทุกสรรพสิ่งเบื้องหน้าเรือลำนั้น ดุจดั่งเป็นนัยน์ตา โสต นาสิก แจ้งทุกเรื่องราวแก่ผู้เป็นเจ้าของ ไม่เว้นกระทั่งการดำรงอยู่และกระแสพลังของพวกตนทั้งสาม
กระแสพลังจิตที่พุ่งแผ่กระทบนี้อ่อนจาง เนื่องเพราะผู้เป็นเจ้าของยังอยู่ห่างไกลโข แต่หากได้คิดว่าแม้อยู่ห่างไกลเพียงนี้ ยังสามารถแผ่กระแสจิตสำรวจตรวจสอบสรรพสิ่ง นับว่าเจ้าของกระแสพลังผู้อยู่บนเรือ ย่อมมีความสำเร็จในฌานเวทขั้นสูง นับไปนับมาผู้มีฌานเวทขั้นนี้มีอยู่ไม่มาก ไม่รู้ว่าอีกสักครู่ต้องเผชิญกับผู้ใด
ทั้งสามรอคอยอย่างสงบมิได้เอ่ยสิ่งใดอีก จันทราค่อยเคลื่อนผ่านนภากำลังจะตกสู่มหานทีกว้างใหญ่ อีกไม่กี่ชั่วยามพระสุริยาทิตย์จะทรงราชรถพ้นจากขอบฟ้า กระแสลมยิ่งเยียบเย็นแทบบาดผิวหนัง ทว่าจิตใจของผู้อยู่บนเรือเล็กทั้งสามกลับร้อนรุ่มด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน
ทันใด กลางมหานทีเบื้องหลังเรือลำเล็ก บังเกิดเสียงสายลมตีปะทะใบเรือขนาดใหญ่ แว่วกระทบโสตทั้งสามถนัดชัด ไม่นานนักเรือลำใหญ่ซึ่งมุ่งตรงมาก็ปรากฏแก่สายตา นั่นเป็นเรือรบขนาดใหญ่ ลำเรือใหญ่กว่าเขี้ยววายุกว่าหนึ่งเท่า!
ธงประจำเรือโบกสะบัดโต้กระแสลมแรง พื้นธงสีแดงดั่งเปลวเพลิง ตัดกับสัญลักษณ์คมศรสีทองบนผืนธง บ่งบอกชัดโดยไม่ต้องการคำอธิบายใด เรือลำนี้เป็นของกษมปราการ เมืองเอกแห่งแคว้นทักษิณาประเทศ!
ไม่เพียงเท่านั้น ธงอีกผืนซึ่งโบกสะบัดเคียงข้าง ผืนธงทอประกายสีทองแวววาว ตรงกลางปรากฏสัญลักษณ์รูปมงกุฏสีแดงเพลิง ประดับเหนือคมศรคู่สีขาว บ่งบอกฐานะของผู้ประทับบนเรือ นั่นเป็นตราประจำตัวของประธานผู้สำเร็จราชการแห่งแคว้นทักษิณาประเทศ!
วาสิตาสะดุ้งเฮือกถึงกับอุทานออกมา แต่นารทกลับมีสีหน้าปีติยินดี และยังไม่ทันที่ทั้งสามจะเอ่ยปากสิ่งใด เหล่าทหารองครักษ์ประจำบนเรือของกษมปรากการ ต่างส่งเสียงรายงานตะโกนโหวกเหวก ทั้งหมดเห็นเรือเล็กที่ลอยอยู่เบื้องหน้า กำลังตระเตรียมนำผู้อยู่บนเรือขึ้นเรือของตน
บัดนั้น คล้ายบังเกิดเสียงหัวร่อแว่วแผ่วเบา ดังจากบนเรือรบเบื้องหน้า กระแสเสียงนั่นปีติยินดียิ่ง
ทันใด วาสิตากับนารทสะดุ้งเฮือกขึ้นทั้งร่าง!
วาสิตาขมวดคิ้วมุ่น นิ่งขรึมไม่เอ่ยสิ่งใด
ทว่าสีหน้าของนารท ปรากฏแววยินดีเด่นชัด
“โชคเข้าข้างพวกเราแล้ว”
สิ้นประโยค เรือเล็กค่อยๆ เคลื่อนเข้าหาเรือรบลำใหญ่ วาสิตาแม้มีสีหน้าเคร่งขรึมหากท่าทียังเป็นปกติ บุลินทั้งตื่นเต้นทั้งยินดี ไหนเลยคาดคิดว่าจะได้มีโอกาส ขึ้นบนเรือรบของกษมปราการเจ้าแห่งมหานที ผู้มีกองเรือรบอันยิ่งใหญ่และทรงประสิทธิภาพที่สุดในสี่แคว้น
มายากรหนุ่มมัวแต่กระหยิ่มยินดี กลับไม่ได้สังเกตหรือเฉลียวใจฉุกคิดเลยว่า เรือเล็กกำลังเคลื่อนที่ต้านทั้งกระแสลมและกระแสน้ำ มุ่งตรงเข้าหาเรือรบด้วยความเร็วที่ไม่น่าเป็นไปได้ เพียงอึดใจเดียวก็เข้าเทียบข้างเรือใหญ่
วาสิตากลับชำเลืองมองนารทด้วยสายตาเลื่อมใส ไม่บ่อยครั้งที่นางบังเกิดความรู้สึกเช่นนี้ ต่อผู้มีอายุสูงวัยกว่านางไม่มาก เพราะนางภาคภูมิใจในความสำเร็จของตนเป็นที่ยิ่ง ด้วยรู้ดีว่าผู้อายุไล่เลี่ยใกล้เคียงกัน แทบไม่มีใครเรียนรู้ฌานเวทขั้นสูงเฉกเช่นนางได้
ทว่านับจากขึ้นบนนาวาเขี้ยววายุ นางตระหนักในฌานเวทของนารท ผู้สำเร็จขั้นเมธาปราชญ์แห่งเมธาปุระหลายต่อหลายครั้งครา ฤทธาแห่งฌานเวทนั้นแทบมิใช่เมธาปราชญ์แล้ว หากกำลังเข้าสู่ขั้นมหาปราชญ์แทบจะสำเร็จในเร็ววัน ด้วยอายุที่มากกว่านางเพียงสองหรือสามปี นับเป็นความสำเร็จที่ไม่น่าเชื่อจริงๆ
เหล่าทหารนักรบบนเรือลำใหญ่ ล้วนสังเกตเห็นการเคลื่อนที่อันผิดปกติของเรือเล็กเช่นกัน บ้างแตกตื่นฮือฮา บ้างซุบซิบสุ้มเสียงอื้ออึง แต่ทั้งหมดเตรียมการพร้อมสรรพอยู่ก่อน โยนบ่วงเชือกช่วยเหลือทั้งสามขึ้นบนเรือใหญ่ในชั่วอึดใจ