เหมันต์จันทร์ธารา บทที่ 7. ปริศนาแห่งน้ำโสม

กระทู้สนทนา
บุลินลืมตาตื่นขึ้น เลิกลั่กเหลียวซ้ายแลขวา ตะลึงงันงงงวย แลตื่นตระหนกต่อสรรพสิ่งรอบข้าง แทบกระโดดลุกขึ้นจากเตียงในทันใด

มายากรหนุ่มอยู่เพียงลำพัง ภายในห้องสี่เหลี่ยมแคบยาว ผนังทุกด้านรวมทั้งพื้นและเพดาน ล้วนก่อจากศิลาแข็งแกร่ง แม้มิได้แตะต้องสัมผัส หากยังรับรู้ถึงพื้นผิวอันเย็นยะเยียบยิ่ง คล้ายดั่งผลึกน้ำแข็งเกล็ดหิมะก็มิปาน

ทั้งห้องมีเพียงเตียงแคบยาว วางชิดติดผนังด้านหนึ่ง ผนังฝั่งตรงข้ามตั้งโต๊ะเล็กๆ กับเก้าอี้ไม้อย่างละหนึ่งตัว บนโต๊ะวางเชิงเทียนทรงสูง เทียนไขหลายเล่มวางบนนั้น แต่มีเพียงเล่มเดียวถูกจุดทิ้งไว้ เปลวไฟสงบนิ่งไม่วูบไหว หากกำลังกลืนกินตัวเองอย่างเชื่องช้า

ผนังอีกสองด้านที่เหลือ ฟากหนึ่งคือประตูห้อง อีกฟากเป็นช่องหน้าต่างขนาดใหญ่ ทว่าอยู่สูงจากพื้นแทบประชิดติดเพดาน แสงแห่งราตรีสาดส่องจากช่องกว้าง บ่งบอกว่ายามนี้รัตติกาลยังครองผืนพิภพ

วูบนั้น บุลินสะดุ้งเฮือก ฉุกคิดขึ้น…ที่นี่คือห้องขัง!

ไม่ผิดแน่! จะเป็นสถานที่อื่นไปได้อย่างไร!

ชายหนุ่มดั่งหมดสิ้นเรี่ยวแรง ทรุดนั่งกับพื้นอย่างสิ้นหวัง ปริ่มจะร่ำไห้เสียให้ได้ อุตส่าห์เสียแรงแต่งเรื่อง กระทั่งทำให้เจ้าฟ้าหญิงองค์นั้นทรงเชื่อ ที่สุดกลับมิอาจรอดพ้นชะตากรรม ถูกจับตัวนำมากุมขังจนได้

นารทกับวาสิตาล่ะ…

เวลานี้ทั้งสองคนอยู่ที่ไหน ใช่ถูกกุมขังอยู่ที่นี่ เฉกเช่นเดียวกันหรือไม่

บุกรุกเข้าเขตพระราชอุทยาน…โทษจะหนักหนาขนาดไหน

คง…คงไม่ใช่โทษประหารกระมัง!

ประหาร! คำนี้เพียงแวบขึ้นในห้วงสมอง ร่างผอมบางที่คล้ายสิ้นเรี่ยวแรง พลันกระโดดลุกขึ้นจากพื้น ความคิดหลบหนีแล่นเร็วรี่ ผลุนผลันกระโจนไปยังประตูห้อง แต่ก่อนถึงเป้าหมายเพียงก้าวเดียว กลับผงะร่างถอยห่างด้วยคิดได้ว่า

‘ประตูย่อมต้องถูกใส่กุญแจไว้’

บุลินหน้านิ่วเคร่งเครียด ถอยหลังกลับมาครุ่นคิด หันรีหันขวางเดินไปมาทั่วห้อง พลันอุทานออกมา เงยหน้าเขม้นมองช่องหน้าต่างบานใหญ่สูงเกือบติดเพดาน

เงาแสงแห่งราตรีซึ่งสาดส่องจากช่องกว้าง ตกกระทบบนพื้นห้องปรากฏฉายชัด เงานั้นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ช่องหน้าต่างสูงลิบเปิดโล่งไม่มีโครงเหล็ก หรือสิ่งใดเป็นเครื่องกีดกั้นทั้งสิ้น

ขอเพียงปีนขึ้นไปถึง อาจพบหนทางหลบหนี แต่ช่องนี้อยู่สูงจากพื้นเหลือเกิน ทั้งเขย่ง ทั้งกระโดดสุดตัว ทำอย่างไรสองมือก็ยังเอื้อมเกาะไม่ถึงขอบ

ทันใด สายตาเหลือบไปเห็นเก้าอี้ข้างโต๊ะ มายากรหนุ่มไม่รีรอ รีบยกมาวางใต้หน้าต่าง ปีนขึ้นไปยืน สองแขนทั้งเอื้อม ทั้งเขย่งสุดปลายมือ ทั้งย่อตัวงอขา ออกแรงกระโดดเต็มกำลัง ที่สุดสามารถเกาะถึงขอบหน้าต่างพอดี

ร่างผอมบางรีบเหนี่ยวรั้งกาย ดันตัวขึ้นสูงกระทั่งชะโงกหน้าพ้นขอบช่องกว้างจนได้ ช่องหน้าต่างกว้างจนเหลือเชื่อ รูปร่างขนาดบุลินสามารถลอดออกไปได้อย่างสบาย

ม่านรัตติกาลแม้ยังคลุมผืนฟ้า แต่จันทรากระจ่างทอแสงสว่างเหนือนภา มองเห็นสรรพสิ่งภายนอกห้องได้อย่างชัดเจน ชายหนุ่มถึงกับนิ่งอึ้งตะลึงงันอีกครั้ง

มหานทีกว้าง! สายนทีกว้างไพศาล ทอดไกลจรดขอบฟ้า!

สถานที่แห่งนี้ต้องตั้งอยู่ริมฝั่งมหานทีศศิกันทรา!

ทว่า…ตำแหน่งที่สามารถมองเห็นสายนทีจากมุมมองเช่นนี้ คงมิใช่ว่า…

วูบนั้น ดวงตาซึ่งเริ่มฉายแววประหวั่น ค่อยๆ เลื่อนมองต่ำลง กระทั่งพ้นขอบหน้าต่าง เท่านั้นเองมือทั้งคู่แทบหมดแรงยึดเหนี่ยว ลมหายใจพลันขาดห่วง หัวใจเกือบจะหยุดเต้นเสียเดี๋ยวนั้น!

เบื้องล่างล้วนโอบล้อมด้วยสายนทีกราดเกรี้ยว ถาโถมกระหน่ำกระแทกโขดหินมิหยุดยั้ง!

หอคอย! หอคอยสูงลิบลิ่ว! สถานที่กุมขังแห่งนี้เป็นหอคอยตระหง่าน ตั้งอยู่บนขอบหน้าผาอันสูงชัน!

บุลินตระหนกแทบสิ้นสติ ผงะหงายจากขอบหน้าต่าง ร่างร่วงหล่นโครมลงบนพื้นห้อง เจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งกาย ใจเต้นระส่ำระทึกไม่หยุดยั้ง พยายามระงับความตระหนกอย่างไรก็ไม่คลาย ด้วยไม่คิดว่าจะต้องโทษอุกฉกรรจ์ ถึงขนาดถูกนำมากุมขังไว้ในสถานที่เช่นนี้

หอคอยศิลาสูงตระหง่าน ตั้งอยู่บนขอบหน้าผาสูงชัน โอบล้อมด้วยกระแสธาราเชี่ยวกราก ไม่มีทางไหนจะหลบหนีออกไปได้ ต้องรอรับการลงทัณฑ์สถานเดียว!

ไม่จริง! ต้องมีหนทางหนีออกไป ใครจะยอมตายอยู่ที่นี่!

ประตู! ต้องพังประตูออกไปให้ได้!

บัดนั้น ความรู้สึกไม่ยินยอม ไม่ยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำลุกโพล่ง มายากรหนุ่มผุดลุกขึ้น ผลุนผลันไปที่ประตูอีกครั้ง ทดลองกระชากสุดแรง เหตุไม่คาดฝันพลันบังเกิด ร่างผอมบางถึงกับเซถลาตามแรงกระชาก แทบล้มลงกระแทกพื้น นั่นเพราะประตูห้องกลับมิได้ถูกใส่กุญแจไว้!

ประตูห้องบัดนี้เปิดกว้าง…ราวกำลังเชื้อเชิญให้เดินออกไปภายนอก

เบื้องนอกหลังประตูมีเพียงความมืดมิด ทั้งไร้ซึ่งสัญญาณของสรรพชีวิตใด…

บุลินพยายามรวบรวมความกล้า เขย่งย่องเคลื่อนเข้าใกล้ประตู ค่อยๆ ชะโงกหน้าออกไป เหลียวซ้ายแลขวาพบเพียงอันธการอันสงัดงัน ไร้ซึ่งเหล่าทหารเฝ้าควบคุมอยู่ภายนอก

มายากรหนุ่มรีบถลันเข้ามาในห้อง เปลี่ยนเทียนไขเล่มใหม่บนเชิงเทียน ขยับเคลื่อนร่างเดินผ่านประตูออกไปช้าๆ ด้วยกลัวๆ กล้าๆ ยื่นเชิงเทียนในมือ ส่องสำรวจสภาพภายนอกอย่างปริวิตก

ชั่วครู่ใหญ่ๆ หลังพยายามทำความเข้าใจสภาพสถานที่ ค่อยมองออกเพียงเลาๆ ว่า ภายนอกห้องเป็นทางเดินแคบยาวทั้งสองด้าน ไม่ว่าจะเดินไปทางซ้ายหรือไปทางขวา ล้วนพบประตูห้องเฉกเช่นเดียวกันเป็นระยะ ประตูทุกบานต่างถูกใส่กุญแจไว้

ไม่มีทางรู้ได้เลยว่า ทางเดินทั้งสองด้านจะไปสิ้นสุดที่ใด เพราะตามทางเดินไม่มีสัญลักษณ์ เครื่องหมาย หรือสิ่งใดเป็นเครื่องนำทางทั้งสิ้น เมื่อไม่รู้ควรเดินจะไปทางไหนดี บุลินตัดสินใจสุ่มเสี่ยงเดินไปตามทางด้านขวา

เบื้องหน้ามีเพียงความมืดมิด ชายหนุ่มก้าวเชื่องช้าอย่างระมัดระวัง เชิงเทียนในมือส่องไปตามผนังทางเดิน พบราวเหล็กเว้นช่วงเป็นระยะ ไว้สำหรับแขวนโคมตะเกียง แต่กลับไม่มีโคมตะเกียงแขวนอยู่แม้สักอันเดียว

ทันใด มายากรหนุ่มชะงักปลายเท้า ยื่นเปลวเทียนสาดส่องให้แน่ใจ หัวใจเริ่มเต้นระทึกรัวเร็ว เพราะพบว่าเบื้องหน้าเป็นขั้นบันได ดั่งทอดยาวลงสู่ชั้นล่าง แสงในมือเพียงส่องเห็นขั้นบันไดตรงหน้าไม่กี่ขั้น ไม่อาจมองเห็นเส้นทางที่ทอดลงลึกและยาวไกลเบื้องหน้า ทั้งไม่อาจคาดเดาได้ว่า สุดปลายทางสายนี้จะนำไปสู่สถานที่ใด

บุลินไร้ทางเลือกอื่นใด ได้แต่ค่อยๆ เดินลงบันไดทีละขั้น ขั้นแล้วขั้นเล่า ไม่ทราบจะยุติเมื่อใด หากสัญชาตญาณขณะย่างก้าวมิได้หลอกตนเอง ชายหนุ่มสัมผัสรับรู้ได้ว่า บันไดสายนี้สมควรเป็นบันไดวน

ในใจที่ยังระส่ำเต้นไม่เป็นจังหวะ ได้แต่คาดหมายว่าเส้นทางนี้ อาจทอดยาวกระทั่งถึงเบื้องล่างหอคอย แม้ไม่รู้ว่าหากสามารถลงไปถึงชั้นล่างสุดได้จริง จะต้องเผชิญสิ่งใดทั้งจะออกจากสถานที่นี้ได้อย่างไร กระนั้นก็ยังดีกว่านั่งจับเจ่าอยู่ในห้องโดยไม่ทำอะไร รอคอยรับการพิพากษาโทษลงทัณฑ์สถานเดียว

ขั้นบันไดยังทอดยาวลงสู่เบื้องล่างไม่หยุดยั้ง นอกจากแสงเทียนในมือ ตลอดเส้นทางปราศทางแสงอื่นใด ทั้งไม่พบทางแยกอื่นที่จะเดินไปได้ บนผนังด้านข้างบันไดก็พบราวเหล็ก สำหรับแขวนโคมตะเกียงเป็นระยะ แต่ไม่มีโคมตะเกียงแม้แต่ดวงเดียวเช่นกัน

เท้าย่างก้าวอย่างระแวงระวัง ห้วงสมองครุ่นคิดเร็วรี่ ถึงเหตุการณ์ภายในช่วงหลายทิวาราตรี…

นับเป็นช่วงหลายทิวาราตรีผ่านมาแล้วอย่างแน่นอน…

นารท…ผู้เป็นอาลักษณ์แห่งหอสมุดเมธา เคยอธิบายขณะอยู่บนเรือเล็กว่า เวลาผ่านมาสามราตรีแล้ว นับจากเขี้ยววายุฝ่าของเฒ่าเวทิต ฝ่าผ่านห้วงดารานารท

ในราตรีนั้นเอง ประสบพบเรือรบของเจ้าฟ้าชายกรินทร์และขุนพลศรุต เพลานั้นอีกไม่กี่ชั่วยามก็จะรุ่งอรุณแล้ว เหตุการณ์หลังจากนั้นคาดว่า คงเพราะฌานเวทของท่านปราชญ์หญิงธันยาจึงสิ้นสติไป

เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้ง กลับพบว่านอนอยู่ในพระราชอุทยานแห่งพุทธินครา จากการแอบฟังเจ้าฟ้าหญิงสนทนากับพระนม เพลานั้นเจ้าฟ้าหญิงเพิ่งทรงเข้าบรรทม แสดงว่านั่นควรเป็นยามต้นเท่านั้น

เหตุนี้เองสองเหตุการณ์แม้ต่อเนื่องกัน แต่ต้องมิใช่ราตรีเดียวกัน…

ไม่รู้ว่าเมื่อมาถึงพุทธินครา เวลาได้ผ่านพ้นไปกี่วันแล้ว หากคาดคะเนจากจันทราเมื่อปีนขึ้นบนช่องหน้าต่าง แสงกระจ่างยังคงส่องสว่างกลางนภา อาจบางทีเวลาควรเพิ่งผ่านไปเพียงหนึ่งหรือสองวัน

เหตุการณ์ต่อเนื่องในหลายราตรี กลับกลายเป็นเวลาในชั่วหนึ่งคืนของบุลิน…

มายากรหนุ่มประสบเหตุเหนือคาดคิด ทั้งเรื่องราวและเหล่าบุคคลซึ่งเคยได้ยินได้ฟัง เคยรู้จักเพียงในตำรา ม้วนบันทึก กลับปรากฏขึ้นเบื้องหน้าคนแล้วคนเล่า เหตุการณ์แล้วเหตุการณ์เล่า

ยามนี้แม้ยังงุนงงสับสน ทว่าเมื่อหวนคิดทบทวน ปะติดปะต่อเรื่องราวต่อเนื่อง คลับคล้ายห้วงความคิดเริ่มสามารถเชื่อมโยง สรรพความรู้ซึ่งเคยเรียนจากท่านป้าและในม้วนตำรา เข้ากับสรรพสิ่งต่างๆ ที่พบเจอในช่วงหลายวัน กระทั่งดั่งจะได้คำอธิบายเลาๆ

สาเหตุที่จู่ๆ ไปปรากฏตัวกลางพระราชอุทยานแห่งพุทธินครา ย่อมเพราะฌานเวทของท่านปราชญ์หญิงธันยา ส่งพวกตนทั้งสามผ่านห้วงมหานที กระทั่งเล็ดลอดเข้ามาถึงภายในพระราชอุทยาน

ทว่าพระราชวังแห่งพุทธินครา ย่อมต้องมีการเฝ้าระวังป้องกัน อารักขาอย่างเข้มงวด แม้ตลอดเวลาที่อยู่ในพระราชอุทยาน มิได้ถูกเหล่าองครักษ์หรือผู้อื่นพบเห็น…นอกจากเจ้าฟ้าหญิงองค์นั้น

จะอย่างไรเมื่อหมดสิ้นฤทธาฌานเวท เหล่าผู้คุ้มครองรักษาพระราชวังย่อมรับรู้ได้โดยพลัน ว่ามีผู้แอบบุกรุกเข้ามาภายใน นั่นเป็นสาเหตุที่นารทและวาสิตาสิ้นสติล้มฟุบลง และตนเองหมดสติเป็นคนสุดท้าย…

พวกตนทั้งสามคนถูกจับ แล้วถูกนำมากุมขังไว้ในสถานที่แห่งนี้!

ยามนั้น มายากรหนุ่มเริ่มเหน็ดเหนื่อยจนหอบ ไม่ทราบเดินมาไกลเพียงใด ทั้งไม่รู้ว่าต้องเดินอีกนานแค่ไหน ยิ่งเวลาผ่านไปมากขึ้นเท่าไหร่ ความปริวิตกยิ่งเพิ่มทับทวี

จากความสูงตระหง่านของหอคอย ซึ่งมองเห็นจากช่องหน้าต่าง ความสูงเช่นนั้นมิต้องเดินทั้งวันหรือกว่าจะถึงชั้นล่าง ยิ่งครุ่นคิดยิ่งสงสัย ใครกันอุตส่าห์นำมากุมขังถึงที่นี่ได้

แต่แล้วทันใด ขณะความคิดยังไม่ทันสิ้นสุด เปลวเทียนในมือกลับไม่พบบันไดขั้นต่อไป!

จู่ๆ บันไดวนยาวกลับสิ้นสุดลงตรงหน้า และแทบจะทันทีเมื่อก้าวเท้าแตะบันไดขั้นสุดท้าย ทางเบื้องหน้าพลันปรากฏแสงสว่างวูบไหว!

ชายหนุ่มชะงักเท้าลังเล เหลียวซ้ายแลขวาเลิกลั่ก ยื่นมือสาดส่องแสงไปรอบๆ ตัว ไม่พบทางแยกอื่นใดให้เดินไปได้ เส้นทางนี้มีเพียงตรงไปข้างหน้ากับย้อนกลับขึ้นบันไดไป ทางเลือกอื่นใดไม่มีให้เลือกทั้งสิ้น

ยามนี้นอกจากทอดถอนใจ บุลินยังสามารถกระทำสิ่งใดได้อีก อุตส่าห์เดินแทบหมดแรงจนมาถึงที่นี่ หากพบเหล่าทหารผู้ควบคุมหอคอย อย่างมากก็ถูกจับขังไว้ในห้องอีกครั้ง มิแน่ว่าอาจสอบถามข่าวของนารทกับวาสิตาได้บ้าง

ชายหนุ่มรวบรวมความกล้า ตัดสินใจเดินตรงเข้าหาแสงสว่างเบื้องหน้า ยิ่งเข้าใกล้ ยิ่งมองเห็นว่าแสงนั้นสาดส่องออกจากห้องๆ หนึ่ง…

แต่มิใช่แสงที่ลอดออกจากช่องใต้ประตู หากประหนึ่งประตูห้องถูกเปิดไว้

ยามนี้ห่างจากห้อง อันเป็นต้นกำเนิดแห่งแสงเพียงไม่กี่ก้าว พบประตูห้องเปิดไว้จริงจังคาด

ทันใด นาสิกกลับสูดได้กลิ่นหอมอันคุ้นเคย ฟุ้งกระจายออกจากภายในห้อง!

บุลินไม่ทันคิดขบคิดถึงสิ่งใดอีกแล้ว รี่ตรงเข้าไปภายในทันที!

ทว่าเพียงย่างพ้นประตูไม่กี่ก้าว เจ้ามายากรกลับต้องชะงักนิ่งอึ้ง ตะลึงต่อพื้นที่อันใหญ่โตโอฬารของห้องกว้าง สถานที่แห่งนี้กว้างใหญ่กว่า ห้องซึ่งบุลินรู้สึกตัวตื่นขึ้นหลายสิบเท่า

ทั้งห้องสร้างจากก้อนศิลาแข็งแกร่งขนาดใหญ่ ผนังทุกด้านทึบตัน ไม่มีกระทั่งช่องหน้าต่างแม้สักบาน เพียงก้าวเข้ามาภายใน ความกว้างไพศาลทำให้รู้สึกดั่ง บนผืนพิภพหลงเหลือตนเพียงลำพัง

กระแสความโดดเดี่ยวรุนแรงมหาศาล ผสานความประหวั่นพรั่นพรึงอันไม่ทราบที่มา พุ่งถาโถมเข้าใส่จากทุกทิศทาง ดั่งลมหายใจกำลังจะขาดห่วง สติคล้ายกำลังจะหลุดลอยจากร่าง

ฉับพลัน เสียทอดถอนใจหนึ่งดังขึ้น…

วูบนั้น บุลินได้ลมหายใจกลับคืนโดยพลัน มายากรหนุ่มหมดเรี่ยวแรง ทรุดนั่งหอบหายใจ กระทั่งเนิ่นนานผ่านพ้น ลมหายใจค่อยกลับคืนสู่ปกติ ดวงตาแม้ฉายแววหวาดหวั่นเด่นชัด หากยังแข็งใจกวาดสายตา สำรวจภายในห้องกว้าง

ห้องกว้างใหญ่อันแปลกประหลาด กลับไม่มีสิ่งใดทั้งสิ้นยกเว้นเพียง กึ่งกลางห้องตั้งโต๊ะยาวหนึ่งตัว รายล้อมด้วยเก้าอี้พนักสูงร่วมสิบตัว บนโต๊ะมีเชิงเทียนตั้งอยู่เพียงอันเดียว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่