เหมันต์จันทร์ธารา บทที่ 8. ผู้พิทักษ์แห่งอินทรา

กระทู้สนทนา
ประวัติศาสตร์แห่งอรุณวดีมหาทวีป เริ่มต้นขึ้น ณ พุทธินครา เมืองเอกแห่งแคว้นอุตรประเทศ

กาลล่วงเลย หลายสิบชั่วอายุคนผ่านพ้น กระทั่งไม่มีผู้ใดจดจำได้อย่างแม่นยำว่า มหาวิบัติภัย ‘ไฟประลัยกัลป์’ ล้างเผาผลาญทำลายผืนพิภพ สรรพชีวิตทั้งมวลแทบสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ เกิดขึ้นในปีใดแห่งประวัติศาสตร์พิภพเก่า

‘บันทึกแห่งการล้มสลาย’ รวบรวมและลิขิตใหม่ โดยท่าน ‘วสิษฐ์’ ผู้เป็นประธานคณะมนตรีแห่งปราชญ์คนแรก เมื่อสามร้อยปีก่อน จารึกมหาวิบัติภัยครั้งนั้นไว้ ความบางตอนว่า...

…‘อสุรินทราสูร’ บำเพ็ญมหาฤทธาฌาน ณ ‘วิหารภูตภรรดร’ สถานศักดิ์สิทธิ์กลางปราการพระสมุทร สุดขอบกำแพงจักราการ เขตขัณฑ์อันธการปกคลุมด้วยข่ายแห่งนีลกฤติยามนตร์ รัศมีจากราชรถเทียมเศวตอัศวแห่งองค์สุริยาทิตย์กระทั่งองค์จันทรา ล้วนมิอาจยังแสงสว่างสู่สถานที่นี้ชั่วนิรันดร์

ด้วยฤทธามหาศาลแห่งการสำเร็จนีลกฤติยามนตร์ อสุรินทราสูรร่ายมหิทธิเวทนิรมิต ‘อณูธาตุแห่งดารา’ วัตถุธาตุอันดึงดูดพลังแห่งจักรวาลทั้งแสนโกฏิ จากนั้นปลดปล่อยพลังอันไร้ขอบเขตก่อกำเนิด ‘ดวงตะวันทั้งหก’ ลอยประจำเหนือฟากฟ้าทุกมหาทวีปบนผืนพิภพ…

...พลังแรงร้อนแห่งดวงตะวันทั้งเจ็ดผนึกเชื่อมประสาน พริบตากลายสภาพเป็นเกลียวมหาอัคคีมหึมา เพลิงกาลปกคลุมฉายฉานกลางฟากฟ้าทั่วทุกมหาทวีป บัดนั้นพลันบังเกิด ‘ไฟประลัยกัลป์’ พวยพุ่งถาโถมลงสู่พื้นพสุธา ดุจดั่งกระแสคลื่นพระสมุทรอันบ้าคลั่งถาโถม กวาดล้างทำลายเผาผลาญทุกสรรพสิ่ง

คราครั้งนั้น หากมิใช่ด้วยสติปัญญา กอปรฤทธาฌานเวทแห่งท่าน ‘ตรรกะ’ จอมปราชญ์เพียงหนึ่งเดียว ผู้บำเพ็ญตนกระทั่งก้าวเข้าสู่ขั้นขอบเขต ‘พรหมปราชญ์’ ผนึกผสานด้วย ‘องค์บดินทร์รุทระ’ จอมจักรพรรดิผู้ปกครองหนึ่งในมหาทวีปใหญ่แห่งพิภพเก่า ทุกสรรพชีวิตคงสูญสลายกลายเป็นเศษธุลีดินสิ้นแล้ว…

…จอมปราชญ์และจอมจักรพรรดิสร้างข่ายแห่งฌานเวท พิทักษ์ดินแดนบางส่วนของมหาทวีปใหญ่ รอดพ้นมหาวิบัติภัยมาได้ ทั้งสามารถสะกดดวงจิตอสุรินทราสูร ไว้ในส่วนลึกที่สุดของวิหาร ทว่าข่ายแห่งฌานเวทเป็นเพียงการ ‘สะกด’ นีลกฤติยามนตร์ของอสุรินทราสูรไว้ชั่วคราว ไม่อาจทำลายดวงจิตแห่งจอมอสูร

ทั้งแม้สามารถผนึกข่ายฌานเวททันท่วงที กระนั้นดินแดนอันอุดมแห่งพิพภเก่า ยังถูกเพลิงกาลทำลายเกินกว่าครึ่งค่อน มหานทีแทบทั้งหมดถูกเผาผลาญแห้งขอด สรรพชีวิตซึ่งสามารถอพยพ เข้ามาในข่ายแห่งฌานเวท หลงเหลือจำนวนน้อยยิ่งกว่าน้อย…

…ทุกข์วิบัติภัยดำเนินสืบเนื่องมิผ่านพ้น หนึ่งในมหาทวีปใหญ่แม้รอดพ้นเพลิงกัลป์ ทว่าสัณฐานได้เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง ภูมิประเทศแปรเปลี่ยนกลับกลาย มหานทีเปลี่ยนสายเส้นทาง บริเวณใดเคยอุดมพลันแห้งแล้งแตกระแหง บริเวณใดเคยกอปรด้วยทุ่งหญ้าป่าเขากลับถูกน้ำท่วมสิ้น

ฤดูกาลผันแปรสับสน สภาพอากาศเลวร้ายสุดคณนา พืชผลผลิตแทบทั้งมวลไม่อาจเติบโต เหล่าผู้รอดชีวิตต่างต้องละทิ้งถิ่นฐาน อพยพโยกย้ายหาผืนดินแดนใหม่ตั้งรกราก ร่อนเร่เดินทางกระทั่งในที่สุดพบดินแดนอัศจรรย์ สัณฐานอันแปรเปลี่ยนกลับเสกสรรค์สวรรค์บนแดนดิน ณ สถานที่อันหลบซ่อนในเทือกเขาสุดขอบมหาทวีป…

…ท่านตรรกะและองค์บดินทร์รุทระ ขนานนามดินแดนแห่งใหม่นี้ว่า อรุณวดีมหาทวีป มหาทวีปสุดท้ายบนผืนพิภพ ซึ่งมิได้ถูกเผาผลาญด้วยไฟประลัยกัลป์ ทั้งยังอุดมสมบูรณ์ยิ่ง

ทางเหนือสุดโอบล้อมด้วยเทือกเขาตารกคีรี ทางตะวันออกโอบล้อมด้วยเทือกเขาเมฆีบรรพต ทิศใต้จรดพระสมุทรอันไพศาล สุดเขตแดนตะวันตกคือทะเลทรายแห่งพิภพเก่า อันถูกไฟประลัยกัลป์แผดเผากลายเป็นนรกบนแดนดิน

พุทธินคราถูกก่อตั้งขึ้น บนดินแดนอรุณวดีมหาทวีปเป็นเมืองแรก หากนั่นคือนครพุทธินคราเก่า ซึ่งสาบสูญไปกับกาลเวลา ไม่มีผู้ใดรู้ว่านครแห่งแรก ซึ่งก่อตั้งโดยท่านตรรกะและองค์บดินทร์รุทระ อยู่ที่ใดในเทือกเขาตารกคีรี

ภายหลังการสร้างประภาคารวชิระ ในอีกหลายชั่วอายุคนต่อมา เหล่าขุนพลผู้ทแกล้ว จอมเวทย์ผู้ชาญมนตรา และนักปราชญ์ผู้เปี่ยมปรีชาญาณ เริ่มเดินทางออกจากพุทธินครา สำรวจอรุณวดีมหาทวีปจนถ้วนทั่ว ก่อตั้งเมธาปุระและศานติธานี จากนั้นจึงสร้างกษมปราการ จรดเขตพระสมุทร…

บุลินหวนระลึก ลำดับไล่เรียงห้วงประวัติศาสตร์ ซึ่งเล่าเรียนในวัยเยาว์อย่างรวดเร็ว

มายากรหนุ่มไหนเลยคาดคิดว่า จะได้มาเยือนสถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่สุด อันไม่เคยอนุญาตให้ผู้ใดเข้ามาภายใน ว่ากันว่าหลายร้อยปีผ่านพ้น นับชั่วอายุคนไม่ถ้วน เปลวเพลิงแห่งประภาคารมิเคยดับแสง ส่องเส้นทางแก่เหล่านายเรือ ผ่านช่องหุบผาอันตรายสู่พุทธินครา

เหล่าผู้พิทักษ์เปลวไฟแห่งประภาคารวชิระ มิให้ดับมอดรุ่นแล้วรุ่นเล่า สืบเนื่องมาตั้งแต่ครั้นอดีตกาล โดยไม่เคยขาดสายขนานนามเรียกขานว่า ‘ผู้พิทักษ์แห่งอินทรา’

สตรีสูงวัยในชุดคลุมยาวสีครามเข้ม ร่างเล็กผอมบาง ผมขาวดั่งเงินยวง สีหน้าแม้ขาวนวล หากเหยี่ยวย่นซูบซีดด้วยริ้วรอยแห่งวัย ใบหน้าดั่งเคลือบคลุมด้วยชั้นหิมะน้ำแข็ง เย็นชาและแทบจะไร้ความรู้สึกใด คล้ายหมองเศร้าอยู่เป็นนิจ กลับเป็นผู้พิทักษ์แห่งอินทราซึ่งกล่าวกันว่า ผู้ดำรงตำแหน่งนี้กอปรด้วยฤทธาฌานเวท กล้าแกร่งที่สุดแห่งพุทธินคราในแต่ละยุคสมัย!

กสิณาผู้อาวุโส เอื้อนเอ่ยเสียงแหบทุ้ม

“สารจากท่านนันทนะหรือ…ใจความมีว่าอย่างไร”

อีกหนึ่งสุ้มเสียงจากเบื้องนอกประภาคาร เปี่ยมความหนักแน่นกังวาน กล่าวตอบว่า

“เราโควินท์แห่งศานติธานี ได้รับคำสั่งท่านอาจารย์นันทนะ เดินทางมาพุทธินคราเพื่อขอผ่านทาง ขึ้นสู่เทือกตารกคีรีสำรวจ ‘เส้นทางแห่งจอมปราชญ์’ ขอท่านกสิณานำทางแก่พวกเราด้วย”

กสิณาผู้อาวุโสคล้ายหัวเราะแผ่วเบาในลำคอ ร่างในชุดคลุมยาว วางจอกน้ำโสมบนโต๊ะโดยมิได้ดื่ม เดินไปหยุดยั้งเบื้องหน้าผนังห้องกว้างด้านหนึ่ง สุ้มเสียงเย็นชากล่าวว่า

“เหตุใดปราชญ์แห่งเมธาปุระ จึงส่งพวกพระองค์มาพบจุดจบเช่นนี้”

สิ้นประโยค พลันโบกปลายแขนเสื้อยาว ทันใดนั้น ผนังห้องทึบก่อด้วยศิลาขนาดใหญ่ พลันสลายหายไปต่อหน้า ผนังห้องกลายสภาพดั่งโปร่งใส สามารถมองเห็นทุกสรรพสิ่ง เบื้องนอกประภาคารได้อย่างกระจ่างชัด!

ห่างออกไปในมหานทีกว้าง เรือลึกลับสีดำ ซึ่งเข้าจอดเทียบท่าหลวงของเมธาปุระ ทั้งมาดักรอเขี้ยววายุของเฒ่าเวทิตที่ห้วงดารานาถ ลดใบเรือลงจนต่ำ นิ่งสงบดั่งทิ้งสมอกลางมหานทีเชี่ยว

ทว่าเบื้องหน้าประภาคาร ใกล้แนวโขดหินอันเป็นช่องทางผ่านเข้าสู่หุบผา ปรากฏเรือเล็กลำหนึ่ง เห็นชัดถนัดว่าประกอบด้วยบุคคลสามคน ทั้งหมดบนเรืออุทานขึ้นพร้อมกัน คล้ายดั่งสามารถมองเห็นภายในประภาคาร ผ่านผนังด้านข้างซึ่งแปรสภาพเป็นโปร่งใสเช่นกัน

บุรุษร่างกำยำสูงใหญ่ กายเปี่ยมไปด้วยมัดกล้ามอันแข็งแกร่ง ขมวดคิ้วแนบแน่น กล่าวสุ้มเสียงเคร่งเครียด

“นารท! ท่านอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ผู้ใดอนุญาตให้ท่านเดินทางออกจากหอสมุดเมธา!”

นารทก้าวเดินไปเบื้องหน้า แทบประชิดติดผนังอันโปร่งใส ตอบโต้กลับไปว่า

“ท่านกล่าวผิดแล้วขุนพลปรีว์ ข้าสามารถเดินทางไปที่ใดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตผู้ใด”

เสียงหัวร่อกึกก้อง แฝงแววเย้ยหยัน ดังจากบุรุษร่างสูงโปร่ง ผู้ยืนเบื้องหน้าขุนพลปรีว์

“ไม่มีผู้ใดลืมศักดิ์ฐานะของท่านหรอกนารท พวกเราเพียงแปลกใจว่า ผู้ไม่มีกิจธุระใดเช่นท่าน เหตุใดอุตส่าห์รอนแรมมาจนถึงที่นี่ได้”

นารทยังคงโต้ตอบด้วยสุ้มเสียงราบเรียบ

“ท่านธันยามิได้ส่งข่าว ให้พวกท่านแจ้งแล้วหรือเจ้าชายโควินท์”

บุรุษอีกผู้หนึ่งบนเรือเล็ก ซึ่งสงบถ้อยคำมาตลอด รูปร่างเล็กผอมบางใกล้เคียงบุลิน นารทและวาสิตา เอ่ยขึ้นว่า

“หลังเดินทางออกจากเมธาปุระ พวกเรามิได้รับข่าวสารใด จากเหล่าท่านอาจารย์อีกเลย ท่านกล่าวเช่นนี้แสดงว่าท่านอาจารย์ธันยา ทราบว่าท่านเดินทางมาพุทธินครา…ท่านอาจารย์ในเมื่อไม่สกัดขัดขวาง อย่างนั้นท่านเดินทางสำรวจเส้นทางแห่งจอมปราญช์กับพวกเราดีหรือไม่”

เจ้าฟ้าชายโควินท์สุรเสียงกร้าว รับสั่งสวนกลับทันที

“รัญชน์! เจ้ากล่าวกระไร ลืมแล้วหรือ ผู้ถูกเลือกให้รับภารกิจนี้ คือพวกเราสามคนเท่านั้น!”

เจ้าฟ้าชายโควินท์แห่งศานติธานี พระชนมายุราวยี่สิบห้าชันษา วรองค์สูงโปร่ง ฉลองพระองค์แพรพรรณทั้งชุดสีขาว รัดพระองค์ทองอร่าม พระสังวาลร้อยประดับอัญมณีแพรวพราย เครื่องถนิมพิมพาภรณ์ล้ำค่าควรเมือง แสดงฐานะอันสูงศักดิ์ยิ่งแห่งองค์ผู้สืบสายกษัตราธิราช

เส้นพระเกศานั้นสีดำขลับ ขมวดภายใต้พระเวฐนะสีขาว วงพระพักตร์คมคล้ำเฉกเช่นชาวศานติธานี สีพระพักตร์ฉาบแววมั่นพระทัยเปี่ยมล้น พระขนงเข้มขมวดมุ่น ตามพระอารมณ์ซึ่งมักขุ่นมัวเป็นนิจ สันพระนาสิกโด่งฉายพระอุปนิสัยทรนงถือดีในองค์เอง แววพระเนตรสีน้ำตาลคมวาว ส่องประกายแห่งฤทธาอันหาผู้เปรียบยากยิ่ง

จอมเวทรัญชน์กลับแย้มยิ้มเล็กน้อย ราวชินชาเสียแล้วกับพระอารมณ์อันฉุนเฉียว ดังนั้นกราบทูลแย้งว่า

“เจ้าชาย…พวกเราล้วนทราบความสามารถของนารทมิใช่หรือ หน้าที่ของเราคือปฏิบัติภารกิจให้ลุล่วง สิ่งใดสามารถเพิ่มผลสำเร็จให้เกิดขึ้น เหตุใดจึงละไว้ไม่นำมาใช้สอย ทราบกระจ่างพระทัยมิใช่หรือฝ่าบาท…สิ่งใดรอพวกเราอยู่บนเทือกตารกคีรี”

บุรุษร่างเล็กผอมบางผู้นี้  แต่งกายชุดเสื้อกางเกงสีครามเข้ม แขนเสื้อยาวจรดข้อมือพอดี คาดเข็มขัดหนังสีน้ำตาลธรรมดาอย่างยิ่ง ไร้ภูษาอาภรณ์ล้ำค่า ยิ่งไม่ปรากฏเครื่องประดับใดบนร่าง

ทว่าแม้ชุดที่สวมใส่สามัญธรรมดา เฉกเช่นประชาชนพลเมือง แต่หากรวมกลุ่มอยู่กับผู้ใด ต้องไม่มีใครคิดว่าคนผู้นี้เป็นบุคคลสามัญ เพราะบุรุษผู้นี้มิอาจถูกกลืนหายไปพร้อมฝูงชน ผิวพรรณอันคล้ำเล็กน้อย คล้ายบังเกิดประกายนวลเป็นยองใย ดั่งฉายกระแสอบอุ่นอันอ่อนเย็นจากร่าง ทั้งให้ความรู้สึกชวนชิดใกล้ ทั้งโดดเด่นกลางหมู่ชนยิ่ง

รัญชน์อายุราวยี่สิบสามยี่สิบสี่ เส้นผมสีน้ำตาลเข้มสั้นเสมอต้นคอ คิ้วบางเรียว ริมฝีปากประดับด้วยรอยยิ้มคล้ายเป็นผู้มีอารมณ์แจ่มใส ไม่ถือโกรธผู้ใดเป็นนิจ ผิวอันคล้ำเล็กน้อย ขับเน้นใบหน้าคมคาย ยิ่งดึงดูดชวนมอง ดวงตาปรากฏแววสีฟ้าจางๆ ทั้งสงบนิ่งลึกล้ำ ทั้งซุกงำซ่อนประกายจนมิดชิด

เจ้าฟ้าชายโควินท์ แค่นสุรเสียงข่มพระอารมณ์เดือดดาล

“เจ้าคิดว่าลำพังพวกเรา ไม่สามารถปฏิบัติภารกิจให้ลุล่วงหรือ!”

คราวนี้ขุนพลปวีร์สูดลมหายใจลึกยาว กล่าวอย่างครุ่นคิด

“นับจากอดีตกาล…ไม่เคยมีผู้ใดเสาะพบเส้นทางแห่งจอมปราชญ์ บนเทือกอันสูงเทียบดาราแห่งตารกคีรี เก้าในสิบล้วนทิ้งสังขารใต้ผืนหิมะ เมื่อเวลาล่วงผ่านเหล่าผู้ชาญฌานเวทกว่าครึ่ง ต่างเชื่อว่าเส้นทางนั้นสูญสลายสิ้น พร้อมนครพุทธินคราเก่า มิมีผู้ใดใส่ใจคิดค้นหาอีกต่อไป ร่วมห้าสิบกว่าปีแล้วกระมัง ข้อมูลทั้งหมดเก็บจารึกไว้ในหอสมุดเมธา ด้วยความรอบรู้ของท่านนารท ย่อมมีประโยชน์มหาศาลกับพวกเรา”

เจ้าฟ้าชายแห่งศานติธานี ทรงหันขวับ รับสั่งตะคอกขุนพลคู่พระทัย

“แม้แต่เจ้าก็ไม่มีความมั่นใจ! ต้องการให้เราขอความช่วยเหลือจากนารทหรือ!”

ขุนพลร่างใหญ่ยิ้มแฝงความหมายอันลึกซึ้ง สุ้มเสียงก้องกังวาน จงใจเอ่ยให้ทุกผู้ในประภาคารได้ยินถนัดชัด

“มิใช่ขอความช่วยเหลือพระเจ้าค่ะ หากพวกเรามีจุดประสงค์ร่วมเดียวกัน ถึงแม้ไม่รู้ว่าท่านนารทเดินทางมาพุทธินคราด้วยเหตุใด แต่หากสามารถหาเส้นทางแห่งจอมปราชญ์พบ ประโยชน์ย่อมตกต่อทุกผู้ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะมีจุดประสงค์ หรือเป้าหมายต้องการกระทำอันใดก็ตาม”

ขุนพลปวีร์บุรุษร่างสูงใหญ่ สวมชุดเกราะสีเงินแวววาว ตลอดทั้งร่างล้วนอยู่ภายใต้ข่ายเหล็ก บนเกราะสลักอักขระมนตราทุกกระเบียด ผิวกายคล้ำคลับคล้ายเจ้าฟ้าชายโควินท์ หากกำยำกว่าเกือบหนึ่งเท่า ทั้งสูงใหญ่กว่าหนึ่งช่วงศีรษะ อายุราวยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี

ใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมแกร่งกร้าว สีหน้าเคร่งขรึม คิ้วดกเข้มหนา ดวงตากลมโตดุดัน ฉายประกายแห่งฤทธา สร้างความระย่อให้แก่ทุกผู้เมื่อจังจ้อง แม้ปราศจากซึ่งรอยยิ้มบนใบหน้า แต่มิใช่ฉุนเฉียวเจ้าอารมณ์ กลับหนักแน่นเยือกเย็น เปี่ยมความคิดอ่านอันลึกซึ้ง

กสิณาผู้อาวุโส หัวเราะสุ้มเสียงแหบพร่าในลำคอ ปรายสายตาคมวาว กล่าวกับอาลักษณ์แห่งหอสมุดเมธา

“คิดไม่ถึงว่าเจ้าสองคนนั่นรู้จักประมาณตน ทั้งฉลาดหลักแหลมไม่เลว ว่าอย่างไร…เจ้าคิดเดินทางร่วมกับสามคนนั่นหรือไม่”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่