เหมันต์จันทร์ธารา บทที่ 6. เจ้ามายากร

กระทู้สนทนา
ภายใต้สัมปชัญญะเลือนลาง สติคล้ายวิสัญญี บุลินแว่วเสียงหนึ่งก้องกังวานในห้วงความคิด...


‘เจ้าเป็นใคร...เจ้าเป็นใคร...เจ้าเป็นใคร...’


มายากรหนุ่มไม่ทราบ นั่นที่แท้เป็นเสียงผู้ใด...

กระแสเสียงนั้นยังแทรกเข้าในห้วงสำนึก เอ่ยถามย้ำ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า


‘เจ้าเป็นใคร...เจ้าเป็นใคร...เจ้าเป็นใคร...’


บุลินไม่อาจต้านทานกระแสเสียงนั้น...คลับคล้ายหลับ...ดั่งคล้ายตื่น...ภายใต้สภาวะในห้วงสติงุนงงเลอะเลือน มายากรหนุ่มดั่งได้ยินสุ้มเสียงตนเองดังแว่วแผ่วเบา...

ข้าชื่อ บุลิน…

ความฝันในวัยเยาว์ของข้า คือการได้ติดตามรับใช้ขุนพลผู้ทแกล้ว จอมเวทย์ผู้ชาญมนตรา หรือนักปราชญ์ผู้เปี่ยมปรีชาญาณสักคน...

ข้าต้องการติดตามท่านเหล่านั้นไปทุกแห่งหน อยากมีส่วนรับรู้ในวีรกรรมของพวกท่าน ต้องการบันทึกความกล้าหาญคุณธรรมความดีของท่านเหล่านั้น เพื่อจารึกไว้เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์แห่งอรุณวดีมหาทวีป

แต่ชีวิตในวัยเด็ก ช่างห่างไกลกับการเข้าใกล้ความฝันนั้นเสียเหลือเกิน ข้าเติบโตในหมู่บ้านเล็กๆ อันห่างไกลทว่าอุดมสมบูรณ์และสุขสงบ ทางใต้สุดของแคว้นบูรพประเทศอันมีเมธาปุระเป็นเมืองเอก

แคว้นบูรพประเทศนั้นแห้งแล้งกันดาร เกือบทั้งแคว้นถูกโอบล้อมด้วยแนวเทือกเขาตระหง่านยาวเหยียด

ทิศเหนือเชื่อมติดกิ่งแขนงแห่งเทือกตารกคีรี แนวตะวันออกจากเหนือจรดใต้โอบล้อมด้วยเทือกเขาเมฆีบรรพต ภูมิประเทศรอบแคว้นคล้ายอยู่ในแอ่งกระทะ

แม้เมฆีบรรพตจะเป็นต้นธารมหานทีนิศาอัมพุ ทว่ามีเพียงผิวดินส่วนน้อยเป็นแนวแคบยาว ริมฝั่งสองฟากมหานทีเท่านั้น ที่ดินอุดมสมบูรณ์พอเพาะปลูกได้

พื้นที่เหมาะแก่การเกษตรที่สุด กลับเป็นผืนดินด้านทิศใต้ อันมีเขตติดต่อกับแคว้นทักษิณาประเทศ และแม้เมธาปุระเมืองเอกแห่งแคว้น จะตั้งอยู่ด้านขวาของมหานทีนิศาอัมพุ แต่ดินอุดมรอบนครใหญ่กลับมิได้ใช้เพาะปลูกพืชผลใด

ข้าเป็นเด็กกำพร้า ท่านผู้เฒ่าหัวหน้าหมู่บ้านมีเมตตารับอุปการะข้าไว้ แม้ไม่รู้ว่าบิดามารดาคือผู้ใด ญาติพี่น้องมีหรือไม่อยู่แห่งหนใดก็ไม่ทราบ

กระนั้นตั้งแต่เริ่มจำความได้ ข้ากลับไม่เคยคิดว่าตนเองมีชีวิตโดดเดี่ยวเพียงลำพัง ยิ่งไม่เคยคิดว่าตนเองไร้ค่าไม่เป็นที่ต้องการของผู้ใด

ทั้งนี้เพราะท่านผู้เฒ่า เหล่าลุงป้า ต่างรักใคร่เอ็นดูช่วยกันเลี้ยงดูอมรมสั่งสอนข้า เพื่อนพ้องวัยเดียวกันก็พาวิ่งซนเที่ยวเล่นไปทุกแห่งที่ ข้าสามารถวิ่งเล่นไปทั่วหมู่บ้าน เข้าบ้านโน้นออกบ้านนี้ได้ตามแต่ใจไม่มีผู้ใดว่ากล่าว

วัยเด็กข้าช่วยเหลืองานบ้านสารพัด เท่าที่มีเรี่ยวแรงพอจะทำได้ เมื่อเติบโตขึ้นข้าก็ช่วยเหลืองานในไร่นาอย่างแข็งขัน  ทั้งเริ่มตระหนักแล้วว่า วิถีชีวิตอันสุขสงบในหมู่บ้าน ไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ

ข้าอยากเห็นโลกกว้าง อยากเดินทางท่องเที่ยว กระนั้นข้าก็ไม่เคยเกียจคร้าน กลับยิ่งต้องการช่วยงานในไร่นาของท่านผู้เฒ่า เหล่าลุงป้ามากขึ้นกว่าเดิม เพราะข้าเริ่มรู้สึกว่าเวลาที่จะได้อยู่ร่วมกับพวกท่าน กำลังลดน้อยลงเรื่อยๆ

ในวัยเยาว์ ข้าไม่รู้หรอกว่าสถานที่ซึ่งเกิดและเติบโต แท้จริงตั้งอยู่ส่วนไหนของแผ่นดินอันไพศาล

ปริมณฑลที่รู้จักจำกัดอยู่เพียงขุนเขาตระหง่านทางทิศตะวันออก และสายธาราทอดยาวตลอดทิศเหนือ แล้ววกอ้อมทางตะวันตกโอบทั้งหมู่บ้านเอาไว้

ในสายตาของเหล่าเด็กๆ เช่นข้า ณ เวลานั้น ขุนเขาและสายธาราช่างยิ่งใหญ่เหลือประมาณ คนในหมู่บ้านเรียกยอดตระหง่านสูงสุดว่า พระแม่ธรณีแห่งแผ่นดิน และเรียกสายธาราว่าธิดาของพระแม่

ที่เป็นเช่นนี้เพราะความอุดมสมบูรณ์ทั้งมวล ล้วนเกิดจากน้ำใสในกระแสธารา อันมีต้นกำเนิดจากยอดสูงสุดของขุนเขา ผืนดินอุดมจึงกลายเป็นไร่นาเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา มีน้ำหล่อเลี้ยงเต็มเปี่ยมตลอดทุกฤดูกาล ผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้มากมายจนเหลือเฟือ หมู่บ้านของเราไม่เคยประสบกับความอดอยากแร้นแค้น

กระนั้นในบางครั้ง พระแม่และพระธิดาทรงพิโรธจึงลงโทษพวกเรา กระแสธาราไหลเอื่อยกลับกลายเป็นเชี่ยวกรากรุนแรง ชั่วพริบตากวาดซัดโถมทำลายไร่นาพืชผล บ้านเรือนพินาศแทบหมดสิ้น

ยามนั้นหลายต่อหลายชีวิต ต้องดับสูญกลางกระแสกราดเกรี้ยว ว่ากันว่าโทสะของทั้งสองพระองค์เกิดจากการที่มีบางคนในหมู่บ้านไม่เคารพยำเกรง กระทำการขนถ่ายทิ้งสิ่งปฏิกูลเน่าเหม็นลงสู่สายน้ำ โทสะของพระองค์จะคลายลงก็ต่อเมื่อ เหล่าชาวบ้านจัดพิธีพลีกรรมขอสมาพระแม่และพระธิดาอย่างถูกต้อง

ยามเด็กบ่อยครั้งที่ข้าแหงนคอขึ้นฟ้า เหม่อมองความชันตระหง่านที่คล้ายไม่มีวันปีนขึ้นสู่ยอดสูงสุดได้ และหลายครั้งเช่นกันที่พยายามเดินย้อน ตามแนวลำน้ำขึ้นไปทางเหนือของหมู่บ้าน

แต่ด้วยเรี่ยวแรงเพียงน้อยนิดของเด็กเล็กๆ คนหนึ่ง ไม่ช้าข้าก็เหนื่อยหอบจนหมดแรง ไม่สามารถแม้แต่จะเหยียดขาก้าวต่อไป ในใจนั้นครุ่นคิดว่า ชีวิตนี้คงไม่มีวันเดินไปถึงต้นน้ำเป็นแน่

ทว่าเมื่อเติบโตขึ้น เริ่มเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ มากขึ้น จึงค่อยๆ ตระหนักว่า ปริมณฑลที่รู้จักนั้นช่างเล็กกระจ้อยร่อยเสียเหลือเกิน หากเทียบกับความไพศาลของผืนแผ่นดิน

ข้าเริ่มเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ จากการสดับตรับฟัง ยังจำได้ถึงวันแรกที่นั่งล้อมวงข้างเพื่อนวัยเดียวกัน พวกเราต่างตาลุกวาว นั่งฟังนิทานแสนมหัศจรรย์ของเหล่าพ่อค้าเร่ ผู้เข้ามาค้าขายในหมู่บ้าน

นิทานทุกเรื่องล้วนเปี่ยมชีวิตชีวา เต็มไปด้วยสีสันแห่งจิตวิญญาณของเหล่าขุนพล จอมเวทย์ นักปราชญ์

เรื่องราวของท่านเหล่านั้นล้วนเป็นการเสียสละ และอุทิศชีวิตตนเองรุ่นแล้วรุ่นเล่า เพื่อปกป้องดินแดนอรุณวดีมหาทวีป เป็นวีรกรรมที่คล้ายไม่มีวันเล่าจบสิ้น ข้านั่งฟังกระทั่งผล็อยหลับไปอย่างมีความสุข

หลังจากวันนั้น ทุกครั้งที่เหล่าพ่อค้าเร่เข้ามาในหมู่บ้าน ข้าจะติดสอยห้อยตามวิ่งไปโน่นมานี่ ทำธุระทุกอย่างสารพัด เพื่อแลกกับการได้ฟังนิทานมหัศจรรย์เหล่านั้นอีก

พ่อค้าเร่กลุ่มนี้ก็ใจดีเหลือแสน ลุงป้าทั้งหลายไม่เพียงเล่าทุกเรื่องราวที่ข้าอยากรู้โดยไม่เบื่อหน่าย ท่านป้าคนหนึ่งยังสอนข้าเขียนอ่าน หากไม่ใช่เพราะป้าท่านนั้น เด็กกำพร้าคนนี้จะมีความรู้มากมายติดตัวได้อย่างไร

สมาชิกในกลุ่มพ่อค้าเร่มีราวสามสิบคน ทั้งหมดจะเข้ามาในหมู่บ้านทุกสามหรือสี่เดือน พร้อมนำเกวียนร่วมสิบเล่มบรรทุกข้าวของเครื่องใช้ ผ้าพับแพรพรรณ เครื่องโลหะวาววับ คันไถเหล็ก มีดพร้าคมกริบ ซื้อขายแลกเปลี่ยนกับผลผลิตอันอุดมจากเรือกสวนไร่นา

ทุกครั้งท่านป้าจะหาเวลามาเล่านิทาน สอนหนังสือข้าไม่เคยขาด หลายครั้งท่านมีตำรับตำรา หนังสือบันทึกมาฝากข้าด้วย ยิ่งกว่านั้นเมื่อข้าเริ่มพ้นวัยเด็ก ท่านป้ายังสอนการหมักน้ำโสมด้วยวิธีเฉพาะของท่านเอง น้ำโสมของท่านป้ารสชาติกลมกล่อมหอมหวาน กลิ่นกำจรฟุ้งกำจายไกลดั่งเป็นน้ำอมฤตของเหล่าเทวะ

ท่านป้ามักเล่าว่าแคว้นบูรพประเทศของเรา แม้ผืนดินไม่อุดมสมบูรณ์เท่าแคว้นทักษิณาประเทศ ไม่เป็นเส้นทางเชื่อมต่อเฟื่องฟูด้วยศิลปหัตถกรรมเช่นแคว้นปัจฉิมประเทศ และแม้ไม่มั่งคั่งด้วยสินแร่อัญมณีเท่าแคว้นอุตรประเทศ แต่แคว้นของเราก็ทัดหน้าเทียมตาไม่ด้อยกว่าแคว้นใด

นั่นเนื่องเพราะแคว้นบูรพประเทศ อุดมด้วยเหล่านักปราชญ์เปี่ยมผู้มีความรู้ ท่านทั้งหลายเหล่านั้นแต่งตำรับตำรา หนังสือบันทึก คัมภีร์สารพัด สืบทอดต่อกันมานับร้อยปี

เมธาปุระนครเอกแห่งแคว้น ปกครองโดยคณะมนตรีแห่งปราชญ์ ถือกันว่าเป็นแหล่งศึกษาค้นคว้าของผู้ใฝ่ศึกษาจากทุกแคว้น เฉพาะอย่างยิ่งในหอสมุดเมธา เป็นแหล่งรวบรวมสรรพวิชาทั้งแผ่นดิน ทั้งยังเป็นที่เก็บรักษาประวัติศาสตร์ตั้งแต่เริ่มต้นของอรุณวดีมหาทวีป

หลังเล่าเรียนกับท่านป้าไม่นาน ข้าก็มีความรู้พอจะเข้าใจได้ว่า เรื่องราวทั้งหมดที่เคยคิดว่าเป็นเพียงนิทานแสนมหัศจรรย์ ซึ่งบัดนี้ได้ซึมซับอยู่ในห้วงคำนึงหมดสิ้น แท้จริงไม่ใช่นิทานแม้สักเรื่องเดียว

เหล่านั้นล้วนเป็นประวัติศาสตร์ของเหล่าผู้กล้าหาญ ที่เล่าสืบทอดต่อกันมายาวนานตลอดหลายร้อยปี นับจากวันนั้นสายตาที่ข้ามองทุกสิ่งก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป

ข้าเรียนรู้เรื่องราวอัศจรรย์ของท่านปราชญ์ ‘ตรรก’ ผู้วางรากฐานก่อตั้งอรุณวดีมหาทวีป

ข้าตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ของท่านปราชญ์ ‘วสิษฐ์’ และ ท่านปราชญ์ ‘ทักษะ’ ผู้เปลี่ยนการปกครอง ทำให้แคว้นบูรพประเทศปกครองโดยคณะมนตรีแห่งปราชญ์ แทบที่จะปกครองโดยราชตระกูลเช่นแคว้นอื่น

ทว่าเรื่องราวซึ่งตรึงติดในห้วงคำนึง นับแต่เยาว์วัยของข้าและพ้องเพื่อนในหมู่บ้าน เป็นเรื่องราวอันแสนตื่นตาตื่นใจของ ‘หกเวทศาสตราศักดิ์สิทธ์’ และวีรกรรมซึ่งช่วยปกป้องอรุณวดีมหาทวีป ของบรรดาขุนพล จอมเวทย์ เหล่าปราชญ์ ผู้ครอบครองเวทศาสตราศักดิ์สิทธ์ทั้งหกสืบเนื่องจากอดีตกาล

ข้าจดจำนาม ผู้ครอบครองเวทศาสตราศักดิ์สิทธิ์รุ่นปัจจุบันได้ขึ้นใจ ท่านเหล่านั้นคือ ท่านปราชญ์ ‘ภรต’ และท่านปราชญ์ ‘คามิกา’ แห่งเมธาปุระ เจ้าฟ้ามกุฎราชกุมาร ‘มารุต’ และขุนพล ‘อัฒฑ์’ แห่งศานติธานี เจ้าฟ้าหญิงรัชทายาท ‘ญาดา’ และขุนพล ‘กุญช์’ แห่งพุทธินครา

ทว่าท่านเหล่านั้นหายสาปสูญสิ้น หลังประกอบวีรกรรมครั้งยิ่งใหญ่เมื่อสี่สิบเก้าปีก่อน

ณ เวลานั้น ข้ารู้แล้วว่าขุนเขาทางทิศตะวันออก ซึ่งเคยคิดว่าไม่มีวันปีนขึ้นไปได้ แท้จริงเป็นเพียงแขนงเศษเสี้ยวหนึ่งของเทือกเขาเมฆีบรรพต ที่ทอดแนวมหึมาโอบทิศตะวันออก คลุมอาณาบริเวณกว้างใหญ่ทั้งแคว้น ส่วนสายธาราที่โอบทั้งหมู่บ้านไว้ ก็เป็นเพียงแขนงเล็กๆ ของมหานทีนิศาอัมพุ หนึ่งในสี่มหานทีซึ่งไหลหล่อเลี้ยงทุกสรรพชีวิตบนผืนทวีป

ข้าเรียนเขียนอ่านและหมักน้ำโสมหลายปี กระทั่งวันหนึ่งเมื่ออายุครบสิบปี ท่านป้าจึงเริ่มสอนศาสตร์แห่งมายากล ตลอดระยะเวลาห้าปีเต็ม ท่านป้าสอนมายากลทุกแขนงโดยไม่ปิดบัง แล้ววันหนึ่งท่านก็หายตัวไป...

ไม่เพียงท่านป้า เหล่าพ่อค้าเร่กลุ่มของท่านซึ่งเข้ามาค้าขายในหมู่บ้านนับสิบปี กระทั่งสนิทชิดเชื้อเป็นที่ไว้วางใจของชาวบ้าน ต่างพลอยอันตรธานไม่กลับมาค้าขายที่หมู่บ้านอีกเลย

มีเรื่องเล่าลือไปต่างๆ นานามากมาย แต่ส่วนใหญ่แล้วลงความเห็นกันว่า พ่อค้าเร่โชคร้ายกลุ่มนี้คงพบโจรใจทมิฬระหว่างเดินทาง ทั้งหมดคงไม่แคล้วถูกปล้นชิงสังหารเสียชีวิตสิ้นแล้ว

ข้าได้แต่รับฟังอย่างเงียบงัน...แต่ไม่เคยเชื่อเช่นนั้น

ข้ายังคงเฝ้ารอท่านป้า ทว่าก็ไม่ได้ข่าวของท่านหรือพ่อค้าเร่กลุ่มนั้นอีกเลย และยิ่งนานวันข้ากลับยิ่งมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม บางสิ่งในตัวข้าบอกว่าท่านป้ายังมีชีวิตอยู่ สักวันหนึ่งจะต้องได้พบกับท่าน

เมื่ออายุครบสิบแปด ข้าก็รู้ว่าได้เวลาต้องเดินทางออกจากหมู่บ้านแล้ว...

ท่านผู้เฒ่าผู้แก่ ท่านลุงท่านป้า เพื่อนพ้องพี่น้องชาวหมู่บ้าน ทุกคนซึ่งช่วยกันเลี้ยงดูเด็กกำพร้าคนนี้จนเติบใหญ่ ต่างพยายามห้ามปรามสารพัดไม่ว่าใครก็ล้วนเป็นห่วง ไม่อยากให้ข้าออกเดินทางไปเผชิญภัยนอกหมู่บ้าน

ใช่ว่าข้าไม่รัก ไม่ห่วงหาอาทรผู้คนเหล่านั้น อีกทั้งในเวลานั้นก็ไม่รู้ว่าจะเดินทางไปแห่งหนใด แต่บางสิ่งในตัวกลับเรียกร้องและเร่งเร้าให้ออกเดินทาง

ข้าไม่เข้าใจความรู้สึกนั้นและไม่สามารถต่อต้านขัดขืน มีเพียงสิ่งหนึ่งที่รู้และมั่นใจยิ่ง ข้าไม่มีวันใช้ชีวิตทำไร่ทำนาเฉกเช่นชาวบ้านทุกผู้ได้

ท่านป้าเคยบอกไว้ในวันแรกที่เริ่มสอนศาสตร์แห่งมายากล

“วันหนึ่งเจ้าจะเป็นผู้ใช้มายาศาสตร์ที่เก่งกาจที่สุด”

หัวใจของข้าในปีที่อายุครบสิบแปด ไม่มีความลังเลเลยว่าข้าคือ ‘มายากร’ ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์มายากลทุกแขนง

งานของข้าคือสร้างความระทึกตื่นตาตื่นใจ มอบความบันเทิงอันเกิดจากความฉงนสนเท่ห์กับทุกผู้คน ทั้งเล่าขับขานวีรกรรมของเหล่าขุนพลผู้ทแกล้ว จอมเวทย์ผู้ชาญมนตรา นักปราชญ์ผู้เปี่ยมปรีชาญาณ ตลอดถึงประวัติศาสตร์ทุกบทแห่งผืนแผ่นดิน นั่นเป็นหน้าที่ซึ่งข้าเต็มใจกระทำอย่างยิ่ง

เมื่อรู้ว่ารั้งตัวข้าไว้ไม่ได้ ทุกคนในหมู่บ้านช่วยกันรวบรวมเงินให้ข้าเป็นค่าเดินทาง ชาวหมู่บ้านจัดพิธีพลีกรรมให้พระแม่และพระธิดา เพื่อทั้งสองพระองค์จักได้ประทานพรแก่ข้า ให้เดินทางโดยปลอดภัยและประสบความสำเร็จในทุกสิ่งที่ปรารถนา เป็นครั้งแรกหลังพ้นวัยเยาว์ที่ข้าหลั่งน้ำตาอย่างไม่อายใคร ไม่เคยรู้เลยว่าเด็กกำพร้าคนหนึ่งจะเป็นที่รักใคร่ของคนทั้งหมู่บ้านเพียงนี้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่