พระสมเด็จฯ ผู้มีปฏิปทาอย่างนี้ หายากยิ่งนัก ที่จะอ่อนน้อมถ่อมตน ยอมลดตน ลดทิฏฐิมานะเพื่อธรรมขั้นสูงนั้นเจอ

กระทู้สนทนา
ผมตัดชื่อกระทู้จากประโยคเต็มไปเล็กน้อยเพื่อให้กะทัดรัดครับ
เหตุหลักที่ยกระทู้นี้ขึ้นมา เพื่อจะแสดงว่า
แม้พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ธรรมวินัยนี้่จักเป็นศาสดาของเธอ
ท่านก็ไม่ได้กล่าวห้ามการรับฟังคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์

การศึกษาจากพระไตรปิฏกเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีครูบาอาจารย์นั้น
แม้พระไตรปิฏกไม่มีส่วนที่สอนผิดแม้แต่คำเดียว
แต่ระดับภูมิปัญญาคนที่ตีความนั้น มีความสูงต่ำแตกต่างกันไป

การตีความแล้วคิดเองเออเองผู้เดียวย่อมมีโอกาสผิดเพี้ยนได้สูง
แม้กระทั่งระดับพระสมเด็จ ยังยอมละมานะ ละอัตตา
จึงมีโอกาสได้บรรลุธรรมขั้นสูง

เฉกเช่นเดียวกับพระโปธิละที่เป็นถึงธรรมกถึกต้องยอมละอัตตา
ให้สามเณรเป็นอาจารย์จึงจะบรรลุอรหันต์ได้

ครูบาอาจารย์จึงเป็นเรื่องจำเป็นต่อผู้ที่มีทัศนคติแบบเชื่อมั่นในตัวเองสุง
หรือพวกที่เป็นน้ำชาล้นถ้วย เป็นต้น

-------------------------

หลวงตาเล่าเรื่องท่านพ่อลี  สอนสมาธิสมเด็จฯ


               ในเรื่องนี้ขอนำเรื่องท่านพ่อลีสอนสมาธิสมเด็จพระมหาวีรวงศ์  (ติสฺโส  อ้วน)  ที่หลวงตามหาบัว  ญาณสมฺปนฺโน  เล่าไว้   มาถ่ายทอดให้ท่านทั้งหลายได้รับทราบกัน  มีความว่า

               ....พระสมเด็จฯ ผู้มีปฏิปทาอย่างนี้   หายากยิ่งนัก   เพราะสมัยนี้อย่าหวังว่าจะหาพระสมเด็จที่อ่อนน้อมถ่อมตน  ยอมลดตน  ลดทิฏฐิมานะเพื่อธรรมขั้นสูงนั้นเจอ

               .....หาเข็มในมหาสมุทรยังง่ายกว่า!!   เป็นไหน ๆ ......

               .....ในสมัยที่ท่านพ่อลีอยู่จำพรรษากับสมเด็จพระมหาวีรวงศ์  (ติสฺโส  อ้วน)  วัดบรมนิวาส  ปทุมวัน  กรุงเทพฯ  ท่านได้รับความเมตตาจากเจ้าประคุณสมเด็จฯ เป็นอย่างมาก

               .....แต่สมเด็จฯ ท่านไม่ค่อยจะเชื่อน้ำยาพระกรรมฐานสักเท่าไร  ท่านเคยออกคำสั่งไล่พระกรรมฐานออกจากป่า  แม้หลวงปู่มั่น  ภูริทตฺโต  เองก็เคยถูกท่านไล่มาแล้ว....

               ท่านพ่อลีจึงคิดหาทางที่จะดัดนิสัยสมเด็จฯ ให้รู้เสียบ้างว่า

               .....ธรรมของจริง  ผู้รู้จริงเป็นอย่างไร  สมเด็จฯ ท่านอ่านตำรามาก  ชอบวิจารณ์วิจัย   แต่วัน ๆ ผ่านไปโดยไม่ปฏิบัติสมาธิภาวนาพิจารณาสังขาร  ทำแต่งานภายนอก

               คิดดูแล้วก็น่าสงสาร  ท่านเป็นผู้มีคุณูปการต่อเรา   เราต้องปฏิบัติการตอบท่านด้วยธรรมที่รู้เห็นมาตามสติปัญญาที่มี

               เมื่อท่านพ่อลีคิดอย่างนั้น  ท่านก็เริ่มปฏิบัติการเบื้องต้น....ท่านจึงกำหนดจิตเพ่งกสิณน้ำและไฟ  

               .....ในบางคราวเพ่งกสิณน้ำใส่สมเด็จฯ    สมเด็จฯ ก็จะหนาวสะบั้นสั่นเทาเหมือนคนเป็นไข้จับสั่น

               .....บางคราวเพ่งกสิณไฟ   กำหนดเป็นไฟไปเผา   สมเด็จฯ ร้อนรนกระวนกระวายผ่าวไปทั้งร่าง

               แต่การเพ่งกสิณทั้งนี้ไม่ให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพ....กลับเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย   เมื่อเป็นเช่นนี้บ่อย ๆ สมเด็จฯ  ท่านจึงเรียกท่านพ่อลีมาถามว่า  เอ...วันนี้มัน  มันเป็นอะไรกันนะ  เดี๋ยวร้อนเหมือนถูกไฟเผา   เดี๋ยวหนาวจนสะบั้น

               เมื่อท่านพ่อลีเข้าไปหา  ทำทีจับโน่นจับนี่   ไหน....ไหน....มันเป็นอะไร  อากาศร้อนหนาวมันก็เปลี่ยนแปลงบ้างแหละ....ขอรับเจ้าประคุณ!.

               เมื่อเป็นหลายครั้งหลายหน  สมเด็จฯ ท่านเป็นนักปราชญ์ฉลาดหลักแหลม   ช่างสังเกตหาเหตุผลเสมอจึงเอะใจ    เป็นที่น่าสงสัยเพราะถ้าท่านพ่อมาเมื่อใดอาการนั้นก็หายทันที   ท่านจึงพูดกับพระใกล้ชิดว่า  เหตุที่เป็นดังนี้....ท่านลีคงทำเราแหละ   เราเคยดูถูกพ่อของพระกรรมฐานคือท่านพระอาจารย์มั่น   ซึ่งเป็นอาจารย์ของท่านลี

               หลังจากนั้นมา    สมเด็จฯ  ท่านก็เข้าใจพระป่า  อุดหนุนส่งเสริมในการสร้างวัดป่ากรรมฐาน  เช่น  วัดป่าสาลวัน  จังหวัดนครราชสีมา   ซึ่งเป็นวัดที่สำคัญเป็นกองทัพธรรมกรรมฐานในสมัยนั้น

               ต่อมาสมเด็จฯ ท่านขอร้องให้ท่านพ่อลีสอนสมาธิให้ทุกวัน  ท่านพ่อลีไปอยู่แห่งหนตำบลใด  ท่านก็จดหมายไปตามมาทุกครั้ง   นับว่าท่านพ่อลีเป็นผู้ที่ท่านโปรดปรานมาก   เมื่อสมเด็จฯ ปฏิบัติได้ถึงขั้นจิตลงสู่ความสงบ   ท่านถึงกล่าวชมท่านพ่อลีว่า

               ....คำพูดของคุณแปลกจากพระกรรมฐานองค์อื่น    แม้เราจะทำไม่ได้ไม่ถึง   ก็เข้าใจได้ชัดแจ้งไม่สงสัย  พระอาจารย์มั่น   พระอาจารย์เสาร์   ที่เคยอยู่ใกล้ชิดกับเรา    เราก็ไม่ได้ประโยชน์เหมือนคุณมาอยู่กับเรา   เพราะเรารู้สึกมีสิ่งแปลกประหลาดใจหลายอย่างในขณะนั่งสมาธิ

               แล้วเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านก็เผยความในใจว่า  .....เราไม่เคยนึกเคยฝันเลยว่า   การนั่งสมาธิจะมีประโยชน์มากอย่างนี้   เราก็ได้บวชมานาน   ไม่เคยเกิดความรู้สึกอย่างนี้เลย   แต่ก่อนเราไม่นึกว่าการทำสมาธิเป็นของจำเป็น   แต่บัดนี้เราได้เข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าที่แท้จริง   อันมีผลปรากฏที่ใจแล้ว

               หลวงตามหาบัว  ญาณสมฺปนฺโน  ได้กล่าวสรุปไว้อย่างน่าฟังว่า   ท่านพ่อลีนี่เองเป็นผู้ที่สามารถเอาชนะใจสมเด็จฯ ได้   แต่ก่อนนั้นสมเด็จฯ เป็นคนบ้ายศ   แล้วเที่ยวขนาบกรรมฐานไปทั่ว  เที่ยวไล่  ไล่พระกรรมฐานที่อยู่ในป่าในเขา  หลวงปู่มั่นก็เคยถูกไล่  

               ต่อมาในงานเผาศพหลวงปู่เสาร์  กนฺตสีโล   สมเด็จฯ ได้พบกับท่านพระอาจารย์มั่น  ท่านจึงเดินเข้าไปหาและพูดว่า

               เออ!  ท่านมั่น  เราขอขมาโทษเธอ   เราเห็นโทษแล้ว   แต่ก่อนเราก็บ้ายศ

               หลวงตามหาบัวเล่าพร้อมทั้งหัวเราะ   มีรอยยิ้มหน่อย ๆ ที่ริมฝีปาก   เป็นกิริยาที่น่ารักเคารพของพระอริยเจ้าผู้สงบระงับ  

               นี่เองสาระสำคัญในบทนี้   ท่านผู้มีธรรมท่านปฏิบัติต่อกันด้วยความงดงาม   ถือธรรมวินัยเป็นใหญ่   ไม่ได้ถือยศตำแหน่งอันกิเลสแต่งแต้มให้ลุ่มหลง   ผู้รักธรรมจึงยอมตน   สละตนจากความยึดมั่นถือมั่น  ไปสู่ความว่างเปล่าจากกิเลส   แต่เต็มตื้นไปด้วยคุณธรรม

               เพราะการบรรลุธรรม   บรรลุด้วยใจ   หาใช่บรรลุด้วยยศถาบรรดาศักดิ์   เพศภาวะ   ชาติตระกูล   ญาติพี่น้อง   หรือทรัพย์สินเงินทองไม่   หากอยากได้ต้องมีการประพฤติปฏิบัติ   พระกรรมฐาน  มีวิชชา  มีธรรม  มีศีล  และมีชีวิตอันอุดมไปด้วยควาีเท่านั้น  .....เพียงเท่านั้นจริง ๆ ฯ

               ขณะที่สมเด็จพระมหาวีรวงศ์  (ติสฺโส  อ้วน)  กำลังอาพาธหนัก  ท่านได้สั่งว่า  

         ท่านลี   ต้องอยู่กับเราจนตาย   ถ้าเรายังไม่ตายจะหนีไปไหนไม่ได้  จะมาเฝ้าหรือไม่เฝ้าอยู่ปฏิบัติก็ตาม  ขอให้เรารู้ว่าอยู่กับเราก็พอ  

               ท่านพ่อลีจึงรับปากว่าจะอยู่ปฏิบัติ   แต่ก็คิดในใจว่า   เป็นกรรมอะไรของเราหนอถึงต้องมาอยู่เหมือนถูกกักขังในเมืองพระนครเช่นนี้   ทันใดนั้นท่านได้กำหนดจิตพิจารณาได้ทราบว่า   เป็นกรรมเก่าที่เคยขังนกเขาไว้   ก็เลยต้องจำใจอยู่
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่