หุ้นไทยดิ่งแรง 27.57 จุด นลท.หวั่นสงครามการค้าเดือด-กองทุนไทยอีเอสจีเอ็กซ์ไม่ช่วยจำกัดทางลง
https://www.matichon.co.th/economy/news_5088885
หุ้นไทยดิ่งแรง 27.57 จุด นลท.หวั่นสงครามการค้าเดือด-กองทุนไทยอีเอสจีเอ็กซ์ไม่ช่วยจำกัดทางลง
เมื่อวันที่ 12 มีนาคม ผู้สื่อข่าวรายงานภาวะหุ้นวันนี้ว่า หุ้นเคลื่อนไหวในแดนลบ โดยเปิดตลาดภาคเช้ามาที่ระดับ 1,187.63 จุด ก่อนปิดตลาดภาคบ่ายที่ระดับ 1,160.06 จุด ปรับลดลง 27.57 จุด หรือลบ 2.32% โดยดัชนีทำจุดสูงสุดที่ระดับ 1,186.57 จุด และทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,158.17 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 46,281.66 ล้านบาท
นายฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทย ดัชนีปรับลดลงอย่างรุนแรง 2.32% สาเหตุเป็นเพราะมีความกังวลผลกระทบจากปัญหาสงครามการค้า (เทรดวอร์) ระหว่างสหรัฐและจีน รวมถึงเม็กซิโกและแคนาดา ถือเป็นการกีดกันการค้าที่เข้มข้นขึ้น หลังรัฐออนแทริโอของแคนาดาจะเรียกเก็บภาษีกระแสไฟฟ้าที่ส่งให้แก่สหรัฐ ขณะที่สหรัฐตอบโต้ทันทีเพิ่มภาษีนำเข้าอะลูมิเนียมและเหล็กจากแคนาดา 25% โดยประเมินความเสี่ยงเพิ่มต่อเศรษฐกิจสหรัฐในฐานะผู้นำเข้า 2 สินค้าดังกล่าวจากแคนาดาเป็นหลัก รวมถึงการกีดกันการค้าที่อาจขยายวงสู่อุตสาหกรรมอื่น ๆ ด้วย ประกอบกับนักลงทุนเกิดความสับสนต่อเงื่อนไขและรายละเอียดของกองทุนไทยแลนด์ อีเอสจีเอ็กซ์ รูปแบบใหม่ ทำให้กองทุนดังกล่าวอาจไม่สามารถเป็นส่วนช่วยจำกัดทางลงของดัชนีได้ ให้กรอบหุ้นไทย แนวรับอยู่ที่ระดับ 1,150 จุด
ทั้งนี้ เซกเตอร์ที่ปรับลดลง คือ กลุ่มพลังงาน (PTT, GULF, BGRIM), กลุ่มอิเล็กฯ (DELTA, KCE, HANA), กลุ่ม ICT (ADVANC, INTUCH, TRUE), และ กลุ่มค้าปลีก (CPAXT, CPALL, HMPRO, CRC) ซึ่งถือเป็นแรงกดดันตลาดหุ้นในภาพรวม
ฝ่ายมั่นคง รับ สมช.มีมติส่งกลับอุยกูร์ก่อนแจงกมธ.ครั้งแรก ตม.ชี้ ไม่มีกล้องบันทึกที่กักตัว
https://www.matichon.co.th/politics/news_5088401
“กมธ.กฎหมาย” เผย ตม.ไม่มีกล้องบันทึก กระบวนการการกักกัน “ชาวอุยกูร์” หลายหน่วยงานแจง ยังไม่ทราบเรื่องตอนชี้แจงครั้งแรก จะส่งหลักฐานให้กมธ.ภายใน 15 วัน
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 12 มีนาคม ที่อาคารรัฐสภา นายกมลศักดิ์ ลีวาเมาะ ส.ส.นราธิวาส พรรคประชาชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน แถลงถึงผลการประชุมกมธ. เพื่อพิจารณาติดตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเกี่ยวกับการดำเนินการส่งตัวผู้ถูกกักตัวชาวอุยกูร์กลับไปประเทศต้นทาง โดยได้เชิญ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงการต่างประเทศ (ก.ต.) สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) และ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มาชี้แจงเมื่อเช้านี้
นายกมลศักดิ์กล่าวว่า การประชุมในวันนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากว่า ตามที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้ว่าพี่น้องชาวอุยกูร์ถูกส่งกลับประเทศต้นทางซึ่งคือประเทศจีน เมื่อวันที่ 29 มกราคม กมธ.ได้เรียกหน่วยงานมาสอบถามก่อนแล้วเพื่อความปลอดภัย ซึ่งเนื่องจากว่าช่วงที่เราเรียกหน่วยงานเข้ามาชี้แจง ทุกหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงต่างประเทศ ตม. หรือสมช. ปรากฏว่าตอนนั้นทุกหน่วยงานปฏิเสธหมด ว่าไม่มีนโยบายที่จะส่งตัวชาวอุยกูร์กลับ ดังนั้นกมธ.จึงติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด แต่หลังจากกมธ.ได้เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาชี้แจงแล้ว ก็มีข่าว จนกระทั่งเกิดเป็นเรื่องจริงตามที่เราทราบกัน จนเป็นที่มาที่เราเห็นว่ามีหลายประเด็น ที่เราซึ่งเป็นกมธ.กฎหมาย เราอยากเห็นการปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย โดยเฉพาะขั้นตอนการส่งกลับให้เป็นไปตามพรบ.ซ้อมทรมาน เป็นไปตามหลักสากลและตามกฎหมายของไทยเองด้วย และอยากทราบว่าทำไมเมื่อวันที่ 29 มกราคม จึงปฏิเสธบอกว่าไม่ทราบเรื่องนี้ แล้วมันเกิดขึ้นได้อย่างไร
นายกมลศักดิ์กล่าวต่อว่า วันนี้จึงได้เชิญหน่วยงานเดิมมาพูดคุยสอบถาม รวมไปถึงกระทรวงยุติธรรม ในฐานะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานคณะกรรมการป้องกันปราบปรามการซ้อมทรมาน ประเด็นแรกที่เราตั้งคำถามคือเหตุใดครั้งที่แล้วจึงปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่อง และกระบวนการขั้นตอนการส่งกลับมีที่มาที่ไปอย่างไรมีอะไรสะท้อนถึงความสมัครใจ และได้ปฏิบัติตามพรบซ้อมทรมาน มาตรา 13 มาตรา 22 และมาตรา 23 หรือไม่อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมตัว การถ่ายกล้องวิดีโอต่างๆในการควบคุมตัว
ประเด็นแรก ทางหน่วยงานตอบ ในตอนที่เข้ามาชี้แจงในวันที่ 29 มกราคมนั้น เขาไม่ทราบจริงๆ แต่มาทราบภายหลังว่าเรื่องนี้ สมช. ได้มีการประชุมลับ ตั้งแต่ 17 มกราคม ซึ่งแปลว่า สมช. ได้มีมติตั้งแต่ก่อนมาชี้แจงแล้ว แต่ไม่แจ้งให้หน่วยงานระดับปฏิบัติงานทราบ หลังจากการชี้แจงกับกมธ. ในช่วงต้นกุมภาพันธ์ ทางสมช. ถึงได้แจ้งประสานงานมาว่าจะมีการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน และทางสถานทูตจีนจะเข้าไปพบผู้ถูกกักที่สวนพลูเพื่อทำข้อมูลส่วนบุคคล ถึงกระบวนการในการทำข้อมูลส่งตัวกลับ โดยในเรื่องของความสมัครใจนั้น เขาบอกว่า เอาพฤติการณ์ที่สถานทูตจีนไปทำข้อมูลส่วนบุคคล เป็นพฤติการณ์ที่แสดงความสมัครใจ แต่ไม่ได้มีเอกสารมาแสดงเป็นหลักฐานให้กับกมธ. ทางกมธ. จึงมีมติให้ทางตม.ส่งเอกสาร เกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล และไทม์ไลน์กระบวนการ ที่ทางสถานทูตจีนเข้าไปตรวจสอบข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ถูกกัก พร้อมทั้งกล้องวิดีโอหลักฐานกระบวนการ ให้ทางกมธ. ภายใน 15 วัน แต่จะมีใบเอกสารที่เซ็นยินยอมแสดงความสมัครใจหรือไม่อย่างไรนั้น ทางตม. จะประสานกับทางสถานทูตจีนให้เพราะเอกสารต่างๆอยู่ที่ทางสถานทูตจีนทั้งหมด แล้วจึงจะส่งมาทางกมธ.
ส่วนในเรื่องของกล้อง เขาบอกว่า กล้องที่อยู่ที่กักตัวนี้ เป็นลักษณะกล้องเรียลไทม์ไม่มีการอัดบันทึกไว้ พูดง่ายๆคือไม่มีงบในการที่จะทำสิ่งเหล่านี้ ซึ่งนั่นคือคำตอบของทางตม. ส่วนเรื่องการควบคุมตัว ทางกมธ. เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องปฏิบัติตามพ.ร.บ.ซ้อมทรมาน ตั้งแต่มาตรา 13 ว่า ไม่ให้หน่วยงานของรัฐส่งตัวผู้หลบหนีเข้าเมืองกลับไปยังรัฐต้นทาง หากมีพฤติการณ์น่าเชื่อว่าจะถูกกระทำย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และมีกระบวนการตามมาตรา 22 ว่าผู้ถูกควบคุมเหล่านี้ ต้องมีการบันทึกภาพ และ ต้องมีการบันทึกข้อมูลตามมาตรา 23 เมื่อเราถามว่าท่านได้ปฏิบัติสิ่งเหล่านี้หรือไม่ และมีการหารือว่าชาวอุยกูร์จะไม่มีการถูกทำร้ายถูกกระทำย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือไม่ ปรากฏว่าหน่วยงานที่ชี้แจง ไม่ใช่ระดับที่เข้าประชุมร่วมกับสมช. เขาบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ สมช. พิจารณา จะพิจารณาเช่นไรหรือไม่อย่างไร เราไม่มีคำตอบในวันนี้ ส่วนในเรื่องของกล้อง ตม.ตอบว่าเคสนี้ไม่อยู่ในข่ายพ.ร.บ.ซ้อมทรมาน ซึ่งเป็นความเห็นแย้งกับกมธ. เค้าบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของคนต่างชาติ ไม่ใช่เป็น ความหมายของการถูกควบคุมตัวตามพรบ.ซ้อมทรมานมาตรา 22 นั่นหมายความว่าขณะควบคุมตัวไม่จำเป็นต้องมีกล้องบันทึกภาพ แต่กมธ. หลายท่านเห็นแย้งว่าพรบ.ซ้อมทรมานใช้กับกรณีนี้ด้วย ซึ่งหมายความว่าตม.ไม่มีภาพบันทึกในช่วงควบคุมตัวให้
กมธ. จึงมีความเห็นว่าพ.ร.บ.ซ้อมทรมานหลังจากนี้ไปคงต้องมีการมาทบทวนมาพูดคุย กับระดับปฏิบัติงานให้มีความเข้มข้นมากกว่านี้ และจะได้มีความเข้าใจตรงกันไม่อย่างนั้นจะมีปัญหาอย่างนี้อยู่ตลอด ไม่จบไม่สิ้น ส่วนในประเด็นอื่นๆนั้นเราจะให้ทางฝ่ายบริหารเป็นผู้พิสูจน์ว่าส่งไปแล้วเป็นไปตามมาตรา 13 คือไม่ได้ถูกย่ำยีถูกทำร้ายร่างกาย ได้อยู่อย่างดีที่ประเทศจีน ทางสมช. กล่าวว่ารัฐบาลฝ่ายบริหารมีนโยบายว่าหลังจากนี้จะเดินทางไปดูสภาพความเป็นอยู่ กมธ.จึงบอกว่าจะไปเมื่อไหร่ ให้ทางสมช.แจ้งให้ทางกมธ.ทราบ และส่งข้อมูลโดยเร็วหลังจากที่เดินทางไปแล้ว
ด้านนายกัณวีร์ สืบแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม ในฐานะรองประธานกมธ. กล่าวว่า ตนอยากจะเสริมเล็กๆ ในเรื่องของการรับฟังส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง วันนี้ก็ยังมีเงื่อนงำในเรื่องเกี่ยวกับไทม์ไลน์ รวมถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ในเรื่องเกี่ยวกับการผลักดันผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน ซึ่งเรื่องนี้ตนไม่อยากทำให้เป็นประเด็นในเรื่องการเมือง ซึ่งหลายคนอาจจะมองว่าตนไม่ยอมมูฟออน ไม่ยอมก้าวข้ามไป แล้วไปดูว่าเค้าไปที่นู่นแล้วเป็นยังไงดีหรือไม่ดี แต่ปัจจุบันนี้เราต้องหาความชอบธรรมให้ได้จริงๆ ซึ่งความชอบธรรมนี้คือความสมัครใจของพี่น้องผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ทั้ง 40 ชีวิต ก่อนที่จะเดินทางเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ เราจำเป็นจะต้องมีหลักฐานข้อมูลอย่างชัดเจน ว่าครั้งนี้ไม่ใช่การผลักดัน อย่างที่เรามีกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างพ.ร.บ.ป้องกันการอุ้มหาย การซ้อมทรมาน รวมถึงกรอบกฎหมายระหว่างประเทศเรื่อง non-refoulement หรือหลักการห้ามผลักดันกลับ เพราะฉะนั้นเราจำเป็นจะต้องหาหลักฐานตรงนี้มาให้ได้จริงๆ เราไม่อยากให้ภาพลักษณ์ภาพพจน์ของประเทศไทยตกไปอยู่ในพื้นที่ที่สูญเสียต่อการวิพากษ์วิจารณ์ ต่อคำครหา และกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ไทย เป็นสมาชิกในเวทีระหว่างประเทศ ซึ่งในวันนี้เรายังไม่ได้ข้อมูลและข้อเท็จจริงจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้องที่เข้ามาชี้แจง ดังนั้นเราต้องรออีก 15 วันไม่เกิน ถึงจะมีหลักฐานเพิ่มเติมเข้ามา อย่างไรก็ตามตนยังมองเห็นว่าหลักฐานที่จะเพิ่มเติม ไม่สามารถจะบอกถึงความชัดเจนได้ในการสมัครใจ ของพี่น้องชาวอุยกูร์ผู้ลี้ภัยทั้งหมด 40 ชีวิต ที่ถูกผลักดันกลับไปเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา
ยับเยิน! ผู้ประกันตนแห่ถล่มเพจสำนักงานประกันสังคมหลังเปิดเผยยอดเดือนก.พ.
https://www.dailynews.co.th/news/4488247/
เปิดยอดผู้ประกันตน 3 มาตรา 24 ล้านคน ได้สิทธิประโยชน์สูงสุด 7 กรณี
สำนักงานประกันสังคมเผยยอดจำนวนผู้ประกันตนสรุปยอดในเดือน ก.พ. 2568 รวม 3 มาตรา รวม 24,776,234 คน แบ่งเป็นมาตรา 33 ผู้ประกันตนในระบบที่มีนายจ้าง จำนวน 12,057,371 คน มาตรา 39 คือลูกจ้างที่ออกจากระบบที่มีนายจ้างแล้วเข้าสู่การประกันตนเอง จำนวน 7,049,727 คน และมาตรา 40 คือผู้ประกันตนเอง จำนวน 1,217,737 คน
สำหรับสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับแบ่งเป็นรายมาตรา ดังนี้ มาตรา 33 จะได้สิทธิที่ประโยชน์ 7 กรณีคือ เงินชดเชยการเจ็บป่วยหรือประสบอันตราย เงินชดเชยการคลอดบุตร เงินชดเชยทุพพลภาพ เงินชดเชยกรณีเสียชีวิต เงินสงเคราะห์บุตร เงินบำนาญชราภาพและ เงินชดเชยกรณีว่างงาน
มาตรา 39 จะได้สิทธิประโยชน์ 6 กรณี ประกอบด้วย กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย กรณีคลอดบุตร กรณีทุพพลภาพ กรณีการเสียชีวิต กรณีสงเคราะห์บุตร และเงินบำนาญชราภาพ
ส่วนมาตรา 40 ผู้ประกอบอาชีพอิสระจะได้สิทธิประโยชน์ 3-5 กรณี ประกอบด้วย กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย (รับเงินทดแทนการขาดรายได้) กรณีทุพพลภาพ กรณีเสียชีวิต เงินสงเคราะห์บุตรและบำนาญชราภาพ
JJNY : 5in1 หุ้นไทยดิ่งแรง│รับสมช.มีมติส่งกลับอุยกูร์│ผู้ประกันตนแห่ถล่มเพจ│พายุซัดวัดดังอุทัยฯ│คาด “ปูติน” ไม่ยอมรับ
https://www.matichon.co.th/economy/news_5088885
ฝ่ายมั่นคง รับ สมช.มีมติส่งกลับอุยกูร์ก่อนแจงกมธ.ครั้งแรก ตม.ชี้ ไม่มีกล้องบันทึกที่กักตัว
https://www.matichon.co.th/politics/news_5088401
ยับเยิน! ผู้ประกันตนแห่ถล่มเพจสำนักงานประกันสังคมหลังเปิดเผยยอดเดือนก.พ.
https://www.dailynews.co.th/news/4488247/
เปิดยอดผู้ประกันตน 3 มาตรา 24 ล้านคน ได้สิทธิประโยชน์สูงสุด 7 กรณี