JJNY : 5in1 เปิดข้อมูลใหม่ ส่งตัวให้จีน│พิธาชี้ไทยเสี่ยง│ซัดเดือดประกันสังคม│กมธ.สาธารณสุขจี้สปส.│ฝรั่งเศสเสนอแชร์ข้อมูล

มติกมธ.มั่นคง ขอวงจรปิด วันส่งกลับอุยกูร์ ด้านโรม เปิดข้อมูลใหม่ สมช. เคาะส่งตัวให้จีน ตั้งแต่ม.ค.แล้ว
https://www.matichon.co.th/politics/news_5079358
 
 
โรม เปิดข้อมูลใหม่ ที่ประชุม สมช.เคาะส่งกลับชาวอุยกูร์ตามที่จีนขอ ตั้งแต่ 17 ม.ค.68 ชัดเจนมีประเทศที่สามขอรับตัว แต่ไทยไม่เคยตอบกลับ ด้าน พรรณิการ์ ผิดหวัง ‘ทูตรัศม์’ แจงประเทศอื่นไม่จริงจังปล่อยไทยเจรจาคนเดียว ชี้การทูตไม่ใช่เอเยนต์ รู้ว่ามีทางเลือกอื่นแต่ทำไมไม่พิจารณา
 
เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ กล่าวภายหลังพิจารณา วาระผลกระทบจากการผลักดัน 40 ชาวอุยกูร์กลับจีนว่า ได้ข้อมูลว่าในการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในวันที่ 8 มกราคม 2568 มีหนังสือจากทางการจีนส่งถึงไทย เพื่อขอตัวคนอุยกูร์อย่างเป็นทางการ 
ซึ่ง สมช.มีการประชุมและลงมติ 17 มกราคม 2568 ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีความสำคัญ เท่าที่ทราบมีการประชุมโดยคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน ซึ่งเกิดขึ้นหลังมีมติส่งตัวชาวอุยกูร์ทั้ง 40 คนกลับจีนแล้ว ครั้งนั้นมีการยืนยันว่าจะไม่ส่งตัวกลับไปที่ประเทศจีนอย่างแน่นอน
 
นายรังสิมันต์กล่าวว่า เมื่อไปดูในรายละเอียดในการประชุมของ สมช.มีรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการประชุมเรื่องนี้ อาทิ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งเป็นคีย์แมนสำคัญที่ตัดสินใจเรื่องนี้ โดยเหตุผลในการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับ ไม่ชัดเจนว่าประเทศไทยได้ประโยชน์อะไร กลายเป็นเรื่องที่ สมช.พูดว่าอยู่ในห้องกัก ตม. (สวนพลู) ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน เราจึงถาม ตม.ว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน เข้าข่าย พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทำร้ายและการกระทำที่ทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 หรือไม่ ซึ่ง ตม.ปฏิเสธ
 
นายรังสิมันต์กล่าวว่า ที่ผ่านมาไม่ได้มีการสร้างกลไกแก้ปัญหาเรื่องนี้จึง เป็นปัญหาที่ค้างคาอยู่ที่ประเทศไทยเรื่อยๆ ส่วนกรณีประเทศที่สาม ที่มีการให้ข้อมูลว่าประเทศที่สามไม่ได้จริงจัง ต่อการรับคนอุยกูร์ไปอยู่ด้วย เมื่อพูดคุยรายละเอียดข้อเท็จจริงพบว่า ไทยไม่เคยทำหนังสืออย่างเป็นทางการในการสอบถามประเทศที่สามเช่นกัน เราไม่เคยทำหน้าที่เชิงรุกในการประสานงาน พูดคุยส่งชาวอุยกูร์ไปยังประเทศที่สาม อาจจะมีการพูดคุยด้วยวาจา แต่ไม่ได้มีการประสานอย่างจริงจัง หน่วยงานรัฐโดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศบอกว่า ประเทศที่จริงจังที่สุดในการขอรับคนอุยกูร์คือ ประเทศจีน แต่ประเทศไทยก็ไม่ได้จริงจังกับประเทศใด ปล่อยให้มันคาราคาซังแบบนี้
 
ข้อมูลที่ได้รับในวันนี้ค่อนข้างชัดว่า มีประเทศที่สามมากกว่าหนึ่งประเทศ พร้อมรับชาวอุยกูร์ทั้งหมด แต่ปัญหาคือ ไทยไม่เคยตอบรับหรือมีหนังสือส่งชาวอุยกูร์ไปประเทศที่สาม รัฐบาลไทยจึงส่งพวกเขากลับจีน
 
ขณะที่ประเด็นเรื่องความปลอดภัยคณะกรรมาธิการฯ มีมติขอข้อมูลกล้อง CCTV รายชื่อคนอุยกูร์ทั้งหมดพร้อมรูปถ่ายที่จะยืนยันได้ว่า เขาสมัครใจกลับหรือไม่ เพราะการจะดูว่าสมัครใจหรือไม่ กล้องวงจรปิดน่าจะให้ข้อมูลได้ ส่วนรถที่ใช้ในการขนไปส่งที่ฐานทัพอากาศดอนเมือง ในรถคันดังกล่าวจะมีกล้องวงจรปิดด้วย เราจะขอข้อมูลส่วนนี้มา ซึ่งจะได้เห็นสภาพความเป็นอยู่ อากัปกิริยาว่ามีความเต็มใจหรือไม่
 
ด้าน น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกคณะก้าวหน้า ในฐานะที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นผลดีกับใครทั้งสิ้น รวมถึงไม่เป็นผลดีต่อประเทศไทยในระยะยาวด้วย จากการแถลงของนายภูมิธรรมในช่วงค่ำวันที่ส่งคนอุยที่กูร์กลับจีน ได้ใช้คำว่าไม่มีประเทศไหนเลยในรอบ 11 ปีที่ผ่านมาที่ติดต่อขอรับตัวชาวอุยกูร์ นอกจากจีน แต่วันนี้ชัดเจนแล้วว่ามีการติดต่อโดยข้าราชการระดับรองอธิบดีของกระทรวงต่างประเทศ มีอย่างน้อยสามประเทศที่ติดต่อขอรับตัว
 
น.ส.พรรณิการ์กล่าวว่า การที่รัฐบาลพูดว่าไม่มีความจริงจัง เพราะไม่มีหนังสือนั้นในหลักการดำเนินการทางการทูตจะเริ่มต้นด้วยการติดต่อกับรัฐบาล หรือกระทรวงการต่างประเทศด้วยวาจา ถึงจะดำเนินการขั้นต่อไปในการทำ จดหมายทางการทูต วันนี้จึงถามนายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ว่า รัฐบาลไทยเคยทำหนังสือไปยังประเทศอื่นหรือไม่ เนื่องจากสหรัฐอเมริการะบุชัดเจนว่ารัฐบาลสหรัฐเคยยื่นเงื่อนไขในการแก้ปัญหาอุยกูร์ และอยากให้รัฐบาลไทยพิจารณาพิจารณา
 
ซึ่งนายรัศม์ได้กล่าวในที่ประชุมว่าไทยได้เจรจาปากเปล่า และไม่เคยทำหนังสือใดๆ จึงเป็นเรื่องที่ย้อนแย้งในตัว ในขณะที่ท่านบอกว่าประเทศอื่นไม่จริงจัง ประเทศไทยก็ไม่ได้จริงจังกับเขาก่อน เพราะทางการทูตต้องทำเท่ากันทั้งสองประเทศ หากรัฐไทยบอกว่าประเทศอื่นไม่จริงจังและประเทศอื่นต้องไปเจรจากับจีนด้วย ไม่ใช่ปล่อยให้ไทยเจรจาคนเดียว จึงเป็นเรื่องที่น่าผิดหวัง นี่คือคำพูดจากผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจริงหรือไม่
 
การทูตไทยไม่จำเป็นต้องให้ประเทศอื่นเป็นเอเยนต์ตัวแทนในการเจรจากับจีน เรามีเกียรติศักดิ์ศรีมากเพียงพอในการเจรจาด้วยตนเอง วันนี้จึงต้องถามกลับว่าการส่งตัวกลับจีน ท่านทำทั้งที่รู้ว่ามีทางเลือกอื่นที่เป็นไปได้ แต่ท่านไม่จริงจังพิจารณาทางเลือกนั้น” น.ส.พรรณิการ์กล่าว
 
น.ส.พรรณิการ์กล่าวว่า ทั้งนี้นายรัศม์ยืนยันหนักแน่นว่าจะต้องเชื่อรัฐบาลจีนเนื่องจากเขารับรองความปลอดภัย จึงถามกลับว่า 10 ปีที่แล้ว รองโฆษกสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ยอมรับว่ารัฐบาลจีนยืนยันความปลอดภัยของชาวอุยกูร์ทั้ง 109 คน แต่คำถามคือ 109 คนนั้น วันนี้อยู่ที่ไหนรัฐบาลไทยเคยติดตาม ตรวจสอบก่อนส่งไปหรือไม่
 
นายรังสิมันต์กล่าวต่อว่า วันนี้เราพยายามเชิญนางสาวแพทองธาร นายภูมิธรรม นายมาริษ พ.ต.อ.ทวี แต่ทั้งหมดได้มอบหมายให้เลขาฯสมช.มา ชี้แจงแทน ทั้งที่ สมช.เป็นผู้ปฏิบัติ ไม่ได้มีอำนาจในการตัดสินใจเชิงนโยบาย ความจริงเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะการส่งกลับชาวอุยกูร์เป็นการละเมิด พ.ร.บ.อุ้มหายฯ เจ้าหน้าที่อาจซวยไปด้วย ตนเองเป็นห่วงเลขาฯสมช. หน้าตาท่านเปิดเผยชัดเจน เป็นไปได้ว่ารัฐบาลยืนอยู่หลังคนทำงาน ยืนอยู่หลัง สมช.แบบนี้ไม่แฟร์
 
เรายังไม่ได้รับความร่วมมือที่ดีเพียงพอ สำนักงานตำรวจแห่งชาติเองก็ส่งรองผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองมาแจงแทน ทั้งที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเมืองมีรอง ผบ.ตร.และผู้ช่วย ผบ.ตร.เป็น 20 คน แต่ไม่มีใครมาตอบเรื่องนี้ แม้แต่ พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รอง ผบ.ตร. ที่เดินทางไปจีนพร้อมเลขาฯสมช. ท่านก็ไม่มา จึงย้อนกลับไปที่รัฐบาล หากรัฐบาลมั่นใจว่ากระบวนการทั้งหมดเป็นขั้นตอนที่ถูกต้องตามกฎหมายโปร่งใส และเคารพหลักสิทธิมนุษยชน วันนี้คงไม่ให้ข้าราชการประจำออกหน้าแล้วไม่รับผิดชอบสิ่งที่ทำ
 
วิธีการที่ดีที่สุดที่จะดูว่าคนอุยกูร์จะอยู่ในสภาพแบบไหน ขัดกับหลักการไม่ส่งกลับไปในที่อันตรายต้องดูว่าล็อคเก่าคนที่กลับไปก่อนหน้านี้เป็นอย่างไร แต่วันนี้ไม่มีใครตอบได้ว่า 109 คนที่เคยส่งไปมีสภาพความเป็นอยู่อย่างไร เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ประเทศไทยมาถึงจุดนี้ เรามีทางเลือกในนโยบายต่างประเทศและการทูตมากมายที่ไม่จำเป็นต้องตัดสินแบบนี้ เพราะไม่มีใครตอบได้ว่าประเทศไทยได้อะไรจากเรื่องนี้ มีแต่ได้ความเสี่ยงและปัญหาเพิ่มขึ้น ประเทศอื่นมองเราแย่ลง เราเป็นคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ กลายเป็นสิ่งที่มาแทงเรา ตกลงแล้วสิทธิมนุษยชนเราจะเอาอย่างไร หลายส่วนชี้ชัดว่าประเทศไทยดำเนินการนโยบายนี้อย่างผิดพลาด
 
นายรังสิมันต์ย้ำว่า มีประเทศที่สามารถมากกว่าหนึ่งประเทศที่ประสงค์รับชาวอุยกูร์ แต่ปัญหาการพูดคุยเรื่องนี้อยู่ในระดับที่ไทยก็ไม่ได้ส่งสัญญาณว่าเราพร้อมที่จะเลือกทางเลือกแบบไหน เมื่อเป็นแบบนี้เราจะโยนไปประเทศอื่นว่าไม่มีความจริงใจก็เป็นการชักศึกเข้าบ้าน ตัวแทนรัฐบาลได้วิพากษ์วิจารณ์ประเทศอื่นจนไม่แน่ใจว่าประเทศอื่นทำผิดอะไร ความจริงเขาพร้อมที่จะช่วย แต่เขาไม่มีมีความจำเป็นต้องไปคุยกับจีนแทนเรา เพราะเป็นเรื่องของอำนาจอธิปไตยที่จะต้องสร้างความทัดเทียมกับประเทศอื่นในเชิงกฎหมายระหว่างประเทศ อีกอย่างเรามีกฎหมายภายใน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกประเทศต้องให้ความเคารพ
 
เมื่อถามว่าเลขาฯสมช.ได้ตอบหรือไม่ว่า เหตุใดต้องให้ทางการจีนเปิดเผยข้อมูลก่อน นายรังสิมันต์ระบุว่า เราไม่ได้รายละเอียด แต่เข้าใจว่าเป็นความตั้งใจอยู่แล้ว เป็นข้อวิจารณ์ว่าการที่จีนออกมาเปิดเผยก่อนดูเหมือนเป็นการปฏิบัติการของจีน ไทยต้องการให้เรื่องนี้เป็นการลับ แต่ภาพออกมาหราแบบนี้ อาจจะเป็นความผิดพลาด ส่วนคนอุยกูร์ที่ยังเหลืออยู่ยังไม่มีข้อมูลเพิ่มเติม เบื้องต้นเราแสดงความจำนงว่าไม่อยากเห็นแบบนี้อีกแล้ว
 
ขณะที่การละเมิดอำนาจศาลนั้น นางสาวชลธิชา แจ้งเร็ว ส.ส.ปทุมธานี พรรคประชาชน ที่เข้าร่วมประชุมด้วยได้ตั้งคำถามเรื่องนี้ แต่ไม่ได้รับคำตอบชัดเจน ตม.ยืนยันว่าคนอุยกูร์ มีการฟ้องที่ศาลว่าการควบคุมตัวมิชอบด้วยกฎหมาย เรื่องก็ยังคงค้างอยู่ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป



พิธา ชี้ไทยเสี่ยงอยู่ในเรดาร์ภาษีทรัมป์ แนะถอดบทเรียน 'อินเดีย'
https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1169728

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เผยความเสี่ยงของไทยท่ามกลางการกลับมาของทรัมป์ ชี้แนวทางรักษาดุลยภาพระหว่างสหรัฐ-จีน ในเวทีเสวนา  “The Future of Thailand: A Fireside Chat with Pita Limjaroenrat” ที่ Harvard Kennedy School
 
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ไทยกำลังเผชิญท่ามกลางการกลับมาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยเฉพาะความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและการทูตที่ไทยต้องเผชิญ ในเวทีเสวนา “The Future of Thailand: A Fireside Chat with
 Pita Limjaroenrat” ซึ่งเผยแพร่ผ่านช่องทางออนไลน์เมื่อวันที่ 4 มี.ค. ที่ผ่านมา
 
นายพิธา กล่าวถึงการที่สหรัฐภายใต้การนำของทรัมป์ได้ลงคะแนนเสียงร่วมกับรัสเซีย จีน และเกาหลีเหนือในสหประชาชาติ ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของระเบียบโลก ที่เขาเรียกว่าอาจเป็น "multipolar nationalism" หรือ "transactional realism" และเป็นการสิ้นสุดของระเบียบโลกแบบเดิมที่เคยมีมาตั้งแต่ช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2
   
อย่างไรก็ตาม เขาชี้ให้เห็นว่าในขณะเดียวกัน มาร์โค รูบิโอ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐก็เป็นผู้ที่เคยผลักดัน “กฎหมายสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์” ในปี 2020 ระหว่างสมัยแรกของทรัมป์ และเรื่องนี้ได้กลายเป็นประเด็นความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์เมื่อไทยส่งชาวอุยกูร์ 48 คนกลับไปยังจีนเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งขัดต่อหลักการไม่ผลักดันกลับ (non-refoulement) และข้อตกลงระหว่างประเทศหลายฉบับ
   
สำหรับประเด็นเรื่องการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยไปสหรัฐ นายพิธาเน้นย้ำถึงความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่ไทยกำลังเผชิญ โดยระบุว่า
 
1.ไทยเป็นประเทศอันดับ 10 ในการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ โดยในสมัยทรัมป์ 1.0 ไทยเกินดุล 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จนถูกขึ้นบัญชีบิดเบือนค่าเงินในปี 2017
2. ปัจจุบันไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯเพิ่มขึ้นเป็น 35,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งอาจทำให้ไทยถูกกดดันให้ลดการเกินดุล หรืออาจถูกตอบโต้ด้วยมาตรการภาษี
3. ในขณะเดียวกัน ไทยขาดดุลการค้ากับจีนถึง 45,000 ล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะจากยานยนต์ไฟฟ้าและสินค้าราคาถูกผ่านอีคอมเมิร์ซ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่