เห็นกระทู้หนึงกำลังเถียงกันเรื่องขันธ์ ก็เลยทำให้รู้สึกขบขัน
นี้ถ้าตบกันได้มันคงตบกันไปแล้ว เถียงกันอยู่ได้กับบทลิเกเดิมๆ
เหมือนจันทโครพเถียงกับโจรป่าเพื่อแย่งชิงนางโมรา
อยากจะโชว์พาวทางธรรม มันต้องเอาภาษาธรรมมาทำให้เป็นภาษาคนก่อน
ไม่ใช่เอาภาษาธรรมมาแปลงเป็นบทลิเก
ถ้าจะโชว์กึ้น ต้องพูดให้ชาวบ้านรู้ว่าพูดถึงอะไร
....แบบนี้จึงจะเรียก สาธยายธรรม
คำว่า ขันธ์(๕) ที่เถียงกัน โดยสภาพที่เป็นจริง มันคือ รูป รส กลิ่น เสียงและสัมผัส
ทั้งห้าสิ่งนี้และเรียกว่า ขันธ์(๕) ซึ่งโดยสภาพธรรมของมัน เราต้องรู้ว่ามันมีมาได้อย่างไร
ต่อให้เด็กมันก็รู้ว่า รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส มาจากไหน
มันก็มาจากวัตถุที่ทำให้มันเกิด หรือเรียกว่า เหตุที่ทำให้เกิดขันธ์(๕)
ตีกลองเราย่อมได้ยินเสียง ใครมาตดตรงหน้าเราย่อมได้กลิ่น และอื่นๆ
เวลาตีกลองได้ยินเสียงกลอง พอหยุดตีเสียงกลองก็หายไป.... เสียงมันเกิดตามเหตุ(ตีกลอง)
และเสียงหายไปเมื่อหยุดตี เช่นนี้แล้วเราเรียกสภาพธรรมว่า ขันธ์
เนื่องจากมันเกิดตามเหตุและดับไปตามเหตุนั้น จึงเรียกสภาพธรรมนี้ว่า อนัตตาธรรม
ขันธ์ ไม่ใช่ที่ตักน้ำ มันจึงเป็นอนัตตา
นี้ถ้าตบกันได้มันคงตบกันไปแล้ว เถียงกันอยู่ได้กับบทลิเกเดิมๆ
เหมือนจันทโครพเถียงกับโจรป่าเพื่อแย่งชิงนางโมรา
อยากจะโชว์พาวทางธรรม มันต้องเอาภาษาธรรมมาทำให้เป็นภาษาคนก่อน
ไม่ใช่เอาภาษาธรรมมาแปลงเป็นบทลิเก
ถ้าจะโชว์กึ้น ต้องพูดให้ชาวบ้านรู้ว่าพูดถึงอะไร
....แบบนี้จึงจะเรียก สาธยายธรรม
คำว่า ขันธ์(๕) ที่เถียงกัน โดยสภาพที่เป็นจริง มันคือ รูป รส กลิ่น เสียงและสัมผัส
ทั้งห้าสิ่งนี้และเรียกว่า ขันธ์(๕) ซึ่งโดยสภาพธรรมของมัน เราต้องรู้ว่ามันมีมาได้อย่างไร
ต่อให้เด็กมันก็รู้ว่า รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส มาจากไหน
มันก็มาจากวัตถุที่ทำให้มันเกิด หรือเรียกว่า เหตุที่ทำให้เกิดขันธ์(๕)
ตีกลองเราย่อมได้ยินเสียง ใครมาตดตรงหน้าเราย่อมได้กลิ่น และอื่นๆ
เวลาตีกลองได้ยินเสียงกลอง พอหยุดตีเสียงกลองก็หายไป.... เสียงมันเกิดตามเหตุ(ตีกลอง)
และเสียงหายไปเมื่อหยุดตี เช่นนี้แล้วเราเรียกสภาพธรรมว่า ขันธ์
เนื่องจากมันเกิดตามเหตุและดับไปตามเหตุนั้น จึงเรียกสภาพธรรมนี้ว่า อนัตตาธรรม