Cr.ภาวนาวิมุตติสถาน
คำว่า “ฌาน” และ “ญาณ”
คำที่จำเป็นต้องรู้และเข้าใจให้ถูก
สำหรับผู้เรียนรู้พุทธศาสนา
เพราะเกี่ยวเนื่องกับ “ความหลุดพ้น”
.
“ฌาน” คือ สภาพจิตที่มีสมาธิเป็นแกน ประกอบด้วยคุณสมบัติอื่นๆ ที่ดีงามอีก ๒-๓-๔-๕ อย่าง
แล้วแต่ฌานขั้นไหน “ฌาน” เป็นผลที่ประสงค์สำคัญของ “สมถะ” หรือ จิตตภาวนา
.
ฝ่าย “วิปัสสนา” ที่ว่ามีหลักการคือ รู้ เห็นตาม
ความเป็นจริงนั้น ผลที่เกิดขึ้นของมัน
คือ “ญาณ” ชื่อใกล้กันมาก ระวังสับสน ผลที่
มุ่งหมายของวิปัสสนา คือ “ญาณ”
.
ผลที่ประสงค์ของสมถะ คือ “ฌาน”
พอถึงผลสำเร็จของวิปัสสนา เป็น “ญาณ”
.
“ฌาน” ของสมถะนั้น แปลว่า การเพ่ง
พินิจ แน่วแน่อยู่ จิตอยู่กับสิ่งที่ต้องการได้
.
แต่..วิปัสสนา ทำให้เกิด “ญาณ” คือ ตัวความ
รู้ หรือ ความหยั่งรู้ “ญาณ” จึงเป็นผลที่มุ่ง
หมายของวิปัสสนา
.
ที่พูดมาแล้วนี้ เป็นผลสำเร็จทั่วไป ต่อไปเป็น
ผลสำเร็จขั้นสุดท้าย
.
ผลสำเร็จขั้นสุดท้ายของ “สมถะ”
เมื่อทำให้จิตแน่วแน่เป็นอารมณ์
เดียว เกิด “ฌาน” พอได้ฌานแล้ว จะเกิด
ความสำเร็จขั้นสุดท้ายขึ้น คือ จิตจะปลอดพ้น
หลุดไป หมายถึง หลุดพ้นไปจากสิ่งที่ไม่ดีที่ไม่ต้องการทั้งหมด
.
จิตใจของคนเรานี้มีความขุ่นมัว มีความเศร้า
หมอง มีกิเลส มีเรื่องทุกข์ร้อน
ต่างๆ มากมาย พอเราทำสมาธิ
ได้ “ฌาน” แล้ว จิตอยู่กับสิ่งที่ต้องการ
ได้ สงบ มันก็พ้นไปจากสิ่งที่ไม่ต้องการ สิ่งที่
ไม่ดี สิ่งที่เป็นทุกข์ สิ่งที่เป็นความขุ่นมัวเดือด
ร้อนวุ่นวาย สิ่งที่เป็นกิเลสทั้งหมด ก็เรียกว่าเป็น ความหลุดพ้น
.
แต่ความหลุดพ้นนั้นเป็นไปได้ชั่วคราว ตลอด
เวลาที่เราอยู่ในสภาพจิตนั้น เมื่อไรเราออก
จากสิ่งที่กำหนด ออกจากสมาธิ จิตของเราก็
เข้าสภาพเดิม เราก็มีปัญหาได้อีก เราก็มีความ
ทุกข์ได้อีก จิตใจของเราก็มีความขุ่นมัวเศร้า
หมองได้อีก อันนี้ จึงถือว่าเป็นความหลุดพ้น
ชั่วคราว ตอนนี้จะมีความยุ่งเรื่องศัพท์นิดๆ
หน่อย ศัพท์ไม่จำเป็นต้องจำ แต่ถือว่าฟังไว้
ประดับความรู้ เรียกว่า “วิกขัมภนวิมุตติ”
.
วิกขัมภนวิมุตติ บางทีท่านเรียกอีกอย่างหนึ่ง
ว่า สมยวิมุตติ แปลว่า หลุดพ้นชั่วสมัย สมย
หรือ สมัย แปลว่า เวลา, วิมุตติ แปลว่า ความ
หลุดพ้น พ้นจากๅกิเลสและความทุกข์ สมย
ชั่วสมัย คือชั่วเวลา ได้แก่ ชั่วเวลาที่เราอยู่ใน
สมาธิ แต่สมัยหลังมักเรียกกันว่า วิกขัมภนวิ
มุตติ แปลว่า #หลุดพ้นด้วยกดทับไว้ เหมือน
อย่างเอาหินไปทับหญ้า ทำให้หยุดงอกงามไป
พอเอาหินออกแล้วหญ้าก็กลับเจริญงอกงาม
ต่อไปอีก เหมือนกับกิเลสและความทุกข์
พอได้สมาธิ กิเลสและความทุกข์ก็สงบเงียบ
เหมือนกับหายไปหมดไป แต่พอออกจาก
สมาธิ กิเลสและความทุกข์นั้นก็เฟื่องฟูขยาย
ตัวขึ้นมาได้อีก นี่คือ ผลสำเร็จสุดท้ายของ
สมาธิหรือของสมถะ คือ สมยวิมุตติ หลุดพ้น
ชั่วคราว หรือ วิกขัมภนวิมุตติ หลุดพ้นด้วยกดทับหรือข่มไว้
.
ส่วน“วิปัสสนา” ทำให้เกิด “ญาณ” มีความรู้
แจ่มแจ้ง รู้ตามที่เป็นจริง เมื่อรู้เห็นตามที่เป็น
จริงแล้ว จิตจะเป็นอิสระหลุดพ้นจากสิ่งนั้นๆ เด็ดขาดไปเลย
.
เมื่อเรารู้เข้าใจสิ่งใดตามความเป็นจริงแล้ว จิต
ของเราก็จะหลุดพ้นจากความยึดติดในสิ่ง
นั้น แล้วเราก็ไม่ขุ่นมัวไม่ขัดข้องเพราะสิ่ง
นั้น เมื่อยังไม่รู้ว่าอะไรเราก็ขัดข้องอยู่กับสิ่ง
นั้น เมื่อเรารู้ เราก็หลุด เราก็พ้นได้ รู้เมื่อไรก็หลุดเมื่อนั้น
.
ทีนี้ ความรู้เห็นตามเป็นจริงก็นำไปสู่ความ
หลุดพ้น เป็นอิสระอย่างชนิดเด็ดขาดสิ้น
เชิง เรียกว่า อสมยวิมุตติ คือ หลุดพ้นไม่จำกัดสมัย เรียกอีกอย่างว่า สมุจเฉทวิมุตติ คือ หลุดพ้นโดยเด็ดขาด”
.
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : จากหนังสือ “ปฏิบัติธรรมให้ถูกทาง”
มเรื่องฌานกับญาณที่ท่านปอ. ประยุทธ์โต อธิบาย
คำว่า “ฌาน” และ “ญาณ”
คำที่จำเป็นต้องรู้และเข้าใจให้ถูก
สำหรับผู้เรียนรู้พุทธศาสนา
เพราะเกี่ยวเนื่องกับ “ความหลุดพ้น”
.
“ฌาน” คือ สภาพจิตที่มีสมาธิเป็นแกน ประกอบด้วยคุณสมบัติอื่นๆ ที่ดีงามอีก ๒-๓-๔-๕ อย่าง
แล้วแต่ฌานขั้นไหน “ฌาน” เป็นผลที่ประสงค์สำคัญของ “สมถะ” หรือ จิตตภาวนา
.
ฝ่าย “วิปัสสนา” ที่ว่ามีหลักการคือ รู้ เห็นตาม
ความเป็นจริงนั้น ผลที่เกิดขึ้นของมัน
คือ “ญาณ” ชื่อใกล้กันมาก ระวังสับสน ผลที่
มุ่งหมายของวิปัสสนา คือ “ญาณ”
.
ผลที่ประสงค์ของสมถะ คือ “ฌาน”
พอถึงผลสำเร็จของวิปัสสนา เป็น “ญาณ”
.
“ฌาน” ของสมถะนั้น แปลว่า การเพ่ง
พินิจ แน่วแน่อยู่ จิตอยู่กับสิ่งที่ต้องการได้
.
แต่..วิปัสสนา ทำให้เกิด “ญาณ” คือ ตัวความ
รู้ หรือ ความหยั่งรู้ “ญาณ” จึงเป็นผลที่มุ่ง
หมายของวิปัสสนา
.
ที่พูดมาแล้วนี้ เป็นผลสำเร็จทั่วไป ต่อไปเป็น
ผลสำเร็จขั้นสุดท้าย
.
ผลสำเร็จขั้นสุดท้ายของ “สมถะ”
เมื่อทำให้จิตแน่วแน่เป็นอารมณ์
เดียว เกิด “ฌาน” พอได้ฌานแล้ว จะเกิด
ความสำเร็จขั้นสุดท้ายขึ้น คือ จิตจะปลอดพ้น
หลุดไป หมายถึง หลุดพ้นไปจากสิ่งที่ไม่ดีที่ไม่ต้องการทั้งหมด
.
จิตใจของคนเรานี้มีความขุ่นมัว มีความเศร้า
หมอง มีกิเลส มีเรื่องทุกข์ร้อน
ต่างๆ มากมาย พอเราทำสมาธิ
ได้ “ฌาน” แล้ว จิตอยู่กับสิ่งที่ต้องการ
ได้ สงบ มันก็พ้นไปจากสิ่งที่ไม่ต้องการ สิ่งที่
ไม่ดี สิ่งที่เป็นทุกข์ สิ่งที่เป็นความขุ่นมัวเดือด
ร้อนวุ่นวาย สิ่งที่เป็นกิเลสทั้งหมด ก็เรียกว่าเป็น ความหลุดพ้น
.
แต่ความหลุดพ้นนั้นเป็นไปได้ชั่วคราว ตลอด
เวลาที่เราอยู่ในสภาพจิตนั้น เมื่อไรเราออก
จากสิ่งที่กำหนด ออกจากสมาธิ จิตของเราก็
เข้าสภาพเดิม เราก็มีปัญหาได้อีก เราก็มีความ
ทุกข์ได้อีก จิตใจของเราก็มีความขุ่นมัวเศร้า
หมองได้อีก อันนี้ จึงถือว่าเป็นความหลุดพ้น
ชั่วคราว ตอนนี้จะมีความยุ่งเรื่องศัพท์นิดๆ
หน่อย ศัพท์ไม่จำเป็นต้องจำ แต่ถือว่าฟังไว้
ประดับความรู้ เรียกว่า “วิกขัมภนวิมุตติ”
.
วิกขัมภนวิมุตติ บางทีท่านเรียกอีกอย่างหนึ่ง
ว่า สมยวิมุตติ แปลว่า หลุดพ้นชั่วสมัย สมย
หรือ สมัย แปลว่า เวลา, วิมุตติ แปลว่า ความ
หลุดพ้น พ้นจากๅกิเลสและความทุกข์ สมย
ชั่วสมัย คือชั่วเวลา ได้แก่ ชั่วเวลาที่เราอยู่ใน
สมาธิ แต่สมัยหลังมักเรียกกันว่า วิกขัมภนวิ
มุตติ แปลว่า #หลุดพ้นด้วยกดทับไว้ เหมือน
อย่างเอาหินไปทับหญ้า ทำให้หยุดงอกงามไป
พอเอาหินออกแล้วหญ้าก็กลับเจริญงอกงาม
ต่อไปอีก เหมือนกับกิเลสและความทุกข์
พอได้สมาธิ กิเลสและความทุกข์ก็สงบเงียบ
เหมือนกับหายไปหมดไป แต่พอออกจาก
สมาธิ กิเลสและความทุกข์นั้นก็เฟื่องฟูขยาย
ตัวขึ้นมาได้อีก นี่คือ ผลสำเร็จสุดท้ายของ
สมาธิหรือของสมถะ คือ สมยวิมุตติ หลุดพ้น
ชั่วคราว หรือ วิกขัมภนวิมุตติ หลุดพ้นด้วยกดทับหรือข่มไว้
.
ส่วน“วิปัสสนา” ทำให้เกิด “ญาณ” มีความรู้
แจ่มแจ้ง รู้ตามที่เป็นจริง เมื่อรู้เห็นตามที่เป็น
จริงแล้ว จิตจะเป็นอิสระหลุดพ้นจากสิ่งนั้นๆ เด็ดขาดไปเลย
.
เมื่อเรารู้เข้าใจสิ่งใดตามความเป็นจริงแล้ว จิต
ของเราก็จะหลุดพ้นจากความยึดติดในสิ่ง
นั้น แล้วเราก็ไม่ขุ่นมัวไม่ขัดข้องเพราะสิ่ง
นั้น เมื่อยังไม่รู้ว่าอะไรเราก็ขัดข้องอยู่กับสิ่ง
นั้น เมื่อเรารู้ เราก็หลุด เราก็พ้นได้ รู้เมื่อไรก็หลุดเมื่อนั้น
.
ทีนี้ ความรู้เห็นตามเป็นจริงก็นำไปสู่ความ
หลุดพ้น เป็นอิสระอย่างชนิดเด็ดขาดสิ้น
เชิง เรียกว่า อสมยวิมุตติ คือ หลุดพ้นไม่จำกัดสมัย เรียกอีกอย่างว่า สมุจเฉทวิมุตติ คือ หลุดพ้นโดยเด็ดขาด”
.
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : จากหนังสือ “ปฏิบัติธรรมให้ถูกทาง”