
พระอรหันต์ มี 4 หมวด 3 หมวดหลัง คือ เตวิชโช, ฉฬภิญโญ, ปฏิสัมภิทาญาณ
จำเป็น ที่จะต้องได้
ผลของฌาน4ของกสิณ มา เพื่อที่จะบรรลุธรรมในหมวดทั้ง 3 หมวดนี้
ถ้าจะเจริญ
สุกขวิปัสสโก ก็จะต้องเจริญสมถยานิก(มีปฐมฌาน+วิปัสสนาญาณ9) หรือ เจริญวิปัสสนายานิก(เจริญวิปัสสนาจนมีปฐมฌานพร้อมบรรลุธรรม)
(แล้วแต่ว่าจะใช้อะไรนำ จะใช้ สมาธินำปัญญา หรือ ปัญญานำสมาธิ ได้ทั้ง2วิธี)
ถ้าจะเจริญ
วิชชา3 ก็จะต้องเจริญ
กสิณแสงสว่าง,กสิณไฟ,กสิณสีขาว (
หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง) แล้วเจริญบุพเพนิวาสานุสสติญาณ และ จุตูปปาติญาณ
ถ้าจะเจริญ
อภิญญา6 ก็จะต้องเจริญ
กสิณ10 ให้ครบ และหัดเข้าฌานตามลำดับฌาน-ลำดับกสิณ และ สลับฌาน-สลับกสิณให้คล่อง
ถ้าจะเจริญ
ปฏิสัมภิทาญาณ ก็จะต้องเจริญ
กสิณเป็นพื้น แล้วก็เจริญ
อรูปฌาน4ให้ได้ และ
ทรงอยู่ในฌาน4ให้ได้ ก็จะได้ปฏิสัมภิทาญาณ
((( หมายเหตุ )))
การฝึกทุกหมวด จะมี มหาสติปัฏฐาน4 + วิปัสสนาญาณ9 เป็นพื้นฐานการฝึกเหมือนกันหมดทุกหมวด (มีความรู้ทั้ง2อย่างนี้เท่ากันหมด เหมือนกันเป๊ะ)
(มีบางคนเข้าใจผิดคิดว่า คนที่ฝึกหมวดที่มีทิพย์จักษุญาณ จะไม่มีความรู้เรื่อง มหาสติปัฏฐาน4 และ การเจริญวิปัสสนา ความจริงรู้เท่ากันหมดทุกหมวด)
(เพราะทุกหมวดจะมีความสะอาดของจิตแบบสุกขวิปัสสโกเป็นพื้นฐานของจิตเหมือนกันหมด
จึงฝึกวิชาพื้นฐานเบื้องต้นเหมือนกันหมดทุกหมวด)
(แต่ถ้าหมวดที่มีทิพย์จักษุญาณด้วย ก็จะมีการฝึกกสิณเพิ่มเติมเข้ามา เพื่อให้มีทิพย์จักษุญาณ หรือแสดงฤทธิ์ได้ หรือมีปฏิสัมภิทาญาณ เกิดขึ้น)
- ถ้าเป็นการฝึกในหมวดสุกขวิปัสสโก ที่ไม่เน้นการมีทิพย์จักษุญาณ และไม่เน้นการแสดงฤทธิ์ได้ ก็จะใช้การพิจารณาตัดละกายตนเองเป็นหลัก
จึงมุ่งการฝึกมหาสติปัฏฐานสูตร4(ดูกาย, ดูเวทนา, ดูจิต, ดูธรรม) + วิปัสสนาญาณ9 เพื่อให้เกิดอารมณ์เด็ดขาดในการตัดละร่างกายเกิดขึ้น
เพื่อให้บรรลุเข้าถึงความเป็นพระอริยะเจ้าได้อย่างเรียบง่ายที่สุด และใช้กำลังสมาธิน้อยที่สุด เพราะใช้เพียงแค่ปฐมฌาน ก็บรรลุธรรมได้
(ในประเทศไทยจึงมีการเรียนการสอนในหมวดนี้มากที่สุด เพราะใช้กำลังสมาธิต่ำ และเป็นพื้นฐานความสะอาดของจิตของทุกหมวดอยู่แล้ว)
- แต่ถ้าเป็นการฝึกหมวดเตวิชโช,ฉฬภิญโญ,ปฏิสัมภิทาญาณ จะต้องได้ฌาน4ของกสิณ จึงจะมีทิพย์จักษุญาณเกิดขึ้น จึงจะสามารถ ดูนรก-ดูสวรรค์ได้
ดูอดีตชาติของตนเองได้ ว่าเคยเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานอะไรบ้าง เป็นคนกี่ชาติ เป็นเทวดากี่ชาติ เป็นคนรวยกี่ชาติ เป็นคนจนกี่ชาติ เป็นเปรตมากี่ชาติ
เป็นผู้หญิงมากี่ชาติ เป็นผู้ชายมากี่ชาติ ดูนรก ดูอดีต ฯลฯ เพื่อให้เกิดอารมณ์ตัดละความพอใจในการเกิด และอารมณ์ตัดละในร่างกายของตนเองได้
ผู้ที่ได้อตีตังสญาณ(ญาณรู้อดีต) จึงทำให้เกิดอารมณ์ตัดละกิเลสได้ง่าย เพราะได้เห็นการเวียนว่ายตายเกิดของตนเองที่มีแต่ทุกข์
(หมวดนี้ฝึกยากกว่า เพราะต้องฝึกให้มีกำลังของจิตถึงฌาน4ของกสิณ แต่ถ้าสำเร็จได้ทิพย์จักษุญาณแล้ว จะบรรลุธรรมได้ง่ายกว่าหมวดสุกขวิปัสสโก)
เพราะเมื่อสามารถพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้าได้โดยตรง เห็นนรก-เห็นสวรรค์ ได้ด้วยตนเอง
และ เห็นอดีตชาติและการเวียนว่ายตายเกิดของตนเองที่มีแต่ทุกข์ แล้วนั้น จะทำให้เกิดอารมณ์วิปัสสนาญาณที่เข้มข้น จึงตัดละกิเลสได้ง่าย
และ จะทำให้การตัดละวิจิกิจฉา(ความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัย) สามารถที่จะตัดละได้ง่าย จึงบรรลุธรรมได้ง่ายกว่าหมวดที่ไม่มีทิพย์จักษุญาณ
และหมวดที่มีทิพย์จักษุญาณนี้ สามารถที่จะใช้
เจโตปริยญาณ ตรวจดูสภาวะจิตของตนเองได้ว่ายังมีกิเลสอยู่มากน้อยเพียงใด ขุ่นมัวเพียงใด
และเข้าถึงความเป็นพระอริยะเจ้าเพียงใด
จึงเสมือนมีเครื่องมือในการตรวจเช็คสภาพจิตใจของตนเอง จึงทำให้บรรลุธรรมได้ง่ายกว่าคนที่ไม่เห็น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เจโตปริยญาณ คือ ทิพจักขุญาณ นั่นเอง รู้วาระน้ำจิตของคนอื่น ดูกระแสจิตเขาสุขหรือเขาทุกข์ เขาสะอาดหรือเขาสกปรก
เขาเข้าถึงธรรมได้แค่ไหน เขามีฌานสมาธิระดับไหน อันนี้เรารู้ได้ (จริงๆแล้วมีไว้เพื่อดูจิตของตนเองเป็นหลัก เอาไว้ดูเพื่อตัดละกิเลส)
ดูจิต มีกิเลสหรือไม่มีกิเลส สกปรกมากหรือน้อย
จิตของ ปุถุชน คนที่หนาแน่นไปด้วยกิเลส ก็เป็นจิตที่มีสีเนื้อ เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก ไม่สะอาดไม่ผ่องใส
จิตของคนที่ได้ ปฐมฌาน จะมีอาการเหมือนแก้วเคลือบ ปฐมฌานละเอียด เป็นเนื้อแก้วลึกลงไปประมาณสัก 1/4
จิตของคนที่ได้ ฌาน ๒ จะเป็นแก้วลึกลงไป ประมาณ 2/4
จิตของคนที่ได้ ฌาน ๓ ละเอียด จะเป็นแก้วทั้งดวง มีแกนเล็ก ๆ อยู่ตรงกลาง
จิตของคนที่ได้ ฌาน ๔ จะเป็นแก้วทั้งดวงสะอาดมาก แต่ทั้งหมดนี้ไม่มีประกาย
จิตของ พระโสดาบัน จะเป็นประกายเข้าไปประมาณ 1/4
จิตของ พระสกิทาคามี จะเป็นประกายเข้าไปประมาณ 2/4
จิตของ พระอนาคามี จะเป็นประกายทั้งดวงจะมีแกนข้างใน
ถ้าจิตของ พระอรหันต์ จะเป็นดาวทั้งดวงไม่มีแกนเลย
อันนี้เป็นสภาพของ การดูจิต ที่มีกิเลสหรือไม่มีกิเลส สกปรกมากหรือสกปรกน้อย
เพราะฉนั้น พอได้ยินชื่อคน หรือว่ารู้เรื่องราวของคน เห็นหน้าคนให้ดูจิตก่อน
อย่าไปดูหน้าดูตา ฟังเสียง อันนี้ไม่แน่นอน คนมีกิเลสอย่างพวกเรา ๆ โกหกได้ แต่ว่าจิตของคนโกหกไม่ได้
ดูความสุขความทุกข์ของจิต
คนมีทุกข์มาก จิตสีดำมาก มีทุกข์น้อย จิตสีดำน้อย จางลงไป
ถ้าคนมีความสุขเพราะอามิสมาก จิตจะมีสีแดงมาก หากคนที่มีความสุขจากอามิสน้อย จิตมีสีแดงน้อย
แต่คนมีจิตสบาย ๆ ไม่กระทบกระทั่งกับอารมณ์ดีหรือไม่ดี จิตเป็นสุขมีจิตสีขาว
อันนี้เป็นจิตของปุถุชนคนธรรมดา
สมาธิเขียนเรียงตามลำดับเริ่มจาก ขณิกสมาธิ(สมาธิในการทำงานของคนทั่วไป), อุปจารสมาธิ(สมาธิเฉียดฌาน), ฌาน1, ฌาน2, ฌาน3, ฌาน4
((((( สำหรับผู้ที่เคยได้
ฌานสมาธิ มาแล้วจากในอดีตชาติ )))))
เมื่อชาติใดถัดมา สามารถทำให้จิตเข้าถึงอุปจารสมาธิได้เมื่อใด จิตของคุณจะวิ่งไปหยุดอยู่ที่ระดับฌานสมาธิที่คุณเคยได้ในทันที
(เช่น ถ้าเคยได้ ฌาน2 ของ อานาปานสติ มาแล้วจากในอดีตชาติ พอมาชาตินี้จิตเข้าถึงอุปจารสมาธิได้เมื่อใด จิตก็จะวิ่งไปหยุดที่ฌาน2 ทันที)
((((( ส่วนผู้ที่เคยได้
กสิณ มาแล้วจากในอดีตชาติ )))))
เมื่อชาติใดถัดมา สามารถทำให้จิตเข้าถึงอุปจารสมาธิได้เมื่อใด ดวงกสิณที่ตนเองเคยได้ก็จะปรากฏขึ้นในจิตทันที (ความสามารถเดิมของจิตปรากฏ)
(เช่น ถ้าเคยได้กสิณแสงสว่างมาก่อนจากในอดีตชาติ พอมาชาตินี้ทำจิตให้เข้าถึงอุปจารสมาธิได้เมื่อใด ก็จะเห็นดวงแก้วสว่างใสเกิดขึ้นในจิตทันที)
แล้วให้ตรวจสอบดูว่า ดวงแก้วที่คุณเห็นนั้น มีลักษณะอย่างไร? มีสีอะไร? มีประกายเต็มดวงหรือไม่? (ดูระดับฌานของกสิณ ว่าได้ขั้นไหน?)
(ถ้าเป็นประกายพรึกเต็มดวง จะเป็น ฌาน4 ของกสิณ ถ้าไม่เต็มดวง ก็คือฌานน้อยลงมา) (ประกายพรึก คล้ายๆกับเพชรที่ส่องกับแสงแดดเป็นประกาย)
เมื่อได้ ฌาน4ของกสิณเป็นประกายพรึกเต็มดวง แล้วลองอธิษฐานจิต ให้ภาพ นรกหรือสวรรค์ ปรากฏขึ้น (ภาพนรกหรือสวรรค์ ก็จะปรากฏ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้บางคนเมื่อจิตเข้าถึงอุปจารสมาธิได้เมื่อใด ก็จะเห็นเป็นจอภาพสี่เหลี่ยมลอยอยู่กลางอากาศ(ในความมืด)
จอภาพนี้จะมีความแจ่มชัดเสมือนของจริง หรือยิ่งกว่าจริง และจะมีสติ เลือกเดินดูบนล่างซ้ายขวาได้ตามใจ (ตราบเท่าที่สมาธิยังไม่เคลื่อน)
เป็นจอภาพของผู้ที่เคยได้ทิพย์จักษุญาณ จะมีจอภาพแบบนี้ปรากฏขึ้นมา
บางคนเมื่อจิตเข้าถึงอุปจารสมาธิได้เมื่อใด เจ้ากรรมนายเวรจะแสดงตัวปรากฏให้เห็น บอกว่าต้องการอะไร
(คนไหนถ้าฝึกสมาธิได้ดีพอ ถึงจุดที่เจ้ากรรมนายเวรจะติดต่อได้ เขาอาจจะแสดงตัวให้คุณเห็นในนิมิต และพูดคุยกับคุณ บอกว่าเขาต้องการอะไร)
แต่ถ้าไม่สนใจเรื่องการมีทิพย์จักษุญาณ ถ้าไม่สนใจเรื่องการมีฤทธิ์ ถ้าไม่สนใจความมีปฏิสัมภิทาญาณ
ก็ให้มุ่งไปเจริญวิปัสสนาญาณ9 เพื่อตัดละกิเลสสังโยชน์ ให้เป็นพระอริยะเจ้า
โดยเมื่อใดที่จิตของคุณคลายตัวออกจากฌาน
ก็ให้กลับไปเจริญกรรมฐานกองใดก็ได้ที่คุณถนัด จนสามารถกลับไปทรงอารมณ์ฌานได้อีกครั้ง
แล้วก็ให้กลับไปพิจารณาตัดละร่างกายตามหลักวิปัสสนาญาณ9 อีกที (พิจารณาวนลูปแบบนี้ไปให้บ่อยที่สุด ให้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้)
ทำแบบนี้บ่อยๆ จนจิตของคุณตัดละกิเลสสังโยชน์ได้ครบตามเงื่อนไขของพระอริยะเจ้า ในแต่ละระดับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้วิธีฝึกให้มีทิพย์จักษุญาณ ตามปกติ จะต้องได้กสิณ กองใดกองหนึ่ง ใน 3 กองนี้ (กสิณแสงสว่าง, กสิณไฟ, กสิณสีขาว)
วิธีฝึก อาโลกสิณ หรือ กสิณแสงสว่าง โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ - YouTube
https://www.youtube.com/watch?v=CIVkpq9mAXg
วิธีฝึก เตโชกสิณ หรือ กสิณไฟ โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ - YouTube
https://www.youtube.com/watch?v=h6V6YFsA7ek
วิธีฝึก โอทาตกสิณ หรือ กสิณสีขาว โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ - YouTube
https://www.youtube.com/watch?v=iyoH3NKqfBE
สุกขวิปัสสโก (1/12) โดย หลวงพ่อฤาษี - YouTube
https://www.youtube.com/watch?v=3LSMkixDWoM
เตวิชโช (1/4) โดย หลวงพ่อฤาษี - YouTube
https://www.youtube.com/watch?v=-XR4qd_1UpM
ฉฬภิญโญ (1/2) โดย หลวงพ่อฤาษี - YouTube
https://www.youtube.com/watch?v=nj5l3g75-E4
ปฏิสัมภิทาญาณ 1/3 โดย หลวงพ่อฤาษี - YouTube
https://www.youtube.com/watch?v=UVJIvb9A8Xk
มหาสติปัฏฐาน (1/16) โดย หลวงพ่อฤาษี - YouTube
https://www.youtube.com/watch?v=s1HxrrubSUY
วิปัสสนาญาณ9 โดย หลวงพ่อฤาษี - YouTube
https://www.youtube.com/watch?v=iAA3qmXcwLc
แนะนำให้ฟังเทปคำสอนของ หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง เป็นสรณะ (ท่านเป็นอาจารย์สอนกรรมฐานให้กับในหลวง รัชกาลที่9)
บทความเรื่อง "พระอรหันต์ มี 4 หมวด"
พระอรหันต์ มี 4 หมวด 3 หมวดหลัง คือ เตวิชโช, ฉฬภิญโญ, ปฏิสัมภิทาญาณ
จำเป็น ที่จะต้องได้ ผลของฌาน4ของกสิณ มา เพื่อที่จะบรรลุธรรมในหมวดทั้ง 3 หมวดนี้
ถ้าจะเจริญสุกขวิปัสสโก ก็จะต้องเจริญสมถยานิก(มีปฐมฌาน+วิปัสสนาญาณ9) หรือ เจริญวิปัสสนายานิก(เจริญวิปัสสนาจนมีปฐมฌานพร้อมบรรลุธรรม)
(แล้วแต่ว่าจะใช้อะไรนำ จะใช้ สมาธินำปัญญา หรือ ปัญญานำสมาธิ ได้ทั้ง2วิธี)
ถ้าจะเจริญวิชชา3 ก็จะต้องเจริญกสิณแสงสว่าง,กสิณไฟ,กสิณสีขาว (หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง) แล้วเจริญบุพเพนิวาสานุสสติญาณ และ จุตูปปาติญาณ
ถ้าจะเจริญอภิญญา6 ก็จะต้องเจริญกสิณ10 ให้ครบ และหัดเข้าฌานตามลำดับฌาน-ลำดับกสิณ และ สลับฌาน-สลับกสิณให้คล่อง
ถ้าจะเจริญปฏิสัมภิทาญาณ ก็จะต้องเจริญกสิณเป็นพื้น แล้วก็เจริญอรูปฌาน4ให้ได้ และทรงอยู่ในฌาน4ให้ได้ ก็จะได้ปฏิสัมภิทาญาณ
((( หมายเหตุ )))
การฝึกทุกหมวด จะมี มหาสติปัฏฐาน4 + วิปัสสนาญาณ9 เป็นพื้นฐานการฝึกเหมือนกันหมดทุกหมวด (มีความรู้ทั้ง2อย่างนี้เท่ากันหมด เหมือนกันเป๊ะ)
(มีบางคนเข้าใจผิดคิดว่า คนที่ฝึกหมวดที่มีทิพย์จักษุญาณ จะไม่มีความรู้เรื่อง มหาสติปัฏฐาน4 และ การเจริญวิปัสสนา ความจริงรู้เท่ากันหมดทุกหมวด)
(เพราะทุกหมวดจะมีความสะอาดของจิตแบบสุกขวิปัสสโกเป็นพื้นฐานของจิตเหมือนกันหมด จึงฝึกวิชาพื้นฐานเบื้องต้นเหมือนกันหมดทุกหมวด)
(แต่ถ้าหมวดที่มีทิพย์จักษุญาณด้วย ก็จะมีการฝึกกสิณเพิ่มเติมเข้ามา เพื่อให้มีทิพย์จักษุญาณ หรือแสดงฤทธิ์ได้ หรือมีปฏิสัมภิทาญาณ เกิดขึ้น)
- ถ้าเป็นการฝึกในหมวดสุกขวิปัสสโก ที่ไม่เน้นการมีทิพย์จักษุญาณ และไม่เน้นการแสดงฤทธิ์ได้ ก็จะใช้การพิจารณาตัดละกายตนเองเป็นหลัก
จึงมุ่งการฝึกมหาสติปัฏฐานสูตร4(ดูกาย, ดูเวทนา, ดูจิต, ดูธรรม) + วิปัสสนาญาณ9 เพื่อให้เกิดอารมณ์เด็ดขาดในการตัดละร่างกายเกิดขึ้น
เพื่อให้บรรลุเข้าถึงความเป็นพระอริยะเจ้าได้อย่างเรียบง่ายที่สุด และใช้กำลังสมาธิน้อยที่สุด เพราะใช้เพียงแค่ปฐมฌาน ก็บรรลุธรรมได้
(ในประเทศไทยจึงมีการเรียนการสอนในหมวดนี้มากที่สุด เพราะใช้กำลังสมาธิต่ำ และเป็นพื้นฐานความสะอาดของจิตของทุกหมวดอยู่แล้ว)
- แต่ถ้าเป็นการฝึกหมวดเตวิชโช,ฉฬภิญโญ,ปฏิสัมภิทาญาณ จะต้องได้ฌาน4ของกสิณ จึงจะมีทิพย์จักษุญาณเกิดขึ้น จึงจะสามารถ ดูนรก-ดูสวรรค์ได้
ดูอดีตชาติของตนเองได้ ว่าเคยเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานอะไรบ้าง เป็นคนกี่ชาติ เป็นเทวดากี่ชาติ เป็นคนรวยกี่ชาติ เป็นคนจนกี่ชาติ เป็นเปรตมากี่ชาติ
เป็นผู้หญิงมากี่ชาติ เป็นผู้ชายมากี่ชาติ ดูนรก ดูอดีต ฯลฯ เพื่อให้เกิดอารมณ์ตัดละความพอใจในการเกิด และอารมณ์ตัดละในร่างกายของตนเองได้
ผู้ที่ได้อตีตังสญาณ(ญาณรู้อดีต) จึงทำให้เกิดอารมณ์ตัดละกิเลสได้ง่าย เพราะได้เห็นการเวียนว่ายตายเกิดของตนเองที่มีแต่ทุกข์
(หมวดนี้ฝึกยากกว่า เพราะต้องฝึกให้มีกำลังของจิตถึงฌาน4ของกสิณ แต่ถ้าสำเร็จได้ทิพย์จักษุญาณแล้ว จะบรรลุธรรมได้ง่ายกว่าหมวดสุกขวิปัสสโก)
เพราะเมื่อสามารถพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้าได้โดยตรง เห็นนรก-เห็นสวรรค์ ได้ด้วยตนเอง
และ เห็นอดีตชาติและการเวียนว่ายตายเกิดของตนเองที่มีแต่ทุกข์ แล้วนั้น จะทำให้เกิดอารมณ์วิปัสสนาญาณที่เข้มข้น จึงตัดละกิเลสได้ง่าย
และ จะทำให้การตัดละวิจิกิจฉา(ความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัย) สามารถที่จะตัดละได้ง่าย จึงบรรลุธรรมได้ง่ายกว่าหมวดที่ไม่มีทิพย์จักษุญาณ
และหมวดที่มีทิพย์จักษุญาณนี้ สามารถที่จะใช้ เจโตปริยญาณ ตรวจดูสภาวะจิตของตนเองได้ว่ายังมีกิเลสอยู่มากน้อยเพียงใด ขุ่นมัวเพียงใด
และเข้าถึงความเป็นพระอริยะเจ้าเพียงใด จึงเสมือนมีเครื่องมือในการตรวจเช็คสภาพจิตใจของตนเอง จึงทำให้บรรลุธรรมได้ง่ายกว่าคนที่ไม่เห็น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สมาธิเขียนเรียงตามลำดับเริ่มจาก ขณิกสมาธิ(สมาธิในการทำงานของคนทั่วไป), อุปจารสมาธิ(สมาธิเฉียดฌาน), ฌาน1, ฌาน2, ฌาน3, ฌาน4
((((( สำหรับผู้ที่เคยได้ ฌานสมาธิ มาแล้วจากในอดีตชาติ )))))
เมื่อชาติใดถัดมา สามารถทำให้จิตเข้าถึงอุปจารสมาธิได้เมื่อใด จิตของคุณจะวิ่งไปหยุดอยู่ที่ระดับฌานสมาธิที่คุณเคยได้ในทันที
(เช่น ถ้าเคยได้ ฌาน2 ของ อานาปานสติ มาแล้วจากในอดีตชาติ พอมาชาตินี้จิตเข้าถึงอุปจารสมาธิได้เมื่อใด จิตก็จะวิ่งไปหยุดที่ฌาน2 ทันที)
((((( ส่วนผู้ที่เคยได้ กสิณ มาแล้วจากในอดีตชาติ )))))
เมื่อชาติใดถัดมา สามารถทำให้จิตเข้าถึงอุปจารสมาธิได้เมื่อใด ดวงกสิณที่ตนเองเคยได้ก็จะปรากฏขึ้นในจิตทันที (ความสามารถเดิมของจิตปรากฏ)
(เช่น ถ้าเคยได้กสิณแสงสว่างมาก่อนจากในอดีตชาติ พอมาชาตินี้ทำจิตให้เข้าถึงอุปจารสมาธิได้เมื่อใด ก็จะเห็นดวงแก้วสว่างใสเกิดขึ้นในจิตทันที)
แล้วให้ตรวจสอบดูว่า ดวงแก้วที่คุณเห็นนั้น มีลักษณะอย่างไร? มีสีอะไร? มีประกายเต็มดวงหรือไม่? (ดูระดับฌานของกสิณ ว่าได้ขั้นไหน?)
(ถ้าเป็นประกายพรึกเต็มดวง จะเป็น ฌาน4 ของกสิณ ถ้าไม่เต็มดวง ก็คือฌานน้อยลงมา) (ประกายพรึก คล้ายๆกับเพชรที่ส่องกับแสงแดดเป็นประกาย)
เมื่อได้ ฌาน4ของกสิณเป็นประกายพรึกเต็มดวง แล้วลองอธิษฐานจิต ให้ภาพ นรกหรือสวรรค์ ปรากฏขึ้น (ภาพนรกหรือสวรรค์ ก็จะปรากฏ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แต่ถ้าไม่สนใจเรื่องการมีทิพย์จักษุญาณ ถ้าไม่สนใจเรื่องการมีฤทธิ์ ถ้าไม่สนใจความมีปฏิสัมภิทาญาณ
ก็ให้มุ่งไปเจริญวิปัสสนาญาณ9 เพื่อตัดละกิเลสสังโยชน์ ให้เป็นพระอริยะเจ้า
โดยเมื่อใดที่จิตของคุณคลายตัวออกจากฌาน ก็ให้กลับไปเจริญกรรมฐานกองใดก็ได้ที่คุณถนัด จนสามารถกลับไปทรงอารมณ์ฌานได้อีกครั้ง
แล้วก็ให้กลับไปพิจารณาตัดละร่างกายตามหลักวิปัสสนาญาณ9 อีกที (พิจารณาวนลูปแบบนี้ไปให้บ่อยที่สุด ให้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้)
ทำแบบนี้บ่อยๆ จนจิตของคุณตัดละกิเลสสังโยชน์ได้ครบตามเงื่อนไขของพระอริยะเจ้า ในแต่ละระดับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้