พุทธ​ทาส​ สอน​ การปฏิบัติ​ ในการมีชีวิตเย็น​ คือ​ เย็น​อย่าง​นิพพาน​

กระทู้คำถาม
หลักปฏิบัติในการมี “ ชีวิตเย็น ”
.
..... “ ถ้าจะพูดให้เป็นหลักๆ เย็นอย่างนิพพาน ก็จะพอพูดได้ว่า :

ข้อที่ ๑ เพราะไม่มีการยึดมั่นในสิ่งใด เพราะเห็นเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา, 

เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อยู่เสมอในสิ่งที่มากระทบ หรือในสิ่งที่เป็นภายในที่ตั้งอยู่, เช่นขันธ์ทั้ง ๕ เช่นอายตนะทั้ง ๖ อะไร เหล่านี้

 เราเห็นความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของมันอยู่

 ก็ไม่ไปยึดมั่นในสิ่งเหล่านั้น ทั้งภายนอกและภายใน, 

ไม่ยึดมั่นโดยความเป็นตัวตน เป็นของตน
 เห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความเป็นอนัตตา ของมันอยู่เสมอ 

จนกระทั่งเห็นว่ามันเป็นอย่างนั้น

 แล้วมันไม่มีตัวตน เป็น “สุญญตา” คือ ว่างจากตัวตน, แล้วดีที่สุดกว่านั้นก็คือ

 เห็นว่ามันเป็น “เช่นนั้นเอง”
.
..... เรื่องนี้อาตมาได้พูดมากี่ครั้งแล้ว ขอให้ช่วยทบทวนกันดูบ้าง :

 เรื่องคําว่า “เช่นนั้นเอง” เช่นนั้นเอง 

พูดกันมากี่สิบครั้งแล้ว แล้วใครได้รับประโยชน์หรือเอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไร

 ถ้าเห็นเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง โดยถูกต้องครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว

 ก็เป็นพระตถาคตองค์หนึ่งเสียแล้ว 

ไม่ต้องมานั่งทรมานอะไรกันอยู่อย่างนี้อีก.
.
..... ขอให้จําคําว่า “สุญญตา” “ตถาตา” สุดยอดไว้เถอะ

 เห็นอนิจจังว่ามันไม่เที่ยง, เห็นทุกขังว่าเพราะไม่เที่ยงมันจึง ทรมานเอา, 

แล้วเห็นว่าไม่มีใครต่อต้านมันได้มันเป็นอนัตตา, ทั้งหมดนี้รวมกันแล้ว คือมันไม่มีตัวตนโว้ย 

มันเป็นสุญญตา เป็นสุญญตาแล้ว สรุปเรียกอีกที่หนึ่งว่า 

โอ..เช่นนั้นเองโว้ย, เช่นนั้นเองโว้ย

 เมื่อเห็นสุญญตา ตถาตาแล้ว มันจะไม่ยึดมั่นสิ่งใด,

 ไม่ยึดมั่นสิ่งใดโดยความเป็นตัวตน-ของตน นี่ กิเลสไม่เกิด 

กิเลสที่มีอยู่ก็ร่อยหลอไป, ร่อยหลอไป 

จนกระทั่งหมดไป เพราะความไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดโดยความเป็นตัวตหรือของตน, นี้เป็นข้อที่ ๑ ไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดโดยความเป็นตัวตน เป็นของตน.
.
..... ทีนี้ ข้อที่ ๒ ไม่มีการปรุงแต่ง คำนี้คงจะฟังยาก อธิบายยากและฟังยาก,

 ไม่มีการปรุงแต่ง. เมื่อใดมีการปรุงแต่งเมื่อนั้นมีของร้อน มีกิเลส; ปรุงแต่งโดยเฉพาะ 

ก็ในภายใน, ปรุงแต่งข้างนอกเป็นเรื่องวัตถุ

 ไม่มีปัญหาอะไร ปรุงแต่งข้างในซิมันมีปัญห
า : 

รูปเข้ามาทางตา, เสียงเข้ามาทางหู, กลิ่นเข้ามาทางจมูก อะไรก็ตาม, 

มาถึงจิตใจแล้วมันมีการปรุงแต่ง, ปรุงแต่งเป็นวิญญาณขึ้นมาบ้าง, ปรุงแต่งเป็นผัสสะขึ้นมาบ้าง,

 ปรุงแต่งเป็นเวทนาขึ้นมาบ้าง, ปรุงแต่งเป็นตัณหาเป็นอุปาทาน, 

มีการปรุงแต่งของสิ่งเหล่านั้น ของปัจจัยเหล่านั้น ปรุงมาๆๆๆ 

พอมาถึงขั้นอุปาทาน มี “ตัวกู” เป็น “ของกู” แล้วไม่ต้องสงสัย 

ทีนี้มันก็เป็นทุกข์ เพราะมันมีตัวขึ้นมาแล้ว มันก็หนัก เพราะแบกตัว ถือตัว ดํารงตัว เห็นแก่ตัว หนักที่สุด ; 

ถ้าไม่มีการปรุงแต่งอย่างนั้น มันก็ไม่มีเรื่องอะไร

 เพราะมันมีสังขารคือการปรุงแต่ง 

มันจึงมีเรื่องไปทั้งหมด

 : ปรุงแต่งอย่างดีก็บ้าไปตามดี ยุ่งไปตามดี เมาดี 

บ้าดีไปตามเรื่องของมัน ปรุงแต่งไปในทางชั่ว มันก็เป็นทุกข์ทรมาน ลําบาก เจ็บปวด ยุ่งยาก 

เอ้า, มันก็ทุกข์ไปตามแบบของมัน, 

เรื่องนี้ไม่ค่อยจะอยากพูด เพราะว่ามันเสี่ยงต่อการถูกด่า 

ถ้าว่าปรุงแต่งไปตามบุญ มันก็ยุ่งไปตามแบบบุญ, ถ้าปรุงแต่งไปทางบาป มันก็ยุ่งไปทางบาป; 

อย่าปรุงแต่งกันเสียเลย อย่าต้องเป็นบุญเป็นบาป อย่าต้องเป็นดีเป็นชั่ว อย่าให้มีการ ปรุงแต่ง.”
.


พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายชุด ธรรมะคือสิ่งที่พัฒนาชีวิต ครั้งที่ ๘ หัวข้อเรื่อง “ ชีวิตเย็น ” เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๓๐
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่