เครดิตแหล่งข่าว/เจ้าของบทความโดย
https://www.prachachat.net/world-news/news-1764288
หลังจากที่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ต้องเผชิญสงครามราคาอย่างหนักหน่วง สตาร์ตอัพผู้ผลิตรถอีวีของจีนต่างพากันถอนตัวออกจากอุตสาหกรรมยานยนต์ แต่ปัญหาที่ตามมาร้ายแรงกว่านั้น
เมื่อรถยนต์ไฟฟ้าที่เคยล้ำสมัย กลายเป็นซากไร้ค่า ถูกทิ้งให้เป็น “Zombie Cars” เมื่อบริษัทผู้ผลิตล้มละลาย
จะทำอย่างไรหากรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดที่ใช้งานยังไม่ทันครบปี ต้องกลายเป็นรถยนต์ธรรมดา ซึ่งทำหน้าที่ได้เพียงแค่พาผู้โดยสารเคลื่อนย้ายไปสู่จุดหมายที่ต้องการเท่านั้น
ส่วนฟังก์ชั่นล้ำสมัยอื่น ๆ กลับไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไปเมื่อซอฟต์แวร์ไม่อัพเดต เช่น กุญแจบลูทูทปลดล็อกรถไม่ได้ ระบบความบันเทิงเงียบสนิท รวมถึงระบบแผนที่นำทางไม่อัพเดต จนอาจก่อให้เกิดอันตรายระหว่างเดินทางได้
นี่คือเรื่องราวตัวอย่างของ “มู่” ชาวเซี่ยงไฮ้ผู้ซื้อรถยนต์ WM Motor EX5 เมื่อปี 2022 แต่กลับต้องเผชิญประสบการณ์สุดชวนหัว เพราะบริษัท WM Motor ล้มละลายหลังจากนั้นในปี 2023
นับจากปี 2009 รัฐบาลจีนได้อุดหนุนเงินให้กับอุตสาหกรรมอีวีเป็นจำนวนมหาศาล ทำให้มีสตาร์ตอัพอีวีเข้ามาแข่งขันในตลาดเป็นจำนวนมาก จนในปี 2019 จีนมีผู้ผลิตรถยนต์อีวีมากถึง 500 กว่าราย จนกระทั่งเกิดภาวะฟองสบู่รถอีวีจีน
รวมทั้งเมื่อรัฐบาลเริ่มควบคุมการเติบโต การแข่งขันราคาเพื่อแย่งชิงลูกค้าก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
ทั้งนี้ดูเหมือนว่ามีเพียงยักษ์ใหญ่อย่าง “บีวายดี” (BYD) ที่ได้เปรียบในสมรภูมิการแข่งขัน จนทำให้มีมาร์เก็ตแชร์อันดับหนึ่งมากกว่า 30% ทิ้งห่างอันดับสองแบบไม่เห็นฝุ่น
ข้อมูลจาก “แอลิกซ์พาร์ตเนอร์ส” (AlixPartners) ระบุถึงแนวโน้มตลาดอีวีจีนว่า จะมีรถยนต์ไฟฟ้าจีนเพียง 19 แบรนด์เท่านั้นจากทั้งหมด 137 แบรนด์ ที่จะสามารถทำกำไรได้ภายในปี 2030 ส่วนแบรนด์ที่เหลือต้องพ่ายแพ้และออกจากอุตสาหกรรมไป
เมื่อยอดขายรถยนต์กระจุกตัวอยู่แต่กับแบรนด์ใหญ่ ผู้ผลิตรถรายเล็กที่สู้ต้นทุนไม่ไหวจึงพากันถอนตัวออกจากตลาด คนที่ลำบากคือผู้บริโภคที่ซื้อรถมาไม่ทันไร ทั้งตัวแทนจำหน่ายและบริการหลังการขายก็ปิดตัวลงไปเสียแล้ว เหลือไว้เพียงแต่รถยนต์ซอมบี้
เมื่อเป็นแบบนี้การหาชิ้นส่วนอะไหล่มาซ่อมแซมจึงเป็นเรื่องยาก จนอาจไม่คุ้มถ้าจะซ่อม ครั้นพอจะขายต่อ ราคามือสองกลับร่วงลงอย่างหนัก ส่งผลให้บริษัทประกันภัยบางแห่งพากันเรียกเบี้ยประกันแพงขึ้น หรือปฏิเสธการคุ้มครองไปเลย
อุทาหรณ์สำคัญครั้งนี้ ผู้ที่กำลังพิจารณาซื้อรถยนต์คันใหม่ต้องระวังไว้ให้ดี อย่าเห็นแก่ของถูกมากเกินไป แต่ต้องเลือกแบรนด์ที่มีชื่อเสียง มีความมั่นคง และมีบริการหลังการขายที่ไว้ใจได้ มิเช่นนั้นจะเจอประสบการณ์น่าสลดใจ... อ่านข่าวต้นฉบับเต็มได้ที่ :
https://www.prachachat.net/world-news/news-1764288
ซื้อรถอย่าดูแค่ราคา ปรากฏการณ์ Zombie ที่กำลังเกิดขึ้นกับรถอีวี
https://www.prachachat.net/world-news/news-1764288
หลังจากที่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ต้องเผชิญสงครามราคาอย่างหนักหน่วง สตาร์ตอัพผู้ผลิตรถอีวีของจีนต่างพากันถอนตัวออกจากอุตสาหกรรมยานยนต์ แต่ปัญหาที่ตามมาร้ายแรงกว่านั้น
เมื่อรถยนต์ไฟฟ้าที่เคยล้ำสมัย กลายเป็นซากไร้ค่า ถูกทิ้งให้เป็น “Zombie Cars” เมื่อบริษัทผู้ผลิตล้มละลาย
จะทำอย่างไรหากรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดที่ใช้งานยังไม่ทันครบปี ต้องกลายเป็นรถยนต์ธรรมดา ซึ่งทำหน้าที่ได้เพียงแค่พาผู้โดยสารเคลื่อนย้ายไปสู่จุดหมายที่ต้องการเท่านั้น
ส่วนฟังก์ชั่นล้ำสมัยอื่น ๆ กลับไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไปเมื่อซอฟต์แวร์ไม่อัพเดต เช่น กุญแจบลูทูทปลดล็อกรถไม่ได้ ระบบความบันเทิงเงียบสนิท รวมถึงระบบแผนที่นำทางไม่อัพเดต จนอาจก่อให้เกิดอันตรายระหว่างเดินทางได้
นี่คือเรื่องราวตัวอย่างของ “มู่” ชาวเซี่ยงไฮ้ผู้ซื้อรถยนต์ WM Motor EX5 เมื่อปี 2022 แต่กลับต้องเผชิญประสบการณ์สุดชวนหัว เพราะบริษัท WM Motor ล้มละลายหลังจากนั้นในปี 2023
นับจากปี 2009 รัฐบาลจีนได้อุดหนุนเงินให้กับอุตสาหกรรมอีวีเป็นจำนวนมหาศาล ทำให้มีสตาร์ตอัพอีวีเข้ามาแข่งขันในตลาดเป็นจำนวนมาก จนในปี 2019 จีนมีผู้ผลิตรถยนต์อีวีมากถึง 500 กว่าราย จนกระทั่งเกิดภาวะฟองสบู่รถอีวีจีน
รวมทั้งเมื่อรัฐบาลเริ่มควบคุมการเติบโต การแข่งขันราคาเพื่อแย่งชิงลูกค้าก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
ทั้งนี้ดูเหมือนว่ามีเพียงยักษ์ใหญ่อย่าง “บีวายดี” (BYD) ที่ได้เปรียบในสมรภูมิการแข่งขัน จนทำให้มีมาร์เก็ตแชร์อันดับหนึ่งมากกว่า 30% ทิ้งห่างอันดับสองแบบไม่เห็นฝุ่น
ข้อมูลจาก “แอลิกซ์พาร์ตเนอร์ส” (AlixPartners) ระบุถึงแนวโน้มตลาดอีวีจีนว่า จะมีรถยนต์ไฟฟ้าจีนเพียง 19 แบรนด์เท่านั้นจากทั้งหมด 137 แบรนด์ ที่จะสามารถทำกำไรได้ภายในปี 2030 ส่วนแบรนด์ที่เหลือต้องพ่ายแพ้และออกจากอุตสาหกรรมไป
เมื่อยอดขายรถยนต์กระจุกตัวอยู่แต่กับแบรนด์ใหญ่ ผู้ผลิตรถรายเล็กที่สู้ต้นทุนไม่ไหวจึงพากันถอนตัวออกจากตลาด คนที่ลำบากคือผู้บริโภคที่ซื้อรถมาไม่ทันไร ทั้งตัวแทนจำหน่ายและบริการหลังการขายก็ปิดตัวลงไปเสียแล้ว เหลือไว้เพียงแต่รถยนต์ซอมบี้
เมื่อเป็นแบบนี้การหาชิ้นส่วนอะไหล่มาซ่อมแซมจึงเป็นเรื่องยาก จนอาจไม่คุ้มถ้าจะซ่อม ครั้นพอจะขายต่อ ราคามือสองกลับร่วงลงอย่างหนัก ส่งผลให้บริษัทประกันภัยบางแห่งพากันเรียกเบี้ยประกันแพงขึ้น หรือปฏิเสธการคุ้มครองไปเลย
อุทาหรณ์สำคัญครั้งนี้ ผู้ที่กำลังพิจารณาซื้อรถยนต์คันใหม่ต้องระวังไว้ให้ดี อย่าเห็นแก่ของถูกมากเกินไป แต่ต้องเลือกแบรนด์ที่มีชื่อเสียง มีความมั่นคง และมีบริการหลังการขายที่ไว้ใจได้ มิเช่นนั้นจะเจอประสบการณ์น่าสลดใจ... อ่านข่าวต้นฉบับเต็มได้ที่ : https://www.prachachat.net/world-news/news-1764288