ปัจจุบัน จีนมีแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้า (EV) มากถึง 137 แบรนด์ แต่บริษัทที่ปรึกษาธุรกิจ แอลิกซ์พาร์ตเนอร์ส คาดการณ์ว่า มีแค่ 19 แบรนด์เท่านั้นที่จะทำกำไรได้ภายในปี 2030
วันที่ 11 กรกฎาคม 2024 บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานว่า ปัจจุบันประเทศจีนมีรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ทั้งหมด 137 แบรนด์ แต่ข้อมูลจากรายงานของบริษัทที่ปรึกษาธุรกิจ แอลิกซ์พาร์ตเนอร์ส (AlixPartners) ระบุว่า จะมีเพียง 19 แบรน์เท่านั้นที่สามารถทำกำไรได้ภายในสิ้นทศวรรษนี้ (ปี 2030) ส่วนแบรนด์ที่เหลือต้องออกจากอุตสาหกรรมไป หรือต่อสู้เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อย
ทั้งนี้ สงครามราคาในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ดำเนินมาเกือบ 2 ปีได้กดดันอัตรากำไรของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของจีนบางราย และสภาพนี้อาจดำเนินต่อไป
เนื่องจากผู้เล่นที่มีอำนาจเหนือกว่าอย่าง บีวายดี (BYD) และเทสลา (Tesla) กำลังพยายามที่จะทำให้ตำแหน่งที่โดดเด่นของพวกเขามั่นคงขึ้น
สตีเฟน ดายเออร์ (Stephen Dyer) กรรมการผู้จัดการสำนักงานเซี่ยงไฮ้ของแอลิกซ์พาร์ตเนอร์ส กล่าวบรรยายสรุปเกี่ยวกับรายงานนี้ว่า ตราบใดที่ผู้เล่นรายใหญ่อย่างบีวายดียังคงมีกำไรขั้นต้น ก็ยังมีที่ว่างสำหรับการทำสงครามราคาต่อไป
ในปี 2023 แม้ว่าราคาขายเฉลี่ยของรถยนต์ในจีนลดลง 13.4% แต่อัตรากำไรเฉลี่ยของผู้ผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้นเป็น 7.8% จาก 6.3% ในปีก่อนหน้า เนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์ลดต้นทุนลงโดยการบีบซัพพลายเออร์และดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อส่งรถยนต์โมเดลใหม่ ๆ ออกสู่ตลาด
แอลิกซ์พาร์ตเนอร์ส กล่าวว่าภายในสิ้นปี 2030 รถยนต์แบรนด์จีนจะครองส่วนแบ่ง 33% ของตลาดรถยนต์ทั่วโลก และครองส่วนแบ่ง 45% ของยอดขายรถยนต์พลังงานใหม่
อย่างไรก็ตาม แอลิกซ์พาร์ตเนอร์ส ได้ปรับลดการคาดการณ์ส่วนแบ่งตลาดของจีนในตลาดรถยนต์ยุโรปลงเป็น 12% จากที่เคยคาดไว้ 15% เนื่องจากผลกระทบจากการที่สหภาพยุโรปเริ่มเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนเพิ่มเติมเมื่อเร็ว ๆ นี้ ...
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.prachachat.net/world-news/news-1605586
จีนมีอีวี 137 แบรนด์ แต่มีแค่ 19 แบรนด์ที่จะทำกำไรได้ภายในปี 2030
วันที่ 11 กรกฎาคม 2024 บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานว่า ปัจจุบันประเทศจีนมีรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ทั้งหมด 137 แบรนด์ แต่ข้อมูลจากรายงานของบริษัทที่ปรึกษาธุรกิจ แอลิกซ์พาร์ตเนอร์ส (AlixPartners) ระบุว่า จะมีเพียง 19 แบรน์เท่านั้นที่สามารถทำกำไรได้ภายในสิ้นทศวรรษนี้ (ปี 2030) ส่วนแบรนด์ที่เหลือต้องออกจากอุตสาหกรรมไป หรือต่อสู้เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อย
ทั้งนี้ สงครามราคาในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ดำเนินมาเกือบ 2 ปีได้กดดันอัตรากำไรของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของจีนบางราย และสภาพนี้อาจดำเนินต่อไป เนื่องจากผู้เล่นที่มีอำนาจเหนือกว่าอย่าง บีวายดี (BYD) และเทสลา (Tesla) กำลังพยายามที่จะทำให้ตำแหน่งที่โดดเด่นของพวกเขามั่นคงขึ้น
สตีเฟน ดายเออร์ (Stephen Dyer) กรรมการผู้จัดการสำนักงานเซี่ยงไฮ้ของแอลิกซ์พาร์ตเนอร์ส กล่าวบรรยายสรุปเกี่ยวกับรายงานนี้ว่า ตราบใดที่ผู้เล่นรายใหญ่อย่างบีวายดียังคงมีกำไรขั้นต้น ก็ยังมีที่ว่างสำหรับการทำสงครามราคาต่อไป
ในปี 2023 แม้ว่าราคาขายเฉลี่ยของรถยนต์ในจีนลดลง 13.4% แต่อัตรากำไรเฉลี่ยของผู้ผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้นเป็น 7.8% จาก 6.3% ในปีก่อนหน้า เนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์ลดต้นทุนลงโดยการบีบซัพพลายเออร์และดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อส่งรถยนต์โมเดลใหม่ ๆ ออกสู่ตลาด
แอลิกซ์พาร์ตเนอร์ส กล่าวว่าภายในสิ้นปี 2030 รถยนต์แบรนด์จีนจะครองส่วนแบ่ง 33% ของตลาดรถยนต์ทั่วโลก และครองส่วนแบ่ง 45% ของยอดขายรถยนต์พลังงานใหม่
อย่างไรก็ตาม แอลิกซ์พาร์ตเนอร์ส ได้ปรับลดการคาดการณ์ส่วนแบ่งตลาดของจีนในตลาดรถยนต์ยุโรปลงเป็น 12% จากที่เคยคาดไว้ 15% เนื่องจากผลกระทบจากการที่สหภาพยุโรปเริ่มเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนเพิ่มเติมเมื่อเร็ว ๆ นี้ ...
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/world-news/news-1605586