ทรัมป์เอฟเฟ็กต์ทุนจีนทะลักเข้าไทยตั้งแต่ปี 2565 ใบอนุญาตทำงานแซงญี่ปุ่น-สิงคโปร์ มีการลงทุนแล้ว 585 โรงงาน มูลค่า 5.47 แสนล้านบาท สัดส่วน 14.3% ของภาพรวมในนิคมอุตสาหกรรมไทย ด้านตัวเลขนิติบุคคลจีนทะลุ 30,455 ราย ทุนจดทะเบียน 4.26 แสนล้าน
บาท สัดส่วน 10.2% ของภาพรวมชาวต่างชาติ เผยพฤติกรรมเศรษฐีจีนส่งลูกเข้าโรงเรียนนานาชาติต้องมีผู้ปกครองอยู่ด้วย เทคนิคตั้งบริษัทลงทุนในไทยเป็นทางออกที่ลงตัว ธุรกิจไม่จำเป็นต้องประสบความสำเร็จ แต่สามารถดูแลครอบครัวระยะยาวโดยถูกกฎหมาย
ทรัมป์ 2.0 สร้างผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโลกชัดเจน โดยเฉพาะผลกระทบจากปัญหาเทรดวอร์หรือสงครามทางเศรษฐกิจ จากการตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าและส่งออกไปยังตลาดสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม ความท้าทายของเทรดวอร์รอบใหม่นี้มีปัจจัยบวกให้ประเทศไทยได้รับอานิสงส์จากการย้ายการลงทุนและการอยู่อาศัยระยะยาว
จีนย้ายฐานผลิต 5.47 แสนล้าน
นายสุรเชษฐ กองชีพ หัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา บริษัท คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย จำกัด ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลก มีเครือข่ายใน 60 ประเทศ สัดส่วนครึ่งหนึ่งอยู่ในตลาดสหรัฐอเมริกาเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่าผลกระทบเทรดวอร์รอบใหม่ มีเรื่องการเคลื่อนย้ายของนักลงทุน หรือกลุ่มทุนในจีนที่จำเป็นต้องมองหาฐานการผลิตสินค้าใหม่ในประเทศอื่น ๆ นอกประเทศจีน กลายเป็นหนึ่งในทางเลือกสำคัญที่เห็นชัดเจนตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นมา
ประเทศเป้าหมายการเคลื่อนย้ายลงทุนและย้ายฐานการผลิตนับรวมกลุ่มประเทศอาเซียน ทั้งอินโดนีเซีย เวียดนาม และไทย เพื่อเลี่ยงผลกระทบจากมาตรการภาษีของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ โฟกัสไทยนับตั้งแต่ปี 2566 ถึงปัจจุบัน กลุ่มคนจีนเข้ามาไทยจำนวนมาก ทั้งในรูปแบบนักลงทุนเข้ามาจัดตั้งนิติบุคคลสัญชาติจีนในไทย และการขอใบอนุญาตทำงานก็เพิ่มมากขึ้นสอดคล้องกัน
ทั้งนี้ สถิติการขอรับส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) นักลงทุนจีนขึ้นเป็นอันดับ 1 แซงนักลงทุนญี่ปุ่นในปี 2566-2567 ประเมินว่าเป็นเทรนด์ต่อเนื่องในปี 2568 ด้วย โดยปี 2567 นักลงทุนจีนได้รับ BOI ทั้งสิ้น 743 โครงการ มูลค่าลงทุน 174,440 ล้านบาท
อุตสาหกรรมตามบัตรส่งเสริมลงทุน BOI พบว่าอันดับ 1 รถยนต์อีวีและชิ้นส่วน 178 โครงการ ลงทุนรวม 43,113 ล้านบาท รองลงมาเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ 148 โครงการ รวม 41,158 ล้านบาท อันดับ 3 ผลิตภัณฑ์โลหะ 151 โครงการ วงเงินลงทุน 40,630 ล้านบาท
ขณะที่สถิติการลงทุนของนักลงทุนจีนในนิคมอุตสาหกรรมไทย ข้อมูลของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) รายงานว่า มีนักลงทุนสัญชาติจีนทั้งหมด 585 โรงงาน มูลค่าลงทุนสะสม 547,769.65 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 14.3% ของนักลงทุนทั้งหมด
จัดอันดับท็อป 5 ได้แก่
1.อุตสาหกรรมผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์
2.ผลิตยานพาหนะและอุปกรณ์รวมการซ่อมด้วย
3.ยางและผลิตภัณฑ์ยาง
4.กิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรม
และ 5.อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์โลหะ
เปิดท็อป 5 นิคมอุตฯ ในใจจีน
นายสุรเชษฐกล่าวต่อว่า โฟกัสเฉพาะนักลงทุนจีนตั้งโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมไทย 5 อันดับแรก ได้แก่ อันดับ 1 นิคมอุตฯ อมตะซิตี้ ระยอง มูลค่าลงทุน 218,767.65 ล้านบาท, อันดับ 2 ดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 1 มูลค่าลงทุน 39,504.88 ล้านบาท, อันดับ 3 ดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 2 มูลค่าลงทุน 30,181.78 ล้านบาท, อันดับ 4 เอเชีย ลงทุน 29,315.09 ล้านบาท และอันดับ 5 หลักชัยเมืองยาง ลงทุน 19,922.02 ล้านบาท (ดูกราฟิกประกอบ)
ในจำนวนนี้จะเห็นว่านักลงทุนจีนลงทุนรวมในนิคมอุตฯ อมตะซิตี้ ระยองมากที่สุด รวมทั้งในภาพรวมก็ลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมพื้นที่จังหวัดระยองมากที่สุดอีกด้วย เพราะเป็นการเข้ามาของกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมรถยนต์และรถยนต์ไฟฟ้า อาทิ บีวายดี (BYD) และเกรทวอลล์มอเตอร์ (GWM)
รวมถึงอุตสาหกรรมแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า และอุตฯ เครื่องใช้ไฟฟ้า เหตุผลหลักเนื่องจากราคาที่ดินในนิคมอุตฯ จังหวัดระยอง มีราคาต่ำกว่าพื้นที่นิคมอุตฯ ในชลบุรี แต่มีความสะดวกในการผลิตสินค้าส่งออก เพราะมีท่าเรือน้ำลึกมาบตาพุด
นิติบุคคลจีนพุ่ง 3 หมื่นราย
ขณะเดียวกัน การเข้ามาของการลงทุนจีนที่มากมายต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดการตั้งนิติบุคคลสัญชาติจีนในไทยมากขึ้น โดยขึ้นมาอยู่อันดับ 3 รองจากญี่ปุ่นและสิงคโปร์ ณ สิ้นปี 2567 มีนิติบุคคลสัญชาติจีนในไทยทั้งหมด 30,455 ราย มูลค่ารวมของทุนจดทะเบียน 426,062.47 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 10.2% ของมูลค่าการลงทุนรวมของนิติบุคคลต่างชาติในไทย
สำหรับแนวโน้มการจัดตั้งนิติบุคคลต่างชาติในไทย พบว่าจีนกับสิงคโปร์มีทิศทางเพิ่มขึ้น สวนทางกับนิติบุคคลสัญชาติญี่ปุ่น ถึงแม้มีการลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น แต่เป็นการเพิ่มในอัตราที่ต่ำกว่าสิงคโปร์ จีน และอีกหลายประเทศ
“ช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา ญี่ปุ่นเป็นกลุ่มนักลงทุนต่างชาติที่ได้รับใบอนุญาตทำงานในไทยมากที่สุดมาโดยตลอด ถ้าไม่นับแรงงานจากเมียนมา ลาว กัมพูชา ข้อมูลกระทรวงแรงงานแจ้งว่า จำนวนคนจีนที่ได้รับใบอนุญาตทำงานในไทยเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา มากกว่าญี่ปุ่น และจีนยังคงเพิ่มมากขึ้นต่อเนื่องจนถึงปี 2567 จึงมองว่าจะสูงต่อเนื่องในปีนี้ด้วย”
เศรษฐีตั้งบริษัทส่งลูกเรียนไทย
นายสุรเชษฐกล่าวด้วยว่า การที่มีคนจีนเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมและธุรกิจต่าง ๆ นั้น ที่สูงมากตั้งแต่ปี 2565 อาจมีการคาดการณ์แล้วว่าประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกาจะเป็นใคร และจะมีนโยบายที่สร้างผลกระทบต่อพวกเขาอย่างไร การย้ายฐานการผลิตของอุตสาหกรรมบางประเภทจึงมีให้เห็นตั้งแต่ก่อนปี 2568
นอกจากนี้ ปัญหานโยบายภายในและสภาพเศรษฐกิจในประเทศจีน การควบคุมทางการศึกษาที่มีผลต่อระบบการศึกษาในหลักสูตรนานาชาติ ซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มคนจีนรุ่นใหม่ที่มีฐานะ จึงก่อให้เกิดเทรนด์การส่งบุตรหลานออกมาเรียนต่อในต่างประเทศ โดยไทยก็เป็น 1 ในประเทศเป้าหมายของกลุ่มคนจีนที่มีฐานะ
ในขณะที่มีจุดน่าสนใจอยู่ที่การมาเรียนหนังสือในไทยของบุตรหลานชาวจีนนั้น จำเป็นต้องมีผู้ปกครองมาอยู่ดูแลด้วย วิธีการในการมาดูแลแบบระยะยาวที่สะดวก และไม่ต้องมีปัญหาเยอะ ก็คือการเปิดธุรกิจในไทย แล้วขอใบอนุญาตทำงานในประเทศไทย ผ่านบริษัทหรือนิติบุคคลที่ตนเองตั้งขึ้นมา โดยบริษัทสัญชาติจีนก็ทำธุรกิจทั่วไป ซึ่งอาจจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็ไม่ใช่เป้าหมายหลักในการจัดตั้งบริษัทหรือนิติบุคคลในไทยของคนจีนบางกลุ่ม
“มองในภาพใหญ่ทั้งโลก ผลกระทบเทรดวอร์รอบนี้ ไทยอาจจะไม่ใช่ตัวเลือกอันดับแรกของนักลงทุนที่มองหาฐานการผลิตใหม่ ๆ แต่ก็ยังอยู่ในลำดับต้น ๆ ในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นคนจีนหรือสัญชาติใดก็ตาม”...
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.prachachat.net/property/news-1764192
ทุนจีนทะลักนิคมอุตสาหกรรม 5 แสนล้าน
บาท สัดส่วน 10.2% ของภาพรวมชาวต่างชาติ เผยพฤติกรรมเศรษฐีจีนส่งลูกเข้าโรงเรียนนานาชาติต้องมีผู้ปกครองอยู่ด้วย เทคนิคตั้งบริษัทลงทุนในไทยเป็นทางออกที่ลงตัว ธุรกิจไม่จำเป็นต้องประสบความสำเร็จ แต่สามารถดูแลครอบครัวระยะยาวโดยถูกกฎหมาย
ทรัมป์ 2.0 สร้างผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโลกชัดเจน โดยเฉพาะผลกระทบจากปัญหาเทรดวอร์หรือสงครามทางเศรษฐกิจ จากการตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าและส่งออกไปยังตลาดสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม ความท้าทายของเทรดวอร์รอบใหม่นี้มีปัจจัยบวกให้ประเทศไทยได้รับอานิสงส์จากการย้ายการลงทุนและการอยู่อาศัยระยะยาว
จีนย้ายฐานผลิต 5.47 แสนล้าน
นายสุรเชษฐ กองชีพ หัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา บริษัท คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย จำกัด ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลก มีเครือข่ายใน 60 ประเทศ สัดส่วนครึ่งหนึ่งอยู่ในตลาดสหรัฐอเมริกาเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่าผลกระทบเทรดวอร์รอบใหม่ มีเรื่องการเคลื่อนย้ายของนักลงทุน หรือกลุ่มทุนในจีนที่จำเป็นต้องมองหาฐานการผลิตสินค้าใหม่ในประเทศอื่น ๆ นอกประเทศจีน กลายเป็นหนึ่งในทางเลือกสำคัญที่เห็นชัดเจนตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นมา
ประเทศเป้าหมายการเคลื่อนย้ายลงทุนและย้ายฐานการผลิตนับรวมกลุ่มประเทศอาเซียน ทั้งอินโดนีเซีย เวียดนาม และไทย เพื่อเลี่ยงผลกระทบจากมาตรการภาษีของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ โฟกัสไทยนับตั้งแต่ปี 2566 ถึงปัจจุบัน กลุ่มคนจีนเข้ามาไทยจำนวนมาก ทั้งในรูปแบบนักลงทุนเข้ามาจัดตั้งนิติบุคคลสัญชาติจีนในไทย และการขอใบอนุญาตทำงานก็เพิ่มมากขึ้นสอดคล้องกัน
ทั้งนี้ สถิติการขอรับส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) นักลงทุนจีนขึ้นเป็นอันดับ 1 แซงนักลงทุนญี่ปุ่นในปี 2566-2567 ประเมินว่าเป็นเทรนด์ต่อเนื่องในปี 2568 ด้วย โดยปี 2567 นักลงทุนจีนได้รับ BOI ทั้งสิ้น 743 โครงการ มูลค่าลงทุน 174,440 ล้านบาท
อุตสาหกรรมตามบัตรส่งเสริมลงทุน BOI พบว่าอันดับ 1 รถยนต์อีวีและชิ้นส่วน 178 โครงการ ลงทุนรวม 43,113 ล้านบาท รองลงมาเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ 148 โครงการ รวม 41,158 ล้านบาท อันดับ 3 ผลิตภัณฑ์โลหะ 151 โครงการ วงเงินลงทุน 40,630 ล้านบาท
ขณะที่สถิติการลงทุนของนักลงทุนจีนในนิคมอุตสาหกรรมไทย ข้อมูลของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) รายงานว่า มีนักลงทุนสัญชาติจีนทั้งหมด 585 โรงงาน มูลค่าลงทุนสะสม 547,769.65 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 14.3% ของนักลงทุนทั้งหมด
จัดอันดับท็อป 5 ได้แก่
1.อุตสาหกรรมผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์
2.ผลิตยานพาหนะและอุปกรณ์รวมการซ่อมด้วย
3.ยางและผลิตภัณฑ์ยาง
4.กิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรม
และ 5.อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์โลหะ
เปิดท็อป 5 นิคมอุตฯ ในใจจีน
นายสุรเชษฐกล่าวต่อว่า โฟกัสเฉพาะนักลงทุนจีนตั้งโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมไทย 5 อันดับแรก ได้แก่ อันดับ 1 นิคมอุตฯ อมตะซิตี้ ระยอง มูลค่าลงทุน 218,767.65 ล้านบาท, อันดับ 2 ดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 1 มูลค่าลงทุน 39,504.88 ล้านบาท, อันดับ 3 ดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 2 มูลค่าลงทุน 30,181.78 ล้านบาท, อันดับ 4 เอเชีย ลงทุน 29,315.09 ล้านบาท และอันดับ 5 หลักชัยเมืองยาง ลงทุน 19,922.02 ล้านบาท (ดูกราฟิกประกอบ)
ในจำนวนนี้จะเห็นว่านักลงทุนจีนลงทุนรวมในนิคมอุตฯ อมตะซิตี้ ระยองมากที่สุด รวมทั้งในภาพรวมก็ลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมพื้นที่จังหวัดระยองมากที่สุดอีกด้วย เพราะเป็นการเข้ามาของกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมรถยนต์และรถยนต์ไฟฟ้า อาทิ บีวายดี (BYD) และเกรทวอลล์มอเตอร์ (GWM)
รวมถึงอุตสาหกรรมแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า และอุตฯ เครื่องใช้ไฟฟ้า เหตุผลหลักเนื่องจากราคาที่ดินในนิคมอุตฯ จังหวัดระยอง มีราคาต่ำกว่าพื้นที่นิคมอุตฯ ในชลบุรี แต่มีความสะดวกในการผลิตสินค้าส่งออก เพราะมีท่าเรือน้ำลึกมาบตาพุด
นิติบุคคลจีนพุ่ง 3 หมื่นราย
ขณะเดียวกัน การเข้ามาของการลงทุนจีนที่มากมายต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดการตั้งนิติบุคคลสัญชาติจีนในไทยมากขึ้น โดยขึ้นมาอยู่อันดับ 3 รองจากญี่ปุ่นและสิงคโปร์ ณ สิ้นปี 2567 มีนิติบุคคลสัญชาติจีนในไทยทั้งหมด 30,455 ราย มูลค่ารวมของทุนจดทะเบียน 426,062.47 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 10.2% ของมูลค่าการลงทุนรวมของนิติบุคคลต่างชาติในไทย
สำหรับแนวโน้มการจัดตั้งนิติบุคคลต่างชาติในไทย พบว่าจีนกับสิงคโปร์มีทิศทางเพิ่มขึ้น สวนทางกับนิติบุคคลสัญชาติญี่ปุ่น ถึงแม้มีการลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น แต่เป็นการเพิ่มในอัตราที่ต่ำกว่าสิงคโปร์ จีน และอีกหลายประเทศ
“ช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา ญี่ปุ่นเป็นกลุ่มนักลงทุนต่างชาติที่ได้รับใบอนุญาตทำงานในไทยมากที่สุดมาโดยตลอด ถ้าไม่นับแรงงานจากเมียนมา ลาว กัมพูชา ข้อมูลกระทรวงแรงงานแจ้งว่า จำนวนคนจีนที่ได้รับใบอนุญาตทำงานในไทยเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา มากกว่าญี่ปุ่น และจีนยังคงเพิ่มมากขึ้นต่อเนื่องจนถึงปี 2567 จึงมองว่าจะสูงต่อเนื่องในปีนี้ด้วย”
เศรษฐีตั้งบริษัทส่งลูกเรียนไทย
นายสุรเชษฐกล่าวด้วยว่า การที่มีคนจีนเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมและธุรกิจต่าง ๆ นั้น ที่สูงมากตั้งแต่ปี 2565 อาจมีการคาดการณ์แล้วว่าประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกาจะเป็นใคร และจะมีนโยบายที่สร้างผลกระทบต่อพวกเขาอย่างไร การย้ายฐานการผลิตของอุตสาหกรรมบางประเภทจึงมีให้เห็นตั้งแต่ก่อนปี 2568
นอกจากนี้ ปัญหานโยบายภายในและสภาพเศรษฐกิจในประเทศจีน การควบคุมทางการศึกษาที่มีผลต่อระบบการศึกษาในหลักสูตรนานาชาติ ซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มคนจีนรุ่นใหม่ที่มีฐานะ จึงก่อให้เกิดเทรนด์การส่งบุตรหลานออกมาเรียนต่อในต่างประเทศ โดยไทยก็เป็น 1 ในประเทศเป้าหมายของกลุ่มคนจีนที่มีฐานะ
ในขณะที่มีจุดน่าสนใจอยู่ที่การมาเรียนหนังสือในไทยของบุตรหลานชาวจีนนั้น จำเป็นต้องมีผู้ปกครองมาอยู่ดูแลด้วย วิธีการในการมาดูแลแบบระยะยาวที่สะดวก และไม่ต้องมีปัญหาเยอะ ก็คือการเปิดธุรกิจในไทย แล้วขอใบอนุญาตทำงานในประเทศไทย ผ่านบริษัทหรือนิติบุคคลที่ตนเองตั้งขึ้นมา โดยบริษัทสัญชาติจีนก็ทำธุรกิจทั่วไป ซึ่งอาจจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็ไม่ใช่เป้าหมายหลักในการจัดตั้งบริษัทหรือนิติบุคคลในไทยของคนจีนบางกลุ่ม
“มองในภาพใหญ่ทั้งโลก ผลกระทบเทรดวอร์รอบนี้ ไทยอาจจะไม่ใช่ตัวเลือกอันดับแรกของนักลงทุนที่มองหาฐานการผลิตใหม่ ๆ แต่ก็ยังอยู่ในลำดับต้น ๆ ในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นคนจีนหรือสัญชาติใดก็ตาม”...
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/property/news-1764192