เปิดศักราชปี 2568 มาได้ครบ 1 เดือน สถานการณ์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ทั้ง “ยอดขาย” และ “ยอดส่งออก” ก็ยังคงย่ำแย่ไม่ต่างจากปี 2567 ที่ผ่านมาเลยแม้แต่น้อย
โดยเฉพาะตัวเลขการส่งออกที่ต่ำที่สุดในรอบ 33 เดือนเลยทีเดียว
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่ายอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนมกราคม 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 48,092 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม ปีทีผ่านมา 12.26 %
ทั้งนี้ เพราะสถาบันการเงินยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อจากหนี้ครัวเรือนสูงและเศรษฐกิจในประเทศปี 2567 ขยายตัวในอัตราต่ำที่ 2.5 % ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมยังคงลดลงโดยเฉพาะผลผลิตยานยนต์ที่มีอุตสาหกรรมต่อเนื่องมากลดลง แรงงานจำนวนมากมีรายได้ลดลง ทำให้ใช้จ่ายลดลง ส่งผลให้เศรษฐกิจขยายตัวในอัตราต่ำ
ทางกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์จึงขอให้รัฐบาลเร่งออกมาตรการช่วยเหลือค้ำประกันการปล่อยสินเชื่อซื้อรถกระบะให้เร็วขึ้นจากสี่เดือนเป็นสองเดือนเพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมผลิตมากขึ้น จ้างงานมากขึ้น ใช้จ่ายมากขึ้น เศรษฐกิจขยายตัวในอัตราสูงขึ้นซึ่งจะสร้างบรรยากาศการลงทุนให้เร็วขึ้นตามความประสงค์ของนายกรัฐมนตรี
ขณะที่รถไฟฟ้า BEV เดือนมกราคม 2568 มียอดจดทะเบียนใหม่จำนวน 14,711 คัน ลดลงจากเดือนมกราคมปีที่แล้ว 7.73 % ส่วนยานยนต์ประเภทไฟฟ้า (HEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 13,545 คัน ลดลงจากเดือนมกราคมปีที่แล้ว 4.23 % สำหรับประเภทไฟฟ้า (PHEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 1,074 คัน ลดลงจากเดือนมกราคมปีที่แล้ว 14.26 %
นายสุรพงษ์กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้านการผลิตจำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในเดือนมกราคม 2568 มีทั้งสิ้น 107,103 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม ปีที่ผ่านมา 24.63 % เพราะผลิตขายในประเทศลดลง 31.78 % ตามยอดขายที่ลดลง และผลิตส่งออกลดลง 21.10 % ตามยอดส่งออกที่ลดลง
รถยนต์นั่ง เดือนมกราคม 2568 ผลิตได้ 35,714 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม ปีที่ผ่านมา 31.98 %
รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนมกราคม 2568 ผลิตได้ทั้งหมด 70,604 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม ปีที่ผ่านมา 18.65 %
สำหรับรถจักรยานยนต์ เดือนมกราคม 2568 ผลิตรถจักรยานยนต์ได้ทั้งสิ้น 214,071 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม ปีที่ผ่านมา 4.68 % แยกเป็นรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป (CBU) 175,856 คัน ลดลงจากปีที่ผ่านมา 1.11 % และชิ้นส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ (CKD) 38,215 คัน ลดลงจากปีที่ผ่านมา 18.29 %
การส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เดือนมกราคม 2568 ส่งออกได้ 62,321 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม ปีที่ผ่านมา 28.13 % จากความกังวลเรื่องสงครามการค้าที่สหรัฐอเมริกาขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ จึงต้องติดตามกันต่อไปว่าจะมีการตอบโต้มากน้อยเพียงใด รวมทั้งการส่งออกของรถยนต์ไฟฟ้าจีนราคาถูกมาแข่งขันมากขึ้นในประเทศคู่ค้า และรถยนต์ส่งออกบางรุ่นกำลังจะเปลี่ยนเป็นรุ่นใหม่ และจากเดือนธันวาคมมีวันหยุดมาก บางบริษัทเปิดทำการช้าในเดือนมกราคม จึงผลิตได้น้อย ทำให้เดือนมกราคมมีรถส่งออกได้น้อยในตลาดออสเตรเลียตะวันออกกลาง ยุโรป อเมริกากลางและอเมริกาใต้
สิ่งที่ต้องจับตานับจากนี้คือ เมื่อยอดขายในประเทศลด ยอดผลิตส่งออกก็ลด ค่ายรถยนต์ต่างๆ จะต้องมีการ “ปฏิรูปครั้งใหญ่” ซึ่งสิ่งที่มีการประเมินกันว่าจะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ “การเลิกจ้างพนักงาน” และ “การปรับกำลังการผลิต” โดยที่ผ่านมาหลายค่ายก็ได้ดำเนินการไปเป็นที่เรียบร้อย อย่างในรายของ “ค่ายนิสสัน” หรือ “ค่ายซูซูกิ” ที่ประกาศออกมาแล้วว่า จะหยุดการผลิตรถยนต์ในไทยภายในปี 2025 และเตรียมนำเข้ารถยนต์มาทำตลาดทั้งหมด เป็นต้น
กรณีที่เพิ่งเป็นข่าวล่าสุดก็คือ “ค่ายมิตซูบิชิ” ที่เปิดโครงการ “สมัครใจลาออก” ให้พนักงานประจำทั้งส่วนงานออฟฟิศ สำนักงานใหญ่ และพนักงานสายการผลิต โดยเบื้องต้นมีรายงานว่าตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการของพนักงานที่สมัครเข้าร่วมโครงการดังกล่าว มีจำนวน 400 ราย จากจำนวนพนักงานประจำของบริษัทที่มีอยู่ประมาณ 5,200 ราย
รายงานข่าวแจ้งว่า การประกาศครั้งนี้ถือว่าเป็นการจ่ายค่าตอบแทนให้กับพนักงานสูงที่สุดเท่าที่มิตซูบิชิเคยประกาศออกมา หลังจากก่อนหน้านี้ เมื่อ 13 พ.ค. 2563 มิตซูบิชิได้ประกาศโครงการนี้ออกมา เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 และยอดขายรถยนต์โดยรวมได้รับผลกระทบ และครั้งนั้นมีการจ่ายเงินชดเชยให้ต่ำสุดที่ 8 เดือน และจ่ายให้สูงสุดถึง 35 เดือน แต่ครั้งนี้มิตซูบิชิจ่ายชดเชยถึง 40 เดือน
อย่างไรก็ดี ไม่เฉพาะแต่มิตซูบิชิเท่านั้น เเต่ในส่วนของค่ายรถยนต์ต่าง ๆ ได้มีการประกาศนโยบายการสมัครใจลาออกและการปรับโครงสร้างองค์กร เพื่อลดต้นทุนการดำเนินงานในสถานการณ์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ชะลอตัวและสภาพเศรษฐกิจโดยรวมของไทยที่เติบโตต่ำ รวมถึงการเข้ามาตีตลาดของค่ายรถจีน
ที่สำคัญคือ สะท้อนให้เห็นว่ามาตรการต่างๆ ที่ “รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร” ทำคลอดออกมาไม่ว่าจะเป็นนโยบายที่เกี่ยวข้องกับภาคอุตสาหกรรมยานยนต์โดยตรง หรือนโยบายทางเศรษฐกิจอื่นๆ นั้น ไม่ได้ช่วยทำให้อะไรๆ ดีขึ้น กระทั่ง สอท.ต้องออกมากระทุ้งให้รัฐบาลปรับแก้มาตรการเป็นการเร่งด่วน
ที่ต้องขีดเส้นใต้ก็คือ “ถ้าเศรษฐกิจไม่แย่จริง” คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) คงไม่ตัดสินใจลด “ดอกเบี้ยนโยบาย” ลงอีกร้อยละ 0.25 จากร้อยละ 2.25 เป็นร้อยละ 2.00 ต่อปี ในการประชุมเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา ด้วยเหตุผลว่า “เศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้”
แถมมีมติเอกฉันท์ 6 ต่อ 1 เสียด้วย
และหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้กนง.ตัดสินใจลดดอกเบี้ยนโยบายก็คือ ปัญหาที่เกิดขึ้นกับ “ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์” ซึ่งการลดดอกเบี้ยดังกล่าวนั้น ส่งผลดีกับภาคเศรษฐกิจโดยรวมอย่างแน่นอน แต่สำหรับภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ยังไม่แน่ชัดว่า จะทำให้บรรดาสถาบันการเงินปล่อยกู้ง่ายขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ อย่างไร
นอกจากนี้ ยังเป็นที่จับตาว่า ใน “งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 หรือ มอเตอร์โชว์ 2025” ที่กำลังจะจัดขึ้นในช่วงเดือนปลายเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนเมษายนนี้ บรรดาค่ายรถยนต์ต่างๆ จะงัดมาตรการใดมาเพื่อกระตุ้นยอดขายกันบ้าง
ทั้งนี้ มีรายงานจากผู้จัดงานว่า ปีนี้มีค่ายรถยนต์ จักรยานยนต์ และอุปกรณ์ประดับยนต์ ให้ความสนใจเข้าร่วมจับจองพื้นที่จัดงานเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะค่ายรถยนต์ใหม่ที่ยังไม่เคยเข้าร่วมงานอย่างน้อย 3-5 แบรนด์ และเปิดตัวรถรุ่นใหม่ออกสู่ตลาดอีกไม่น้อยกว่า 10 รุ่น รวมถึง “ค่ายจีน” ที่ขนกันมาอย่างล้นหลามเลยก็ว่าได้
บอกได้เลยว่า สถานการณ์ของภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยปี 2568 หืดขึ้นคออย่างแน่นอน แถมยังต้องลุ้นระทึกอีกว่า ตัวเลขเมื่อสิ้นปีจะ “ลดลง” หรือ “เสมอตัว” ส่วน “ดีกว่าเดิม” นั้น บอกตามตรงเลยว่า ณ เวลานี้ยังมองไม่เห็นสัญญาณในทางดีแต่ประการใด
ขอบคุณที่มา:
https://mgronline.com/daily/detail/9680000019649?tbref=hp
รถยนต์ในประเทศ “ขายไม่ออก” ยอดส่งออกต่ำสุดในรอบ 33 เดือน แรงงานเตรียมรับมือภาวะ “เลิกจ้าง”
โดยเฉพาะตัวเลขการส่งออกที่ต่ำที่สุดในรอบ 33 เดือนเลยทีเดียว
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่ายอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนมกราคม 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 48,092 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม ปีทีผ่านมา 12.26 %
ทั้งนี้ เพราะสถาบันการเงินยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อจากหนี้ครัวเรือนสูงและเศรษฐกิจในประเทศปี 2567 ขยายตัวในอัตราต่ำที่ 2.5 % ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมยังคงลดลงโดยเฉพาะผลผลิตยานยนต์ที่มีอุตสาหกรรมต่อเนื่องมากลดลง แรงงานจำนวนมากมีรายได้ลดลง ทำให้ใช้จ่ายลดลง ส่งผลให้เศรษฐกิจขยายตัวในอัตราต่ำ
ทางกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์จึงขอให้รัฐบาลเร่งออกมาตรการช่วยเหลือค้ำประกันการปล่อยสินเชื่อซื้อรถกระบะให้เร็วขึ้นจากสี่เดือนเป็นสองเดือนเพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมผลิตมากขึ้น จ้างงานมากขึ้น ใช้จ่ายมากขึ้น เศรษฐกิจขยายตัวในอัตราสูงขึ้นซึ่งจะสร้างบรรยากาศการลงทุนให้เร็วขึ้นตามความประสงค์ของนายกรัฐมนตรี
ขณะที่รถไฟฟ้า BEV เดือนมกราคม 2568 มียอดจดทะเบียนใหม่จำนวน 14,711 คัน ลดลงจากเดือนมกราคมปีที่แล้ว 7.73 % ส่วนยานยนต์ประเภทไฟฟ้า (HEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 13,545 คัน ลดลงจากเดือนมกราคมปีที่แล้ว 4.23 % สำหรับประเภทไฟฟ้า (PHEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 1,074 คัน ลดลงจากเดือนมกราคมปีที่แล้ว 14.26 %
นายสุรพงษ์กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้านการผลิตจำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในเดือนมกราคม 2568 มีทั้งสิ้น 107,103 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม ปีที่ผ่านมา 24.63 % เพราะผลิตขายในประเทศลดลง 31.78 % ตามยอดขายที่ลดลง และผลิตส่งออกลดลง 21.10 % ตามยอดส่งออกที่ลดลง
รถยนต์นั่ง เดือนมกราคม 2568 ผลิตได้ 35,714 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม ปีที่ผ่านมา 31.98 %
รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนมกราคม 2568 ผลิตได้ทั้งหมด 70,604 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม ปีที่ผ่านมา 18.65 %
สำหรับรถจักรยานยนต์ เดือนมกราคม 2568 ผลิตรถจักรยานยนต์ได้ทั้งสิ้น 214,071 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม ปีที่ผ่านมา 4.68 % แยกเป็นรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป (CBU) 175,856 คัน ลดลงจากปีที่ผ่านมา 1.11 % และชิ้นส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ (CKD) 38,215 คัน ลดลงจากปีที่ผ่านมา 18.29 %
การส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เดือนมกราคม 2568 ส่งออกได้ 62,321 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม ปีที่ผ่านมา 28.13 % จากความกังวลเรื่องสงครามการค้าที่สหรัฐอเมริกาขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ จึงต้องติดตามกันต่อไปว่าจะมีการตอบโต้มากน้อยเพียงใด รวมทั้งการส่งออกของรถยนต์ไฟฟ้าจีนราคาถูกมาแข่งขันมากขึ้นในประเทศคู่ค้า และรถยนต์ส่งออกบางรุ่นกำลังจะเปลี่ยนเป็นรุ่นใหม่ และจากเดือนธันวาคมมีวันหยุดมาก บางบริษัทเปิดทำการช้าในเดือนมกราคม จึงผลิตได้น้อย ทำให้เดือนมกราคมมีรถส่งออกได้น้อยในตลาดออสเตรเลียตะวันออกกลาง ยุโรป อเมริกากลางและอเมริกาใต้
สิ่งที่ต้องจับตานับจากนี้คือ เมื่อยอดขายในประเทศลด ยอดผลิตส่งออกก็ลด ค่ายรถยนต์ต่างๆ จะต้องมีการ “ปฏิรูปครั้งใหญ่” ซึ่งสิ่งที่มีการประเมินกันว่าจะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ “การเลิกจ้างพนักงาน” และ “การปรับกำลังการผลิต” โดยที่ผ่านมาหลายค่ายก็ได้ดำเนินการไปเป็นที่เรียบร้อย อย่างในรายของ “ค่ายนิสสัน” หรือ “ค่ายซูซูกิ” ที่ประกาศออกมาแล้วว่า จะหยุดการผลิตรถยนต์ในไทยภายในปี 2025 และเตรียมนำเข้ารถยนต์มาทำตลาดทั้งหมด เป็นต้น
กรณีที่เพิ่งเป็นข่าวล่าสุดก็คือ “ค่ายมิตซูบิชิ” ที่เปิดโครงการ “สมัครใจลาออก” ให้พนักงานประจำทั้งส่วนงานออฟฟิศ สำนักงานใหญ่ และพนักงานสายการผลิต โดยเบื้องต้นมีรายงานว่าตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการของพนักงานที่สมัครเข้าร่วมโครงการดังกล่าว มีจำนวน 400 ราย จากจำนวนพนักงานประจำของบริษัทที่มีอยู่ประมาณ 5,200 ราย
รายงานข่าวแจ้งว่า การประกาศครั้งนี้ถือว่าเป็นการจ่ายค่าตอบแทนให้กับพนักงานสูงที่สุดเท่าที่มิตซูบิชิเคยประกาศออกมา หลังจากก่อนหน้านี้ เมื่อ 13 พ.ค. 2563 มิตซูบิชิได้ประกาศโครงการนี้ออกมา เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 และยอดขายรถยนต์โดยรวมได้รับผลกระทบ และครั้งนั้นมีการจ่ายเงินชดเชยให้ต่ำสุดที่ 8 เดือน และจ่ายให้สูงสุดถึง 35 เดือน แต่ครั้งนี้มิตซูบิชิจ่ายชดเชยถึง 40 เดือน
อย่างไรก็ดี ไม่เฉพาะแต่มิตซูบิชิเท่านั้น เเต่ในส่วนของค่ายรถยนต์ต่าง ๆ ได้มีการประกาศนโยบายการสมัครใจลาออกและการปรับโครงสร้างองค์กร เพื่อลดต้นทุนการดำเนินงานในสถานการณ์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ชะลอตัวและสภาพเศรษฐกิจโดยรวมของไทยที่เติบโตต่ำ รวมถึงการเข้ามาตีตลาดของค่ายรถจีน
ที่สำคัญคือ สะท้อนให้เห็นว่ามาตรการต่างๆ ที่ “รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร” ทำคลอดออกมาไม่ว่าจะเป็นนโยบายที่เกี่ยวข้องกับภาคอุตสาหกรรมยานยนต์โดยตรง หรือนโยบายทางเศรษฐกิจอื่นๆ นั้น ไม่ได้ช่วยทำให้อะไรๆ ดีขึ้น กระทั่ง สอท.ต้องออกมากระทุ้งให้รัฐบาลปรับแก้มาตรการเป็นการเร่งด่วน
ที่ต้องขีดเส้นใต้ก็คือ “ถ้าเศรษฐกิจไม่แย่จริง” คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) คงไม่ตัดสินใจลด “ดอกเบี้ยนโยบาย” ลงอีกร้อยละ 0.25 จากร้อยละ 2.25 เป็นร้อยละ 2.00 ต่อปี ในการประชุมเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา ด้วยเหตุผลว่า “เศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้”
แถมมีมติเอกฉันท์ 6 ต่อ 1 เสียด้วย
และหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้กนง.ตัดสินใจลดดอกเบี้ยนโยบายก็คือ ปัญหาที่เกิดขึ้นกับ “ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์” ซึ่งการลดดอกเบี้ยดังกล่าวนั้น ส่งผลดีกับภาคเศรษฐกิจโดยรวมอย่างแน่นอน แต่สำหรับภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ยังไม่แน่ชัดว่า จะทำให้บรรดาสถาบันการเงินปล่อยกู้ง่ายขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ อย่างไร
นอกจากนี้ ยังเป็นที่จับตาว่า ใน “งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 หรือ มอเตอร์โชว์ 2025” ที่กำลังจะจัดขึ้นในช่วงเดือนปลายเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนเมษายนนี้ บรรดาค่ายรถยนต์ต่างๆ จะงัดมาตรการใดมาเพื่อกระตุ้นยอดขายกันบ้าง
ทั้งนี้ มีรายงานจากผู้จัดงานว่า ปีนี้มีค่ายรถยนต์ จักรยานยนต์ และอุปกรณ์ประดับยนต์ ให้ความสนใจเข้าร่วมจับจองพื้นที่จัดงานเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะค่ายรถยนต์ใหม่ที่ยังไม่เคยเข้าร่วมงานอย่างน้อย 3-5 แบรนด์ และเปิดตัวรถรุ่นใหม่ออกสู่ตลาดอีกไม่น้อยกว่า 10 รุ่น รวมถึง “ค่ายจีน” ที่ขนกันมาอย่างล้นหลามเลยก็ว่าได้
บอกได้เลยว่า สถานการณ์ของภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยปี 2568 หืดขึ้นคออย่างแน่นอน แถมยังต้องลุ้นระทึกอีกว่า ตัวเลขเมื่อสิ้นปีจะ “ลดลง” หรือ “เสมอตัว” ส่วน “ดีกว่าเดิม” นั้น บอกตามตรงเลยว่า ณ เวลานี้ยังมองไม่เห็นสัญญาณในทางดีแต่ประการใด
ขอบคุณที่มา: https://mgronline.com/daily/detail/9680000019649?tbref=hp