น่าห่วง ยอดส่งออกรถม.ค.68 ต่ำสุดรอบ 33 เดือน เร่งรัฐช่วยค้ำประกันสินเชื่อซื้อรถกระบะ
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_9647484
น่าห่วง ยอดส่งออกรถม.ค.68 ต่ำสุดในรอบ 33 เดือน เร่งรัฐออกมาตรการช่วยเหลือ ค้ำประกันสินเชื่อ ซื้อรถกระบะเป็น 2 เดือน ให้ภาคอุตสาหกรรมผลิตมากขึ้น
เมื่อวันที่ 24 ก.พ.68 นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผย ตัวเลขยอดการผลิตรถยนต์ของสมาชิกกลุ่มฯ ในเดือนมกราคม ปี 2568 ว่า จำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในเดือนมกราคม 2568 มีทั้งสิ้น 107,103 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม 2567 จำนวน 24.63% เพราะผลิตขายในประเทศลดลง 31.78% ตามยอดขายที่ลดลง และผลิตส่งออกลดลง 21.10% ตามยอดส่งออกที่ลดลง
สำหรับการผลิตเพื่อส่งออกเดือนมกราคม 2568 ผลิตได้ 75,044 คัน เท่ากับ 70.07% ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมกราคม 2567 จำนวน 21.10% ส่วนการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศเดือนมกราคม 2568 ผลิตได้ 32,059 คัน เท่ากับ 29.93% ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมกราคม 2567 จำนวน 31.78%
นาย
สุรพงษ์ กล่าวว่า สำหรับยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนมกราคม 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 48,092 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม 2567
จำนวน 12.26% เนื่องจากสถาบันการเงินยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อจากหนี้ครัวเรือนสูงและเศรษฐกิจในประเทศปี 2567 ขยายตัวในอัตราต่ำที่ 2.5% ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมยังคงลดลง โดยเฉพาะผลผลิตยานยนต์ที่มีอุตสาหกรรมต่อเนื่องมากลดลง แรงงานจำนวนมากมีรายได้ลดลง ทำให้ใช้จ่ายลดลง ส่งผลให้เศรษฐกิจขยายตัวในอัตราต่ำ
จึงขอให้รัฐบาลเร่งออกมาตรการช่วยเหลือค้ำประกันการปล่อยสินเชื่อซื้อรถกระบะให้เร็วขึ้นจาก 4 เดือนเป็น 2 เดือนเพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมผลิตมากขึ้น จ้างงานมากขึ้น ใช้จ่ายมากขึ้น เศรษฐกิจขยายตัวในอัตราสูงขึ้นซึ่งจะสร้างบรรยากาศการลงทุนให้เร็วขึ้นตามความประสงค์ของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
นาย
สุรพงษ์ กล่าวว่า การส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปเดือนมกราคม 2568 ส่งออกได้ 62,321 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม 2567 28.13% ถือว่าเป็นตัวเลขที่ต่ำมากๆ และยังน่าเป็นห่วง จากความกังวลเรื่องสงครามการค้าที่สหรัฐอเมริกาขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ จึงต้องติดตามกันต่อไปว่าจะมีการตอบโต้มากน้อยเพียงใด
รวมทั้งการส่งออกของรถยนต์ไฟฟ้าจีนราคาถูกมาแข่งขันมากขึ้นในประเทศคู่ค้า และรถยนต์ส่งออกบางรุ่นกำลังจะเปลี่ยนเป็นรุ่นใหม่ และจากเดือนธันวาคมมีวันหยุดมาก บางบริษัทเปิดทำการช้าในเดือนมกราคม จึงผลิตได้น้อย ทำให้เดือนมกราคมมีรถส่งออกได้น้อย กว่าประเทศอื่นๆอย่างเช่น ออสเตรเลียตะวันออกกลาง ยุโรป อเมริกากลางและอเมริกาใต้
และเดือนมกราคม 2568 รวมมูลค่าการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนอื่นๆ อะไหล่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 68,069.18 ล้านบาท ลดลงจากปี 2567 20.63%
ข้อมูล ณ วันที่ 31 มกราคม 2568 มียานยนต์ไฟฟ้าประเภท BEV จดทะเบียนสะสม 242,076 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคมปีที่แล้ว 63.85% และ มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 14,711 คัน ลดลงจากเดือนมกราคมปีที่แล้ว 7.73 %
ณัฐวุฒิ รับทราบข้อกล่าวหาป.ป.ช. ยันสู้ไม่มีหงอ ชี้แก้กม.ไม่ควรผิดจริยธรรม ย้ำ ไม่กระทบศึกซักฟอก
https://www.matichon.co.th/politics/news_5063963
ณัฐวุฒิ รับทราบข้อกล่าวหา ป.ป.ช. คนที่ 2 ปมแก้ ม.112 ขัดจริยธรรม มั่นใจ ต่อสู้ได้ไม่มี “หงอ” ยัน ไม่กระทบทำหน้าที่ สส. เตรียมศึกซักฟอก
เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ นาย
ณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เดินทางมายังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อรับฟังข้อกล่าวหาฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง คดีอดีต 44 ส.ส.พรรคก้าวไกล ร่วมลงชื่อเสนอญัตติแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งถือเป็น ส.ส.คนที่ 2 ที่เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาต่อจากนาย
วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน โดยใช้เวลาให้ปากคำกับกรรมการ ป.ป.ช.เกือบ 2 ชั่วโมง
นาย
ณัฐวุฒิกล่าวว่า การกระทำทั้งหมดของ 43 คน นับว่าเป็นเอกสิทธิ์ของ ส.ส. และเป็นการทำหน้าที่ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในการเข้าชื่อแก้ไขกฎหมาย ซึ่งเราเห็นว่า อาจจะกระทบต่อสิทธิ และเสรีภาพของประชาชน และการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวยังคงรักษาเรื่องของสถาบันอย่างเหนียวแน่น ซึ่งวันนี้ตนถือเป็นคนที่ 2 ที่เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งไม่ทราบว่า จะมีเพื่อน ส.ส.คนใด จะเดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาอีกเมื่อไหร่ หรือจะเป็นการรับทราบข้อกล่าวหาผ่านทางเอกสาร
ทั้งนี้ สำหรับข้อกล่าวหาของตน มีความเกี่ยวเนื่องกับการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา ที่เกี่ยวข้องกับเสรีภาพ และความผิดเกี่ยวกับการหมิ่นประมาท ที่ถูกระบุอยู่ในข้อกล่าวหาเป็นหลัก และอีกส่วนหนึ่งที่มีการเพิ่มเติมที่อาจจะแตกต่างจากผู้อื่น เนื่องจาก ป.ป.ช.กล่าวหาว่า ตนเคยมีการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า เห็นด้วยกับการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา โดยเฉพาะในมาตรา 112 ซึ่งตนต้องดูในรายละเอียดว่าการให้สัมภาษณ์ของตนเองดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และมีพยานหลักฐานใดที่ ป.ป.ช.ใช้ในการกล่าวอ้าง เพื่อมาแจ้งข้อกล่าวหากับตน
อย่างไรก็ตาม ตนไม่สามารถบอกว่าเบาใจ แต่ขอยืนยันอย่างหนักแน่น และส่งสารไปยังประชาชนว่า การแก้ไขกฎหมายไม่ควรจะเป็นความผิดจริยธรรมร้ายแรง ซึ่งข้อหา และบทลงโทษของการผิดจริยธรรมร้ายแรง ถึงแม้ว่า ท้ายที่สุดไม่รู้ว่า ป.ป.ช.จะชี้มูลและส่งไปยังศาลที่เกี่ยวข้องหรือไม่ แต่หากมีกระบวนการแบบนี้จะนำไปสู่การตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต ซึ่งเปรียบเสมือนการประหารชีวิตทางการเมือง และวันนี้ตนได้มีการบันทึกถ้อยคำ และได้ยืนยันกับ ป.ป.ช.ว่า ตนเองจะขอคัดถ่ายเอกสารทุกอย่าง พร้อมกับยอมรับว่า วันนี้ยังไม่รู้ว่าใครคือบุคคลที่มากล่าวหาตนเอง รวมถึงมีพยานกี่คน มีการให้การว่าอย่างไรบ้าง และข้อเท็จจริง หรือพยานหลักฐานใดที่ ป.ป.ช.ใช้ในการวินิจฉัยว่า การกระทำของพวกตน เข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดจริยธรรมร้ายแรง ซึ่งตนได้ยื่นเรื่องไว้แล้ว
นอกจากนี้ ในการคุ้มครองพยานก็ต่อเมื่อมีความเสี่ยง ที่พยานอาจจะถูกพวกตนเข้าไปข่มขู่คุกคาม แต่ประชาชนทราบดีว่า คงไม่มีการกระทำเช่นนั้น และสิ่งนั้นเกิดขึ้นแล้วจากการให้ข้อมูลของพยาน ดังนั้นควรเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของผู้ถูกกล่าวหา ที่จะรับรู้ว่า ผู้กล่าวหาคือใคร และกล่าวหาด้วยอะไร มีพยานหลักฐานอะไรบ้าง มีข้อมูลวีดีทัศน์ การบันทึกเทป คลิปเสียง หรือคลิปวิดีโอต่างๆ และเอกสารใดๆ ซึ่งตนเองได้ยื่นขอไปแล้ว โดยคาดว่า อีกประมาณ 2-3 วัน ให้ ป.ป.ช.พิจารณาว่า จะให้สิ่งที่ร้องขอไปหรือไม่ และในระเบียบของ ป.ป.ช.มีการระบุว่า การให้พยานหลักฐานต่างๆ ต้องไม่กระทบต่อรูปคดี และเป็นการคุ้มครองข้อมูลสิทธิบุคคล แต่ตนมองว่า เมื่อถึงขนาดนี้ด้วยข้อกล่าวหาที่ร้ายแรง และอาจนำไปสู่การตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต พวกตนก็มีสิทธิที่จะต่อสู้คดีอย่างเต็มที่
นาย
ณัฐวุฒิกล่าวว่า มีความประสงค์ที่จะเดินทางมาให้การด้วยถ้อยคำกับ ป.ป.ช.อีกครั้ง และให้ข้อมูลทางเอกสาร รวมถึงการอ้างพยานบุคคล เข้ามาประกอบการไต่สวน ซึ่งหวังว่า ป.ป.ช.จะให้ความเป็นธรรมเต็มรูปแบบ และหวังว่าพวกตนเองจะได้รับความเป็นธรรมตามที่ควรจะเป็นในข้อหาที่มีความร้ายแรง และยืนยันอีกว่า การเดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาในวันนี้ จะไม่กระทบต่อการทำหน้าที่ของ ส.ส.พรรคประชาชน ซึ่งจะมีการสรุปข้อมูลญัตติในการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล และจะมีการยื่นเรื่องอย่างแน่นอน เพราะถือเป็นภารกิจ ที่เราต้องทำ เช่นเดียวกับภารกิจอื่นที่ต้องทำในสภา ซึ่งอยากให้ประชาชนมั่นใจว่า การต่อสู้ของพวกเราจะไม่มี “
หงอ” และจะใช้สิทธิทุกประการ เพื่อให้สิ่งเหล่านี้หายไปจากการดำเนินการ และตนเชื่อว่า ป.ป.ช. ก็ไม่ได้มองเรื่องนี้เป็นการเมือง ที่จะมาทำร้ายพวกตน ดังนั้นจึงต้องเปิดโอกาสพวกเราให้ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ เพื่อเดินหน้าตามระบอบประชาธิปไตย และเรื่องเหล่านี้ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเดินหน้าตามระบอบประชาธิปไตยอย่างใด
สำหรับการทยอยเดินเข้ามารับทราบข้อกล่าวหาทีละคน แต่ไม่ได้มาเป็นกลุ่มนั้น เรื่องนี้ทั้ง 43 คนไม่ได้คุยกันทั้งหมด แต่ยอมรับว่า มีการพูดคุยเป็นการทั่วไป และมีการปรึกษาหารือกันบ้าง เพื่อตรวจสอบว่า ได้รับเอกสารจาก ป.ป.ช.หรือไม่ ซึ่งระเบียบ ป.ป.ช.การส่งหมายเรียก ต้องคำนึงถึงระยะทางใกล้ไกล แต่ปรากฏว่า คนอยู่บ้านไกลกลับได้ไหมหรือเรียกก่อน แต่คนที่มีพื้นที่อยู่กรุงเทพมหานครบางคนยังไม่ได้หมาย ดังนั้นตนเองไม่สามารถตอบแทนเพื่อนสมาชิกได้ว่า คนต่อไปที่จะเดินทางมารับทราบข้อกล่าวหานั้นเป็นใคร แต่เรามีทีมกฎหมาย และที่ปรึกษากฎหมาย ทั้งของส่วนรวม และส่วนตัวของแต่ละบุคคล
นาย
ณัฐวุฒิกล่าวทิ้งท้ายว่า กรณีข้อเท็จจริงหลังจากที่นายวิโรจน์ ได้อธิบายต่อสื่อมวลชน รวมถึงสิ่งที่ตัวเองทราบ ปรากฏว่า ข้อเท็จจริงไม่ได้เหมือนกันทุกคน แต่ข้อเท็จจริงหลักคือ เกี่ยวข้องกับประมวลกฎหมายอาญา แต่มีรายละเอียดที่แตกต่างกัน แต่ตนเองเชื่อมั่นว่า ทุกคนพร้อมเดินหน้า เข้าสู่กระบวนการของ ป.ป.ช. และเชื่อมั่นว่า ทุกคนไม่ได้มีเจตนา การเป็นผู้กระทำความผิดจริยธรรมร้ายแรง พร้อมย้ำว่า ให้ดูคนหน้าตาแบบนี้ และการกระทำแบบนี้ ที่ทำงานในสภา คงไม่มีใครที่จะถูกตัดสินให้ผิดจริยธรรมร้ายแรง
ไทยสร้างไทย จี้รัฐคุมเข้ม Airbnb ชี้กระทบความปลอดภัย-เศรษฐกิจท้องถิ่น
https://www.dailynews.co.th/news/4430593/
ไทยสร้างไทย จี้รัฐคุมเข้ม Airbnb ชี้กระทบความปลอดภัย-เศรษฐกิจท้องถิ่น เสนอ 5 มาตรการแก้ปัญหาปล่อยเช่าคอนโดมิเนียมผิดกฎหมาย
เมื่อวันที่ 24 ก.พ. เบสท์ วงศ์ไพโรจน์กุล รองโฆษกพรรคไทยสร้างไทย กล่าวถึงการปล่อยเช่าคอนโดมิเนียมรายวันผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Airbnb กำลังสร้างปัญหาด้านความปลอดภัยและกระทบต่อทรัพยากรส่วนกลางของผู้อยู่อาศัยในหลายพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญของประเทศไทย โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ พัทยา ภูเก็ต และเชียงใหม่ ซึ่งปัญหาดังกล่าวยังคงเกิดขึ้นแม้จะมีกฎหมายหลายฉบับที่ควบคุมเรื่องนี้
โดยเห็นว่าการปล่อยเช่าคอนโดมิเนียมผ่าน Airbnb ส่งผลให้ทุนต่างชาติสามารถซื้อคอนโดมิเนียมและดำเนินธุรกิจเช่าโดยใช้แรงงานต่างด้าว ซึ่งส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นและความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัยอย่างมาก “เราพบว่ามีการใช้ทรัพยากรส่วนกลางของคอนโดมิเนียมมากเกินไป ทำให้ลูกบ้านต้องรับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน การบังคับใช้กฎหมายยังไม่เข้มงวด ทำให้ปัญหายังคงลุกลาม” เบสท์กล่าว
แม้ว่าการปล่อยเช่าระยะสั้นจะขัดต่อกฎหมายหลายฉบับ เช่น พ.ร.บ.โรงแรม (พ.ศ. 2547) ที่กำหนดให้ต้องมีใบอนุญาต และ พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร (พ.ศ. 2522) ที่จำกัดการใช้คอนโดมิเนียมเพื่อการปล่อยเช่ารายวัน แต่ปัจจุบันยังคงมีผู้ฝ่าฝืนจำนวนมาก เนื่องจากการบังคับใช้กฎหมายไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ นอกจากนี้ พ.ร.บ.คนเข้าเมือง (พ.ศ. 2522) กำหนดให้เจ้าของที่พักต้องแจ้งข้อมูลผู้เข้าพักชาวต่างชาติภายใน 24 ชั่วโมง และ พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน (พ.ศ. 2475) กำหนดให้เจ้าของที่พักต้องเสียภาษี แต่ในทางปฏิบัติกลับพบว่ามีเจ้าของคอนโดมิเนียมหลายรายเลี่ยงภาษี
เบสท์ วงศ์ไพโรจน์กุล เรียกร้องให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีที่มีหน้าที่กำกับหน่วยงานต่างๆ เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ดำเนินมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหานี้ โดยเสนอแนวทางดังต่อไปนี้
JJNY : 5in1 น่าห่วง ส่งออกรถม.ค.68│ณัฐวุฒิยันสู้ไม่มีหงอ│ทสท.จี้คุมเข้ม Airbnb│กังวล ‘ทักษิณ’ ขีดเส้นจบ│รำลึก 3 ปีสงคราม
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_9647484
เมื่อวันที่ 24 ก.พ.68 นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผย ตัวเลขยอดการผลิตรถยนต์ของสมาชิกกลุ่มฯ ในเดือนมกราคม ปี 2568 ว่า จำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในเดือนมกราคม 2568 มีทั้งสิ้น 107,103 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม 2567 จำนวน 24.63% เพราะผลิตขายในประเทศลดลง 31.78% ตามยอดขายที่ลดลง และผลิตส่งออกลดลง 21.10% ตามยอดส่งออกที่ลดลง
สำหรับการผลิตเพื่อส่งออกเดือนมกราคม 2568 ผลิตได้ 75,044 คัน เท่ากับ 70.07% ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมกราคม 2567 จำนวน 21.10% ส่วนการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศเดือนมกราคม 2568 ผลิตได้ 32,059 คัน เท่ากับ 29.93% ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมกราคม 2567 จำนวน 31.78%
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า สำหรับยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนมกราคม 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 48,092 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม 2567
จำนวน 12.26% เนื่องจากสถาบันการเงินยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อจากหนี้ครัวเรือนสูงและเศรษฐกิจในประเทศปี 2567 ขยายตัวในอัตราต่ำที่ 2.5% ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมยังคงลดลง โดยเฉพาะผลผลิตยานยนต์ที่มีอุตสาหกรรมต่อเนื่องมากลดลง แรงงานจำนวนมากมีรายได้ลดลง ทำให้ใช้จ่ายลดลง ส่งผลให้เศรษฐกิจขยายตัวในอัตราต่ำ
จึงขอให้รัฐบาลเร่งออกมาตรการช่วยเหลือค้ำประกันการปล่อยสินเชื่อซื้อรถกระบะให้เร็วขึ้นจาก 4 เดือนเป็น 2 เดือนเพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมผลิตมากขึ้น จ้างงานมากขึ้น ใช้จ่ายมากขึ้น เศรษฐกิจขยายตัวในอัตราสูงขึ้นซึ่งจะสร้างบรรยากาศการลงทุนให้เร็วขึ้นตามความประสงค์ของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า การส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปเดือนมกราคม 2568 ส่งออกได้ 62,321 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม 2567 28.13% ถือว่าเป็นตัวเลขที่ต่ำมากๆ และยังน่าเป็นห่วง จากความกังวลเรื่องสงครามการค้าที่สหรัฐอเมริกาขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ จึงต้องติดตามกันต่อไปว่าจะมีการตอบโต้มากน้อยเพียงใด
รวมทั้งการส่งออกของรถยนต์ไฟฟ้าจีนราคาถูกมาแข่งขันมากขึ้นในประเทศคู่ค้า และรถยนต์ส่งออกบางรุ่นกำลังจะเปลี่ยนเป็นรุ่นใหม่ และจากเดือนธันวาคมมีวันหยุดมาก บางบริษัทเปิดทำการช้าในเดือนมกราคม จึงผลิตได้น้อย ทำให้เดือนมกราคมมีรถส่งออกได้น้อย กว่าประเทศอื่นๆอย่างเช่น ออสเตรเลียตะวันออกกลาง ยุโรป อเมริกากลางและอเมริกาใต้
และเดือนมกราคม 2568 รวมมูลค่าการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนอื่นๆ อะไหล่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 68,069.18 ล้านบาท ลดลงจากปี 2567 20.63%
ข้อมูล ณ วันที่ 31 มกราคม 2568 มียานยนต์ไฟฟ้าประเภท BEV จดทะเบียนสะสม 242,076 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคมปีที่แล้ว 63.85% และ มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 14,711 คัน ลดลงจากเดือนมกราคมปีที่แล้ว 7.73 %
ณัฐวุฒิ รับทราบข้อกล่าวหาป.ป.ช. ยันสู้ไม่มีหงอ ชี้แก้กม.ไม่ควรผิดจริยธรรม ย้ำ ไม่กระทบศึกซักฟอก
https://www.matichon.co.th/politics/news_5063963
ณัฐวุฒิ รับทราบข้อกล่าวหา ป.ป.ช. คนที่ 2 ปมแก้ ม.112 ขัดจริยธรรม มั่นใจ ต่อสู้ได้ไม่มี “หงอ” ยัน ไม่กระทบทำหน้าที่ สส. เตรียมศึกซักฟอก
เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ นายณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เดินทางมายังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อรับฟังข้อกล่าวหาฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง คดีอดีต 44 ส.ส.พรรคก้าวไกล ร่วมลงชื่อเสนอญัตติแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งถือเป็น ส.ส.คนที่ 2 ที่เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาต่อจากนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน โดยใช้เวลาให้ปากคำกับกรรมการ ป.ป.ช.เกือบ 2 ชั่วโมง
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า การกระทำทั้งหมดของ 43 คน นับว่าเป็นเอกสิทธิ์ของ ส.ส. และเป็นการทำหน้าที่ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในการเข้าชื่อแก้ไขกฎหมาย ซึ่งเราเห็นว่า อาจจะกระทบต่อสิทธิ และเสรีภาพของประชาชน และการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวยังคงรักษาเรื่องของสถาบันอย่างเหนียวแน่น ซึ่งวันนี้ตนถือเป็นคนที่ 2 ที่เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งไม่ทราบว่า จะมีเพื่อน ส.ส.คนใด จะเดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาอีกเมื่อไหร่ หรือจะเป็นการรับทราบข้อกล่าวหาผ่านทางเอกสาร
ทั้งนี้ สำหรับข้อกล่าวหาของตน มีความเกี่ยวเนื่องกับการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา ที่เกี่ยวข้องกับเสรีภาพ และความผิดเกี่ยวกับการหมิ่นประมาท ที่ถูกระบุอยู่ในข้อกล่าวหาเป็นหลัก และอีกส่วนหนึ่งที่มีการเพิ่มเติมที่อาจจะแตกต่างจากผู้อื่น เนื่องจาก ป.ป.ช.กล่าวหาว่า ตนเคยมีการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า เห็นด้วยกับการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา โดยเฉพาะในมาตรา 112 ซึ่งตนต้องดูในรายละเอียดว่าการให้สัมภาษณ์ของตนเองดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และมีพยานหลักฐานใดที่ ป.ป.ช.ใช้ในการกล่าวอ้าง เพื่อมาแจ้งข้อกล่าวหากับตน
อย่างไรก็ตาม ตนไม่สามารถบอกว่าเบาใจ แต่ขอยืนยันอย่างหนักแน่น และส่งสารไปยังประชาชนว่า การแก้ไขกฎหมายไม่ควรจะเป็นความผิดจริยธรรมร้ายแรง ซึ่งข้อหา และบทลงโทษของการผิดจริยธรรมร้ายแรง ถึงแม้ว่า ท้ายที่สุดไม่รู้ว่า ป.ป.ช.จะชี้มูลและส่งไปยังศาลที่เกี่ยวข้องหรือไม่ แต่หากมีกระบวนการแบบนี้จะนำไปสู่การตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต ซึ่งเปรียบเสมือนการประหารชีวิตทางการเมือง และวันนี้ตนได้มีการบันทึกถ้อยคำ และได้ยืนยันกับ ป.ป.ช.ว่า ตนเองจะขอคัดถ่ายเอกสารทุกอย่าง พร้อมกับยอมรับว่า วันนี้ยังไม่รู้ว่าใครคือบุคคลที่มากล่าวหาตนเอง รวมถึงมีพยานกี่คน มีการให้การว่าอย่างไรบ้าง และข้อเท็จจริง หรือพยานหลักฐานใดที่ ป.ป.ช.ใช้ในการวินิจฉัยว่า การกระทำของพวกตน เข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดจริยธรรมร้ายแรง ซึ่งตนได้ยื่นเรื่องไว้แล้ว
นอกจากนี้ ในการคุ้มครองพยานก็ต่อเมื่อมีความเสี่ยง ที่พยานอาจจะถูกพวกตนเข้าไปข่มขู่คุกคาม แต่ประชาชนทราบดีว่า คงไม่มีการกระทำเช่นนั้น และสิ่งนั้นเกิดขึ้นแล้วจากการให้ข้อมูลของพยาน ดังนั้นควรเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของผู้ถูกกล่าวหา ที่จะรับรู้ว่า ผู้กล่าวหาคือใคร และกล่าวหาด้วยอะไร มีพยานหลักฐานอะไรบ้าง มีข้อมูลวีดีทัศน์ การบันทึกเทป คลิปเสียง หรือคลิปวิดีโอต่างๆ และเอกสารใดๆ ซึ่งตนเองได้ยื่นขอไปแล้ว โดยคาดว่า อีกประมาณ 2-3 วัน ให้ ป.ป.ช.พิจารณาว่า จะให้สิ่งที่ร้องขอไปหรือไม่ และในระเบียบของ ป.ป.ช.มีการระบุว่า การให้พยานหลักฐานต่างๆ ต้องไม่กระทบต่อรูปคดี และเป็นการคุ้มครองข้อมูลสิทธิบุคคล แต่ตนมองว่า เมื่อถึงขนาดนี้ด้วยข้อกล่าวหาที่ร้ายแรง และอาจนำไปสู่การตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต พวกตนก็มีสิทธิที่จะต่อสู้คดีอย่างเต็มที่
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า มีความประสงค์ที่จะเดินทางมาให้การด้วยถ้อยคำกับ ป.ป.ช.อีกครั้ง และให้ข้อมูลทางเอกสาร รวมถึงการอ้างพยานบุคคล เข้ามาประกอบการไต่สวน ซึ่งหวังว่า ป.ป.ช.จะให้ความเป็นธรรมเต็มรูปแบบ และหวังว่าพวกตนเองจะได้รับความเป็นธรรมตามที่ควรจะเป็นในข้อหาที่มีความร้ายแรง และยืนยันอีกว่า การเดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาในวันนี้ จะไม่กระทบต่อการทำหน้าที่ของ ส.ส.พรรคประชาชน ซึ่งจะมีการสรุปข้อมูลญัตติในการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล และจะมีการยื่นเรื่องอย่างแน่นอน เพราะถือเป็นภารกิจ ที่เราต้องทำ เช่นเดียวกับภารกิจอื่นที่ต้องทำในสภา ซึ่งอยากให้ประชาชนมั่นใจว่า การต่อสู้ของพวกเราจะไม่มี “หงอ” และจะใช้สิทธิทุกประการ เพื่อให้สิ่งเหล่านี้หายไปจากการดำเนินการ และตนเชื่อว่า ป.ป.ช. ก็ไม่ได้มองเรื่องนี้เป็นการเมือง ที่จะมาทำร้ายพวกตน ดังนั้นจึงต้องเปิดโอกาสพวกเราให้ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ เพื่อเดินหน้าตามระบอบประชาธิปไตย และเรื่องเหล่านี้ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเดินหน้าตามระบอบประชาธิปไตยอย่างใด
สำหรับการทยอยเดินเข้ามารับทราบข้อกล่าวหาทีละคน แต่ไม่ได้มาเป็นกลุ่มนั้น เรื่องนี้ทั้ง 43 คนไม่ได้คุยกันทั้งหมด แต่ยอมรับว่า มีการพูดคุยเป็นการทั่วไป และมีการปรึกษาหารือกันบ้าง เพื่อตรวจสอบว่า ได้รับเอกสารจาก ป.ป.ช.หรือไม่ ซึ่งระเบียบ ป.ป.ช.การส่งหมายเรียก ต้องคำนึงถึงระยะทางใกล้ไกล แต่ปรากฏว่า คนอยู่บ้านไกลกลับได้ไหมหรือเรียกก่อน แต่คนที่มีพื้นที่อยู่กรุงเทพมหานครบางคนยังไม่ได้หมาย ดังนั้นตนเองไม่สามารถตอบแทนเพื่อนสมาชิกได้ว่า คนต่อไปที่จะเดินทางมารับทราบข้อกล่าวหานั้นเป็นใคร แต่เรามีทีมกฎหมาย และที่ปรึกษากฎหมาย ทั้งของส่วนรวม และส่วนตัวของแต่ละบุคคล
นายณัฐวุฒิกล่าวทิ้งท้ายว่า กรณีข้อเท็จจริงหลังจากที่นายวิโรจน์ ได้อธิบายต่อสื่อมวลชน รวมถึงสิ่งที่ตัวเองทราบ ปรากฏว่า ข้อเท็จจริงไม่ได้เหมือนกันทุกคน แต่ข้อเท็จจริงหลักคือ เกี่ยวข้องกับประมวลกฎหมายอาญา แต่มีรายละเอียดที่แตกต่างกัน แต่ตนเองเชื่อมั่นว่า ทุกคนพร้อมเดินหน้า เข้าสู่กระบวนการของ ป.ป.ช. และเชื่อมั่นว่า ทุกคนไม่ได้มีเจตนา การเป็นผู้กระทำความผิดจริยธรรมร้ายแรง พร้อมย้ำว่า ให้ดูคนหน้าตาแบบนี้ และการกระทำแบบนี้ ที่ทำงานในสภา คงไม่มีใครที่จะถูกตัดสินให้ผิดจริยธรรมร้ายแรง
ไทยสร้างไทย จี้รัฐคุมเข้ม Airbnb ชี้กระทบความปลอดภัย-เศรษฐกิจท้องถิ่น
https://www.dailynews.co.th/news/4430593/
ไทยสร้างไทย จี้รัฐคุมเข้ม Airbnb ชี้กระทบความปลอดภัย-เศรษฐกิจท้องถิ่น เสนอ 5 มาตรการแก้ปัญหาปล่อยเช่าคอนโดมิเนียมผิดกฎหมาย
เมื่อวันที่ 24 ก.พ. เบสท์ วงศ์ไพโรจน์กุล รองโฆษกพรรคไทยสร้างไทย กล่าวถึงการปล่อยเช่าคอนโดมิเนียมรายวันผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Airbnb กำลังสร้างปัญหาด้านความปลอดภัยและกระทบต่อทรัพยากรส่วนกลางของผู้อยู่อาศัยในหลายพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญของประเทศไทย โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ พัทยา ภูเก็ต และเชียงใหม่ ซึ่งปัญหาดังกล่าวยังคงเกิดขึ้นแม้จะมีกฎหมายหลายฉบับที่ควบคุมเรื่องนี้
โดยเห็นว่าการปล่อยเช่าคอนโดมิเนียมผ่าน Airbnb ส่งผลให้ทุนต่างชาติสามารถซื้อคอนโดมิเนียมและดำเนินธุรกิจเช่าโดยใช้แรงงานต่างด้าว ซึ่งส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นและความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัยอย่างมาก “เราพบว่ามีการใช้ทรัพยากรส่วนกลางของคอนโดมิเนียมมากเกินไป ทำให้ลูกบ้านต้องรับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน การบังคับใช้กฎหมายยังไม่เข้มงวด ทำให้ปัญหายังคงลุกลาม” เบสท์กล่าว
แม้ว่าการปล่อยเช่าระยะสั้นจะขัดต่อกฎหมายหลายฉบับ เช่น พ.ร.บ.โรงแรม (พ.ศ. 2547) ที่กำหนดให้ต้องมีใบอนุญาต และ พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร (พ.ศ. 2522) ที่จำกัดการใช้คอนโดมิเนียมเพื่อการปล่อยเช่ารายวัน แต่ปัจจุบันยังคงมีผู้ฝ่าฝืนจำนวนมาก เนื่องจากการบังคับใช้กฎหมายไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ นอกจากนี้ พ.ร.บ.คนเข้าเมือง (พ.ศ. 2522) กำหนดให้เจ้าของที่พักต้องแจ้งข้อมูลผู้เข้าพักชาวต่างชาติภายใน 24 ชั่วโมง และ พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน (พ.ศ. 2475) กำหนดให้เจ้าของที่พักต้องเสียภาษี แต่ในทางปฏิบัติกลับพบว่ามีเจ้าของคอนโดมิเนียมหลายรายเลี่ยงภาษี
เบสท์ วงศ์ไพโรจน์กุล เรียกร้องให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีที่มีหน้าที่กำกับหน่วยงานต่างๆ เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ดำเนินมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหานี้ โดยเสนอแนวทางดังต่อไปนี้