อยากให้คุณลองจินตนาการตาม..
เป็นเวลาดึกสงัดในคืนหนึ่งในปลายเดือนกุมภาพันธ์ อากาศหนาวเย็นจนรู้สึกเสียวสันหลัง ลมกระโชกผ่านหน้าต่างทำให้เกิดเสียงหวีดหวิว บ้านของคุณตั้งอยู่ในละแวกที่เงียบสงบ ไม่มีใครออกมาเดินบนถนนในเวลานี้
ทันใดนั้น…
ก็อก ก็อก ก็อก..
เสียงเคาะประตูดังขึ้นกลางดึก คุณหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลา 23:54 น. เหลือเวลาอีกไม่กี่นาทีก็จะข้ามวันใหม่เดือนใหม่แล้ว หัวใจเต้นแรงเพราะปกติแล้วจะไม่มีใครมาเยือนคุณในเวลานี้
คุณลังเล.. แต่ในที่สุดก็ค่อยๆ เดินไปที่ประตู เมื่อมองผ่านช่องตาแมว สิ่งที่คุณเห็นทำให้คุณรู้สึกแปลกๆ
เด็กสองคนยืนอยู่หน้าประตู พวกเขาสวมเสื้อฮู้ดเก่าๆ สีซีด ผิวซีดเซียวเหมือนคนที่ป่วยหนัก แต่ที่น่าขนลุกที่สุดคือ.. พวกเขาไม่เงยหน้าขึ้นมาเลย
"ช่วยหน่อยได้ไหมคะ/ครับ โทรศัพท์ของเราพัง เราต้องการโทรหาพ่อแม่"
เสียงของพวกเขาเย็นชา และไม่มีอารมณ์ใดๆ คุณรู้สึกเสียวสันหลัง แต่ด้วยความเป็นห่วงเด็ก คุณจึงเปิดประตูแง้มออกเล็กน้อย
เมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้นมา..
ตาของพวกเขาเป็นสีดำสนิท!
ไม่มีตาขาว ไม่มีม่านตา.. เพียงความว่างเปล่าสีดำ
ความหวาดกลัววิ่งพล่านไปทั่วร่าง คุณรีบปิดประตูเสียงดัง และรีบล็อกกลอน ในขณะที่เสียงเคาะยังคงดังไม่หยุด
คุณหลับตาแน่นและสวดภาวนา..
และเมื่อคุณเปิดตาอีกครั้ง เสียงเงียบลง คุณค่อยๆ แง้มม่านหน้าต่างออกไปดู..
เด็กทั้งสอง หายไปแล้ว
...
นี่เป็นเรื่องราวของ Black Eyed Children (BECs) หรือ "เด็กตาดำ" ถูกพูดถึงครั้งแรกโดย Brian Bethel นักข่าวจากรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา
ในปีคริสต์ศักราช 1996 Brian เล่าว่าเขากำลังนั่งอยู่ในรถของตัวเองที่ลานจอดรถหน้าโรงภาพยนตร์ใน Abilene, Texas เวลาประมาณ 21:30 น. ขณะที่เขากำลังเขียนเช็คเงินเพื่อชำระค่าอินเทอร์เน็ต ทันใดนั้น เด็กชายสองคนอายุประมาณ 10-14 ปี เดินเข้ามาเคาะกระจก
.
พวกเขาบอกว่าต้องการให้ Brian พาไปส่งที่บ้าน เพราะพวกเขาลืมเงินค่าตั๋วหนังไว้ที่บ้าน
Brian รู้สึกกลัวโดยไม่มีเหตุผล และสังเกตว่าเด็กเหล่านี้แต่งตัวแปลกๆ คล้ายกับยุคเก่าๆ เมื่อเขามองลึกเข้าไปในดวงตาของพวกเขา ตาของพวกเขาทั้งคู่เป็นสีดำสนิท
ความกลัวแล่นพล่านไปทั่วร่างกาย Brian รีบสตาร์ตรถและเหยียบคันเร่งเต็มที่ ขณะที่เขาขับออกไปอย่างรวดเร็ว เขาเหลือบมองกระจกหลัง
เด็กทั้งสองนั้นได้หายไปแล้ว
แม้ว่าเรื่องของ Brian Bethel จะเป็นเรื่องแรกที่ได้รับการบันทึก แต่หลังจากนั้นไม่นาน ผู้คนจากทั่วโลกก็เริ่มรายงานว่าพวกเขาเคยเจอ Black Eyed Children ในลักษณะเดียวกัน
...
หนึ่งในเหตุการณ์นั้น เกิดขึ้นที่ประเทศอังกฤษ ในปีคริสต์ศักราช 2014 ในเดือนกันยายน มีข่าวรายงานว่า มีครอบครัวหนึ่งพบเด็กตาดำมาปรากฏตัวหน้าบ้านของพวกเขาในเวลาตีสอง หญิงสาววัยรุ่นที่อยู่ในบ้านอ้างว่าเธอได้ยินเสียงเคาะประตู และเมื่อเปิดออกก็เห็นเด็กหญิงอายุประมาณ 12 ปี ยืนอยู่หน้าประตู
.
เด็กหญิงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า
"ช่วยให้ฉันเข้าบ้านหน่อย ฉันต้องการความช่วยเหลือ…"
แต่เมื่อเจ้าของบ้านเห็นดวงตาของเด็กคนนี้เป็นสีดำสนิท เธอกรีดร้องและปิดประตูทันที
รุ่งเช้า เธอลองเปิดกล้องวงจรปิดดู แต่ที่น่าขนลุกคือ ไม่มีภาพของเด็กคนนั้นอยู่ในกล้อง
...
อีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดที่รัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา ในปีคริสต์ศักราช 2016 มีรายงานว่า มีหญิงชราคนหนึ่ง เธออนุญาตให้ "เด็กตาดำ" สองคนเข้ามาในบ้าน เพราะพวกเขาอ้างว่าต้องการใช้โทรศัพท์
เธอเล่าว่า เมื่อเด็กสองคนเข้ามาในบ้าน สามีของเธอที่นั่งอยู่บนโซฟาก็รู้สึกมึนหัวอย่างกะทันหัน และสัตว์เลี้ยงของเธอ เริ่มคำรามอย่างดุร้าย
จากนั้นเด็กชายคนหนึ่งเงยหน้ามองเธอ ดวงตาสีดำของเขาจ้องลึกเข้ามาในจิตใจของเธอ ก่อนที่เขาจะพูดว่า
"ตอนนี้พ่อแม่ของเราอยู่ที่นี่แล้ว"
เธอรีบหันไปมองนอกหน้าต่าง และเห็น ชายสองคนที่สวมชุดดำยืนอยู่ใต้เสาไฟถนน เมื่อเธอหันกลับมา เด็กสองคนเดินออกไป และเมื่อถึงหน้าประตู พวกเขาหายตัวไปในเงามืด
หลังจากวันนั้น สุขภาพของเธอและสามีก็ค่อยๆ แย่ลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
...
เรื่องนี้นั้นมีทฤษฎีเกี่ยวกับอยู่หลากหลาย บ้างก็ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตจากมิติอื่น ที่เชื่อว่าเด็กตาดำอาจพยายามเข้ามาในโลกของเราจากอีกมิติ
บางคนเชื่อว่าเป็นมนุษย์ทดลองของรัฐบาลที่หลบหนีออกมา และยังมีอีกความเชื่อที่ว่าเป็น "ปีศาจแฝงร่างมา" และเด็กเหล่านี้ต้องได้รับการอนุญาตจากมนุษย์ให้เข้ามาในบ้านก่อนถึงจะแสดงตัวจริง
แต่นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่านี่เป็นเพียงเรื่องแต่งที่ถูกเผยแพร่ไปทั่วอินเทอร์เน็ตเท่านั้น
อย่างไรก็ดี ถ้าเป็นคนได้ยินเสียงกดกริ้งหน้าบ้าน หรือเสียงเคาะประตูคอนโด ในช่วงเวลาที่เงียบสงัด และเมื่อคุณเปิดประตูออกไป พบเด็กที่มีดวงตาสีดำสนิท..
ก็อก ก็อก ก็อก
...
.
มาต่อกันที่เรื่องราวในวันนอนในที่สาธารณะ ซึ่งตรงกับวันที่ 28 กุมภาพันธ์ของทุกปี National Public Sleeping Day
.
แม้ว่าจะไม่มีใครอ้างว่าเป็นผู้ก่อตั้งวันนี้ แต่ผู้คนส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกาเข้าใจถึงวันนี้อาจเพราะมีเพื่อนร่วมชาติจำนวนมากนอนหลับในที่สาธารณะ ซึ่ง 1 ใน 3 ของชาวอเมริกันนอนหลับน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อคืน จึงอาจพบเห็นคนงีบหลับในที่สาธารณะกันอยู่บ่อยครั้ง
ถ้าพูดถึงการนอนกลางวัน มีแนวคิดหนึ่งที่เรียกว่า "Siesta" ซึ่งมีรากฐานมาจากวัฒนธรรมโรมันโบราณ คำนี้มาจากภาษาละตินจากคำว่า "sexta hora" (เซ็กตา โฮรา) ซึ่งหมายถึง "ชั่วโมงที่หก" นับจากการตื่นนอนในตอนเช้า ในช่วงเวลานี้ ชาวโรมันมักหยุดพักผ่อนและงีบหลับสั้นๆ เพื่อฟื้นฟูพลังงาน
วัฒนธรรมการงีบหลับนี้ได้รับการสืบทอด และปรับปรุงในสเปน โดยเฉพาะในภูมิภาคตอนใต้ที่มีอากาศร้อน การงีบหลับในช่วงบ่ายกลายเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการพักผ่อน และหลีกเลี่ยงความร้อนของวัน ปัจจุบัน "Siesta" ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมสเปน แม้ว่าระยะเวลาอาจสั้นลงเหลือเพียง 15-20 นาที เพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตที่เร่งรีบในปัจจุบัน
จริงๆ แล้วการงีบหลับในที่สาธารณะก็เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าวางแผนว่าจะงีบหลับแบบนี้ อย่างน้อยก็เตรียมของกินเบาๆ ไว้ให้พร้อม อย่างเช่น
...
1. ชาคาโมมายล์
ชานี้มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในยุโรปตะวันตก และสายพันธุ์ดั้งเดิมน่าจะเป็นโรมันคาโมไมล์ ซึ่งดอกคาโมมายล์นี้ถูกใช้เป็นสมุนไพรมานานนับพันปี ตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณ
ชานี้ยังเป็นที่รู้จักมานานหลายศตวรรษในด้านคุณสมบัติที่ช่วยบรรเทาอาการนอนไม่หลับและคลายความเครียด
2. โยเกิร์ต
โยเกิร์ตเป็นผลิตภัณฑ์นมหมักที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 4,000 ปี มีต้นกำเนิดในภูมิภาคตะวันออกกลางและเอเชียกลาง ชาวตุรกีโบราณเป็นกลุ่มแรกที่ค้นพบวิธีการหมักนมให้กลายเป็นโยเกิร์ตโดยบังเอิญ เมื่อเก็บนมไว้ในถุงที่ทำจากกระเพาะสัตว์ ซึ่งมีแบคทีเรียที่ช่วยในการหมัก
3. แซนด์วิช
เป็นอาหารที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน แม้ว่าการวางเนื้อและส่วนผสมอื่นๆ ระหว่างขนมปังจะมีมานานแล้ว แต่ชื่อ "แซนด์วิช" มาจาก จอห์น มอนตากู เอิร์ลที่ 4 แห่งแซนด์วิช (John Montagu, 4th Earl of Sandwich)
ในศตวรรษที่ 18 เขามักจะสั่งให้คนรับใช้เตรียมเนื้อวางระหว่างขนมปัง เพื่อที่เขาจะได้กินอาหารโดยไม่ต้องหยุดเล่นไพ่ วิธีการกินนี้ได้รับความนิยมและถูกเรียกว่า "แซนด์วิช" ตามชื่อตำแหน่งของเขา
.
1. Shawarma (ชวาอาร์) - LEBANON
ทำจากเนื้อแกะ ไก่งวง ไก่ เนื้อวัว หรือเนื้อผสม เป็นอาหารตะวันออกกลางที่อร่อยเลิศซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากยุคจักรวรรดิออตโตมัน ส่วนชื่อของมันมาจากการออกเสียงภาษาอาหรับของคำว่า çevirme ในภาษาตุรกี (แปลว่า หมุน) และหมายถึงไม้เสียบที่หมุนเพื่อใช้ย่างเนื้อ
.
2. Jibarito - PUERTO RICO
แซนด์วิชเปอร์โตริโกที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวซึ่งทำจากกล้วยบดทอดแทนขนมปัง ใส่มายองเนสกระเทียม เนื้อ ผักกาดหอม มะเขือเทศ และชีส ต้นกำเนิดนั้นยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่ทฤษฎีที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดระบุว่าแซนด์วิชนี้ถูกคิดค้นโดย Coquí Feliciano และ Jorge Muñoz ที่ร้านอาหาร Plátano Loco ใน Aguada เปอร์โตริโก
.
3. Tortas (ทอร์ตาส) - PUEBLA DE ZARAGOZA, Mexico
แซนด์วิชแบบดั้งเดิมของเม็กซิกัน ประกอบด้วยขนมปังสองประเภท โบลิโยสแบบดั้งเดิมที่ได้รับอิทธิพลจากฝรั่งเศส และเทเลราสทรงกลมที่คล้ายกัน ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เม็กซิกันแท้ๆ จากรัฐ Puebla ขนมปังม้วนจะถูกหั่นเป็นชิ้นตามแนวนอน ทาเนย และยัดไส้ด้วยส่วนผสมเม็กซิกันยอดนิยม เช่น ถั่ว อะโวคาโด แฮม เคโซ ฮาลาปิโน และอาหารเม็กซิกันทั่วไปอีกมากมาย เช่น เนื้อวัวหรือไก่ทอด เนื้อวัวสับ หมูย่าง และแม้แต่ทามาเลส
.
4. Lobster Roll - MAINE, United States of America
เป็นแซนวิชพิเศษของรัฐเมน ประกอบด้วยเนื้อล็อบสเตอร์ ราดด้วยเนยละลายแล้วใส่ในขนมปังฮอทดอกยาวๆ ใส่ผักกาดหอม น้ำมะนาว เกลือ พริกไทยดำ พร้อมเครื่องเคียงเฟรนช์ฟรายส์
.
ว่าแต่..พอได้จังหวะ ได้ที่พิง ได้อากาศเย็นเคลิ้มๆ แล้วจะงีบหลับทุกที ใครเป็นกันบ้างครับผม
ปล. มีเสียง "แปลกๆ ในคลิป Youtube แทรกมาด้วยยยย..
.
ขอขอบคุณข้อมูล
: wikidates
: wikipedia
: britannica
: wiseapetea
: bcdairy
: doinghistoryinpublic
: mythology
: tasteatlas
.
LookAt - ปฏิทินแห่งเรื่องราว
วันหลับในที่สาธารณะ – 28 ก.พ. "แต่บางสิ่งอาจกำลังเฝ้าดูคุณอยู่.." "เด็กตาดำ" แขกยามวิกาลที่คุณไม่ควรเปิดประตูให้!
: เพื่อนๆ รับฟังแบบแอบระทึกๆ ได้ที่ Youtube: @lookatevent หรือตามลิงค์นี้ได้ครับผม
: https://youtu.be/yWSnNXby-e0
...
เป็นเวลาดึกสงัดในคืนหนึ่งในปลายเดือนกุมภาพันธ์ อากาศหนาวเย็นจนรู้สึกเสียวสันหลัง ลมกระโชกผ่านหน้าต่างทำให้เกิดเสียงหวีดหวิว บ้านของคุณตั้งอยู่ในละแวกที่เงียบสงบ ไม่มีใครออกมาเดินบนถนนในเวลานี้
ทันใดนั้น…
ก็อก ก็อก ก็อก..
เสียงเคาะประตูดังขึ้นกลางดึก คุณหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลา 23:54 น. เหลือเวลาอีกไม่กี่นาทีก็จะข้ามวันใหม่เดือนใหม่แล้ว หัวใจเต้นแรงเพราะปกติแล้วจะไม่มีใครมาเยือนคุณในเวลานี้
คุณลังเล.. แต่ในที่สุดก็ค่อยๆ เดินไปที่ประตู เมื่อมองผ่านช่องตาแมว สิ่งที่คุณเห็นทำให้คุณรู้สึกแปลกๆ
เด็กสองคนยืนอยู่หน้าประตู พวกเขาสวมเสื้อฮู้ดเก่าๆ สีซีด ผิวซีดเซียวเหมือนคนที่ป่วยหนัก แต่ที่น่าขนลุกที่สุดคือ.. พวกเขาไม่เงยหน้าขึ้นมาเลย
"ช่วยหน่อยได้ไหมคะ/ครับ โทรศัพท์ของเราพัง เราต้องการโทรหาพ่อแม่"
เสียงของพวกเขาเย็นชา และไม่มีอารมณ์ใดๆ คุณรู้สึกเสียวสันหลัง แต่ด้วยความเป็นห่วงเด็ก คุณจึงเปิดประตูแง้มออกเล็กน้อย
เมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้นมา..
ตาของพวกเขาเป็นสีดำสนิท!
ไม่มีตาขาว ไม่มีม่านตา.. เพียงความว่างเปล่าสีดำ
ความหวาดกลัววิ่งพล่านไปทั่วร่าง คุณรีบปิดประตูเสียงดัง และรีบล็อกกลอน ในขณะที่เสียงเคาะยังคงดังไม่หยุด
คุณหลับตาแน่นและสวดภาวนา..
และเมื่อคุณเปิดตาอีกครั้ง เสียงเงียบลง คุณค่อยๆ แง้มม่านหน้าต่างออกไปดู..
เด็กทั้งสอง หายไปแล้ว
...
ในปีคริสต์ศักราช 1996 Brian เล่าว่าเขากำลังนั่งอยู่ในรถของตัวเองที่ลานจอดรถหน้าโรงภาพยนตร์ใน Abilene, Texas เวลาประมาณ 21:30 น. ขณะที่เขากำลังเขียนเช็คเงินเพื่อชำระค่าอินเทอร์เน็ต ทันใดนั้น เด็กชายสองคนอายุประมาณ 10-14 ปี เดินเข้ามาเคาะกระจก
Brian รู้สึกกลัวโดยไม่มีเหตุผล และสังเกตว่าเด็กเหล่านี้แต่งตัวแปลกๆ คล้ายกับยุคเก่าๆ เมื่อเขามองลึกเข้าไปในดวงตาของพวกเขา ตาของพวกเขาทั้งคู่เป็นสีดำสนิท
ความกลัวแล่นพล่านไปทั่วร่างกาย Brian รีบสตาร์ตรถและเหยียบคันเร่งเต็มที่ ขณะที่เขาขับออกไปอย่างรวดเร็ว เขาเหลือบมองกระจกหลัง
เด็กทั้งสองนั้นได้หายไปแล้ว
แม้ว่าเรื่องของ Brian Bethel จะเป็นเรื่องแรกที่ได้รับการบันทึก แต่หลังจากนั้นไม่นาน ผู้คนจากทั่วโลกก็เริ่มรายงานว่าพวกเขาเคยเจอ Black Eyed Children ในลักษณะเดียวกัน
"ช่วยให้ฉันเข้าบ้านหน่อย ฉันต้องการความช่วยเหลือ…"
แต่เมื่อเจ้าของบ้านเห็นดวงตาของเด็กคนนี้เป็นสีดำสนิท เธอกรีดร้องและปิดประตูทันที
รุ่งเช้า เธอลองเปิดกล้องวงจรปิดดู แต่ที่น่าขนลุกคือ ไม่มีภาพของเด็กคนนั้นอยู่ในกล้อง
...
อีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดที่รัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา ในปีคริสต์ศักราช 2016 มีรายงานว่า มีหญิงชราคนหนึ่ง เธออนุญาตให้ "เด็กตาดำ" สองคนเข้ามาในบ้าน เพราะพวกเขาอ้างว่าต้องการใช้โทรศัพท์
จากนั้นเด็กชายคนหนึ่งเงยหน้ามองเธอ ดวงตาสีดำของเขาจ้องลึกเข้ามาในจิตใจของเธอ ก่อนที่เขาจะพูดว่า
"ตอนนี้พ่อแม่ของเราอยู่ที่นี่แล้ว"
เธอรีบหันไปมองนอกหน้าต่าง และเห็น ชายสองคนที่สวมชุดดำยืนอยู่ใต้เสาไฟถนน เมื่อเธอหันกลับมา เด็กสองคนเดินออกไป และเมื่อถึงหน้าประตู พวกเขาหายตัวไปในเงามืด
หลังจากวันนั้น สุขภาพของเธอและสามีก็ค่อยๆ แย่ลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
...
เรื่องนี้นั้นมีทฤษฎีเกี่ยวกับอยู่หลากหลาย บ้างก็ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตจากมิติอื่น ที่เชื่อว่าเด็กตาดำอาจพยายามเข้ามาในโลกของเราจากอีกมิติ
บางคนเชื่อว่าเป็นมนุษย์ทดลองของรัฐบาลที่หลบหนีออกมา และยังมีอีกความเชื่อที่ว่าเป็น "ปีศาจแฝงร่างมา" และเด็กเหล่านี้ต้องได้รับการอนุญาตจากมนุษย์ให้เข้ามาในบ้านก่อนถึงจะแสดงตัวจริง
แต่นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่านี่เป็นเพียงเรื่องแต่งที่ถูกเผยแพร่ไปทั่วอินเทอร์เน็ตเท่านั้น
อย่างไรก็ดี ถ้าเป็นคนได้ยินเสียงกดกริ้งหน้าบ้าน หรือเสียงเคาะประตูคอนโด ในช่วงเวลาที่เงียบสงัด และเมื่อคุณเปิดประตูออกไป พบเด็กที่มีดวงตาสีดำสนิท..
ก็อก ก็อก ก็อก
...
.
มาต่อกันที่เรื่องราวในวันนอนในที่สาธารณะ ซึ่งตรงกับวันที่ 28 กุมภาพันธ์ของทุกปี National Public Sleeping Day
แม้ว่าจะไม่มีใครอ้างว่าเป็นผู้ก่อตั้งวันนี้ แต่ผู้คนส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกาเข้าใจถึงวันนี้อาจเพราะมีเพื่อนร่วมชาติจำนวนมากนอนหลับในที่สาธารณะ ซึ่ง 1 ใน 3 ของชาวอเมริกันนอนหลับน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อคืน จึงอาจพบเห็นคนงีบหลับในที่สาธารณะกันอยู่บ่อยครั้ง
ถ้าพูดถึงการนอนกลางวัน มีแนวคิดหนึ่งที่เรียกว่า "Siesta" ซึ่งมีรากฐานมาจากวัฒนธรรมโรมันโบราณ คำนี้มาจากภาษาละตินจากคำว่า "sexta hora" (เซ็กตา โฮรา) ซึ่งหมายถึง "ชั่วโมงที่หก" นับจากการตื่นนอนในตอนเช้า ในช่วงเวลานี้ ชาวโรมันมักหยุดพักผ่อนและงีบหลับสั้นๆ เพื่อฟื้นฟูพลังงาน
วัฒนธรรมการงีบหลับนี้ได้รับการสืบทอด และปรับปรุงในสเปน โดยเฉพาะในภูมิภาคตอนใต้ที่มีอากาศร้อน การงีบหลับในช่วงบ่ายกลายเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการพักผ่อน และหลีกเลี่ยงความร้อนของวัน ปัจจุบัน "Siesta" ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมสเปน แม้ว่าระยะเวลาอาจสั้นลงเหลือเพียง 15-20 นาที เพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตที่เร่งรีบในปัจจุบัน
จริงๆ แล้วการงีบหลับในที่สาธารณะก็เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าวางแผนว่าจะงีบหลับแบบนี้ อย่างน้อยก็เตรียมของกินเบาๆ ไว้ให้พร้อม อย่างเช่น
...
1. ชาคาโมมายล์
ชานี้มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในยุโรปตะวันตก และสายพันธุ์ดั้งเดิมน่าจะเป็นโรมันคาโมไมล์ ซึ่งดอกคาโมมายล์นี้ถูกใช้เป็นสมุนไพรมานานนับพันปี ตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณ
ชานี้ยังเป็นที่รู้จักมานานหลายศตวรรษในด้านคุณสมบัติที่ช่วยบรรเทาอาการนอนไม่หลับและคลายความเครียด
2. โยเกิร์ต
โยเกิร์ตเป็นผลิตภัณฑ์นมหมักที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 4,000 ปี มีต้นกำเนิดในภูมิภาคตะวันออกกลางและเอเชียกลาง ชาวตุรกีโบราณเป็นกลุ่มแรกที่ค้นพบวิธีการหมักนมให้กลายเป็นโยเกิร์ตโดยบังเอิญ เมื่อเก็บนมไว้ในถุงที่ทำจากกระเพาะสัตว์ ซึ่งมีแบคทีเรียที่ช่วยในการหมัก
3. แซนด์วิช
เป็นอาหารที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน แม้ว่าการวางเนื้อและส่วนผสมอื่นๆ ระหว่างขนมปังจะมีมานานแล้ว แต่ชื่อ "แซนด์วิช" มาจาก จอห์น มอนตากู เอิร์ลที่ 4 แห่งแซนด์วิช (John Montagu, 4th Earl of Sandwich)
ในศตวรรษที่ 18 เขามักจะสั่งให้คนรับใช้เตรียมเนื้อวางระหว่างขนมปัง เพื่อที่เขาจะได้กินอาหารโดยไม่ต้องหยุดเล่นไพ่ วิธีการกินนี้ได้รับความนิยมและถูกเรียกว่า "แซนด์วิช" ตามชื่อตำแหน่งของเขา
.
1. Shawarma (ชวาอาร์) - LEBANON
ทำจากเนื้อแกะ ไก่งวง ไก่ เนื้อวัว หรือเนื้อผสม เป็นอาหารตะวันออกกลางที่อร่อยเลิศซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากยุคจักรวรรดิออตโตมัน ส่วนชื่อของมันมาจากการออกเสียงภาษาอาหรับของคำว่า çevirme ในภาษาตุรกี (แปลว่า หมุน) และหมายถึงไม้เสียบที่หมุนเพื่อใช้ย่างเนื้อ
.
2. Jibarito - PUERTO RICO
แซนด์วิชเปอร์โตริโกที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวซึ่งทำจากกล้วยบดทอดแทนขนมปัง ใส่มายองเนสกระเทียม เนื้อ ผักกาดหอม มะเขือเทศ และชีส ต้นกำเนิดนั้นยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่ทฤษฎีที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดระบุว่าแซนด์วิชนี้ถูกคิดค้นโดย Coquí Feliciano และ Jorge Muñoz ที่ร้านอาหาร Plátano Loco ใน Aguada เปอร์โตริโก
.
3. Tortas (ทอร์ตาส) - PUEBLA DE ZARAGOZA, Mexico
แซนด์วิชแบบดั้งเดิมของเม็กซิกัน ประกอบด้วยขนมปังสองประเภท โบลิโยสแบบดั้งเดิมที่ได้รับอิทธิพลจากฝรั่งเศส และเทเลราสทรงกลมที่คล้ายกัน ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เม็กซิกันแท้ๆ จากรัฐ Puebla ขนมปังม้วนจะถูกหั่นเป็นชิ้นตามแนวนอน ทาเนย และยัดไส้ด้วยส่วนผสมเม็กซิกันยอดนิยม เช่น ถั่ว อะโวคาโด แฮม เคโซ ฮาลาปิโน และอาหารเม็กซิกันทั่วไปอีกมากมาย เช่น เนื้อวัวหรือไก่ทอด เนื้อวัวสับ หมูย่าง และแม้แต่ทามาเลส
.
4. Lobster Roll - MAINE, United States of America
เป็นแซนวิชพิเศษของรัฐเมน ประกอบด้วยเนื้อล็อบสเตอร์ ราดด้วยเนยละลายแล้วใส่ในขนมปังฮอทดอกยาวๆ ใส่ผักกาดหอม น้ำมะนาว เกลือ พริกไทยดำ พร้อมเครื่องเคียงเฟรนช์ฟรายส์
.
ว่าแต่..พอได้จังหวะ ได้ที่พิง ได้อากาศเย็นเคลิ้มๆ แล้วจะงีบหลับทุกที ใครเป็นกันบ้างครับผม
ปล. มีเสียง "แปลกๆ ในคลิป Youtube แทรกมาด้วยยยย..
.
ขอขอบคุณข้อมูล
: wikidates
: wikipedia
: britannica
: wiseapetea
: bcdairy
: doinghistoryinpublic
: mythology
: tasteatlas
.
LookAt - ปฏิทินแห่งเรื่องราว