ชีวิตทำงาน ปีที่ 5 ต่อจากกระทู้ที่เคยดัง "ใครเป็นบ้าง เรียนจะจบแล้วชีวิตดูเคว้ง ยังไม่รู้จะไปทางไหน" เมื่อปี 2018

จากกระทู้ที่เคยดังเมื่อหลายปีก่อน "ใครเป็นบ้าง เรียนจะจบแล้วชีวิตดูเคว้ง ยังไม่รู้จะไปทางไหน" ในปี 2018
อัพเดตชีวิตต่อครับ**** อาจจะไม่ได้ละเอียดมาก แค่อยากพิมพ์ให้ตัวเองได้อ่านในอนาคต

หลังจากเรียนจบมาก็ว่างงาน แบบ 1 ปีเต็มๆ ไม่ได้ทำอะไรเลย ใช้ชีวิตกิน เที่ยว ดื่ม ไปเรื่อย ตามประสาคนเคว้งคว้างไม่มีจุดหมาย 
จนช่วงปลายปี 2019 ก็มีโอกาสได้เข้าไปฝึกงานกับบริษัทฯ แห่งหนึ่งเป็นระยะเวลา 3-4 เดือน (ขอฝึกฟรี ได้ค่าอาหารวันละ 100 บาท)
ได้ฝึกทั้งในส่วนของออฟฟิศแผนก Admin , HR , จัดซื้อ และได้ฝึกงานฝ่ายปฏิบัติการของร้านอาหารในเครือของบริษัท ได้เป็นทั้งเสิร์ฟ แคชเชียร์ รวมไปถึงเข้าครัวทำอาหาร
หลังจากฝึกงานจบ บริษัทมีตำแหน่งว่าง 1 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นตำแหน่ง Administrative Assistant คอยดูและใบอณุญาตต่างๆ คอยทำเรื่องต่อก่อนหมดอายุ คอยประสานงานกับร้านอาหารในเครือและสำนักงานใหญ่ เนื่องจากไปฝึกงานมาแทบทุกยูนิต จึงทำให้รู้จักกับพนักงานค่อนข้างเยอะ
เนื่องจากสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ และ Management ร้านอาหารส่วนใหญ่เป็นต่างชาติทั้งหมด จึงต้องเข้าประชุมทุกประชุมเพื่อจด Minutes ให้
งานพ่วงใน JD เนื่องจากจัดซื้อร้านอาหารมีคนเดียว (ไม่นับส่วน Corporate) ทาง HR จึงวาด JD ให้มี scope ในการทำจัดซื้อในส่วนของ non food ทั้งหมด และซัพพอตในส่วนของ food บางรายการ กรณีที่จัดซื้อไม่มาทำงาน
หลังจากบรรจุเป็นหนักงานประจำได้ไม่ถึง 3 เดือน ได้รับเงินเดือนเต็ม 20K (ไม่รวม SVC & ค่าอาหาร) ก็โดนปรับลดลงมา 13% เนื่องจากสถานะการณ์โควิด
ช่วงโควิดทางร้านค่อนข้างวิกฤติ แต่เราไม่เคยเกี่ยงงานเลย ให้ทำอะไรเราทำหมดทุกอย่าง ได้งานใหม่เพิ่มเรื่อยๆ 555555  ดูแล CAPEX & Inventory ของร้าน ติดต่อซัพ ติดต่องานซ่อมบำรุง สากกะเบือยันเรือรบ
เวลาผ่านไปไม่นาน ก็เรียนรู้และเข้าใจระบบของบริษัทหลายๆแผนกและหลายๆโปรแกรม ทั้ง Navision / HRIS / ระบบ request งานในแผนกต่างๆ / ระบบ Legal / POS 
เราต้องเป็นคนติดต่องานราชการหลายๆแผนก ต่อใบอนุญาตต่างๆ / ต่อวีซ่า Work Permit ให้พนักงาน ต่างชาติและต่างด้าว (ไม่เคยใช้ Agency) จัดการเองหมด
และเรามั่นใจเลยว่าแทบจะเป็นตัวกลางที่สำคัญที่คอยเชื่อมสำหรับบริษัทแม่ และร้านอาหารในเครือ รวมถึง outsources และ หน่วยงานราชการหลายๆที่ รวมถึง Supliers หลายๆเจ้า
เงินเดือนเราปรับขึ้นเกือบ 50% ขึ้นหลังจากสถานการณ์โควิดดีขึ้นนิดหน่อย 
หลังจากสถานการณ์ค่อยๆดีขึ้น ทาง Corporate เห็นว่าต้องการ HR ประจำร้าน ที่ดูแลร้านทั้งหมด 4 ร้าน พนักงานประมาณ 100+ คน และเห็นว่าเราทำงานได้ จึงเริ่มสอนงาน HR ให้แบบจริงจังมากขึ้น ทั้งทางฝั่งขา Management และ Learning & Development
รวมทั้งได้มีโอการเข้าร่วมโปรแกรมฝึกอบรมกับ Management หลายๆโปรแกรม ทำให้เห็นความคิด มุมมองของฝ่ายผู้บริหารมากขึ้น 
เวลาผ่านไปมีการปรับเงินเดือนขึ้นมา 15% + ปรับตำแหน่งเป็น HR & Admin โดยรีพอตตรงกับ Corporate HR Manager ที่สำนักงานใหญ่ สุวรรณภูมิ
ซึ่งต้องเข้าไป monthly meeting ทุกเดือน และมี weekly meeting ทุกวีคของร้านอาหาร งานเดิมๆก็ยังต้องทำ + งาน HR ที่เพิ่มเข้ามา 
เราขับรถแบบสะบั้นหั่นแหลกมากออฟฟิศหลักเราอยู่ที่สาทร บางวันเราขับเป็น 100กว่ากิโล ในกรุงเทพฯ เพื่อติดต่อประสานงานที่ต่างๆ
วิ่งไปทั้งกรมแรงงาน ปกส สรรพากร ตม. สำนักงานเขตต่างๆ เพื่อจัดการเรื่องเอกสาร ใบอนุญาตต่างๆ วิ่งไปสำนักงานใหญ่สุวรรณภูมิ / รพ.กรุงเทพฯ / สำนักงานใหญ่แถววิภาวดี / บ้านกรรมการ เพื่อล่าลายเซ็นมอบอำนาจ 
บางวันวิ่งวน 2-3 รอบก็มี 555555555555555555
เราดูแลเงินเดือนพนักงาน ดูแลสวัสดิการ ทำปฐมนิเทศน์พนักงานใหม่เอง ทำตารางเทรนนิ่งพนักงาน ดูแลการประเมินผลพนักงาน ก่อนผ่านโปร ประเมินกลางปี ปลายปี ทำทุกอย่างที่ได้รับมอบหมาย ชีวิตไม่เคยว่างเลย เลิกงานดึกทุกวัน เก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปเรื่อยๆ บ่นบ้างตามประสา แต่ก็ก้มหน้าทำ
ทำมาเรื่อยๆ ดูแลร้านอาหารมาเรื่อยๆ จนปลายปี 2023 ทาง Corporate HR Director อยากให้เข้าไปซัพพอต Corporate และดูงานที่ specific กว่านี้
จึงมีการโอนย้ายและปรับตำแหน่งเป็น Corporate HR Supervisor เข้ามาทำงานในสำนักงานใหญ่ อยู่ส่วนกลาง ฐานเงินเดือนปรับเพิ่ม 25% มีอาหารให้ฟรี
ทางร้านรับ HR คนใหม่เข้ามาเพื่อดูแลงาน HR โดยเฉพาะ ส่วนงานแอดมินที่เราเคยทำ Handover กลับเข้า Corporate และมีการจ้าง Admin มาเพิ่มที่ร้านอาหาร และมีกระจายให้เลขาอีกคนทำ

งานที่เราเคยดูแลหรือเคยทำก่อนหน้านี้หายไปเกือบหมด เอาจริงๆ คือเส้า นะ แงงง

หลังจากย้ายมาอยู่ Corporate งานหลักที่ได้รับมอบหมายคือ ดูแล Visa & Work Permit ของต่างด้าวและต่างชาติทั้งหมดของบริษัทแม่และบริษัทในเครือ รวมทั้งร้านอาหาร ซึ่งในอนาคตมีแผนนำเข้ามาเพิ่มอีก โดยไม่ได้ใช้ Agency (ตอนนั้นเราดูประมาณ 20 กว่าคน เป็น Non-B 10 คน Non-LA อีก 10กว่าคน)
เนื้องานค่อนข้างนิ่ง ไม่ค่อยมี challenge หลักๆก็เตรียมเอกสาร ดูวันใกล้หมดอายุ เตรียมนัดวันพนักงานถ่ายรูป มีออกนอกสถานที่อยู่หลายที่เหมือนเดิม เพราะต้องเตรียมเอกสารเอง คัดเอกสาร ยื่นเอกสารเองทั้งหมด
เนื่องจากไม่ได้ใช้ Agency ในการทำเอกสารต่างๆให้พนักงานต่างชาติ ดังนั้นระยะเวลาการรอต่อวีซ่าในแต่ละรอบจึงใช้เวลาทั้งวัน (ไปตม. 8โมงเช้า ทำเสร็จ 2 ทุ่ม) เอกสารไม่ครบ เจ้าหน้าที่ไม่ทำให้ ต้องกลับไปเอามาส่งในวันนั้นให้ครบ จึงต้องเตรียมเอกสารแบบละเอียดยิบ
เราอยู่แบบนี้มาได้ไม่กี่เดือน ก็เริ่มรู้สึกหมดไฟ รู้สึกไม่ได้มีอะไรที่มันจะพัฒนาเราได้เท่าไหร่ แต่เราก็ยังไม่คิดที่จะออกไปหาอะไรใหม่ๆ เพราะตรงนี้ค่อนข้างมั่นคง บริษัทใหญ่ พนักงานโดยรวมหลายพันคน สามารถเติบโตขึ้นได้
แต่เอาเข้าจริง จังหวะชีวิตของคนเรานะ บทมันจะมาก็มาแบบ งงๆ
วันนึงก็ได้มีโอกาสคุยกับพี่เรื่องงาน แชร์ประสบการณ์ให้เขาฟัง (ปกติก็คุยกันตลอด แต่ไม่ได้แชร์เรื่องาน) ก็ได้ทราบว่าบริษัทเขากำลังหา HR Manager อยู่ เป็นบริษัท Hospitality ให้บริการร้านอาหารและเครื่องดื่ม เจ้าของเป็นต่างชาติมาเปิดใหม่ในไทย ซึ่งเราค่อนข้างคุ้นเคยกับธุรกิจแนวนี้ + ทำงานกับต่างชาติมาตลอด ก็เลยลองส่ง CV ไปดูแต่ก้ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก เพราะตรงนี้ก็ค่อนข้าง comfort Zone แล้ว
จน MD ได้นัดเข้าสัมภาษณ์ ก็เข้าไปสัมภาษณ์ 1 รอบ กับ MD, Finance และ Partner ผ่านไปประมาณ 2 อาทิตย์มั้ง ก็ได้ offer เลย ตอนนั้นตื่นเต้นมาก ดีใจมาก แต่ก็ใจหายด้วยเช่นกัน แต่ยังไงดีละ เพราะเงินเดือนที่ขอไปเขาก็ไม่ต่อรองเลยสักคำ เอาล่ะ ชีวิตต้องมูฟออน 55555 จึงทำเรื่องลาออกจากบริษัทเดิม โดยทำงานวันสุดท้ายเดือนมีนาคม 2024 ครบ 4 ปีพอดีเลย 
เริ่มที่ใหม่เดือน เมษายน 2024 งานที่ใหม่ค่อนข้างแตกต่างโดยสิ้นเชิง ใช้สมองเยอะ  Challenge เยอะด้วยสมใจอยาก ต้อง set ระบบใหม่ทั้งหมดให้บริษัท
ปัจจุบันก็ยังทำงานอยู่ที่เดิม ซึ่งเดือนหน้าก็จะครบปีแล้ว ก็ไม่น่าเชื่อนะว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ชีวิตยังเคว้งคว้างล่องลอยอยู่เลย
ขอบคุณทุกคนที่ให้โอกาสเด็กคนนี้ได้ทดลองทำอะไรหลายๆอย่าง จนเติบโตมาได้ถึงขนาดนี้
ขอบคุณตัวเองที่ไม่เคยท้อ ให้ทำอะไรก็ทำทุกอย่าง ไม่เกี่ยง 

แต่เรื่องที่เสียใจของจังหวะชีวิตคือหลังจากได้งานใหม่ แม่ก็เริ่มป่วยหนัก และหนักขึ้นเรื่อยๆ และเพิ่งเสียไป เมื่อมกราคม ก่อนวันเกิดเรา 5 วัน
เหมือนชีวิตเล่นตลก เห้อออออ ทุกอย่างเรากำลังดีขึ้น จะได้พาแม่ไปทำนั่นนี่ด้วยกันกับเงินที่เราหามา แต่แม่ดันมาตายซะก่อน มีอะไรหลายอย่างที่ยังอยากทำด้วยกันอยู่เลย แต่โชคชะตาดันติดตลก..................เห้อ
ตอนนี้ชีวิตก็เหมือนกลับมา ล่องลอยอีกครั้ง คิดว่านี่ทำอะไรอยู่ ทำไปทำไม ทำเพื่อใคร 
แต่ก็เชื่อว่าเวลาจะช่วยเยียวยาทุกอย่างให้ดีขึ้น 

เข้ามาเขียนแชร์เรื่องงาน 

จบที่เส้าเฉย (T_T " )
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่