ตามหัวข้อเลยครับ หัดแต่ง น้อมรับคำติชมครับ
ผมไม่ใช่คนที่นี่
บ้านเกิดของผมอยู่ในกรุงเทพฯ เมืองใหญ่ที่วุ่นวายและเต็มไปด้วยแสงสี แต่ชีวิตก็พาผมกลับมายังที่แห่งนี้ หมู่บ้านเล็ก ๆ ในภาคอีสานที่แทบไม่มีใครรู้จัก หมู่บ้านที่เต็มไปด้วยทุ่งนา ป่าละเมาะ และบ้านเรือนไม้เก่าแก่ ที่นี่เป็นบ้านเกิดของพ่อผม บ้านของปู่ย่าที่ผมเคยมาเยี่ยมในช่วงปิดเทอมตอนเด็ก ๆ
แต่คราวนี้... ผมกลับมาไม่ใช่เพราะต้องการพักผ่อน
พ่อของผมเสียไปเมื่อสองเดือนก่อน ผมเพิ่งเคลียร์งานเสร็จ เลยตัดสินใจกลับมาดูแลบ้านเก่าที่ไม่มีคนอยู่ นั่งรถโดยสารจากกรุงเทพฯ มาลงตัวอำเภอ ก่อนต่อมอเตอร์ไซค์รับจ้างเข้าหมู่บ้าน ตอนแรกคิดว่าแค่แวะมาไม่กี่วัน แต่พอได้เหยียบย่างลงดินถิ่นเก่า... ผมกลับรู้สึกถึงบางอย่างที่ทำให้ไม่อยากรีบร้อนกลับกรุงเทพฯ
บ้านไม้สองชั้นที่พ่อเคยโตมา ตอนนี้เหลือแค่ฝุ่นเกาะหนา ผมเปิดหน้าต่าง ปล่อยให้ลมร้อนพัดเข้ามา บ้านหลังนี้ไม่เคยถูกทิ้งร้างไปเสียทีเดียว มีญาติ ๆ ในหมู่บ้านแวะเวียนมาทำความสะอาดบ้าง แต่ก็ยังเต็มไปด้วยกลิ่นอับของกาลเวลา
หลังจากเดินสำรวจบ้าน ผมออกไปเดินเล่นรอบ ๆ หมู่บ้าน จำอะไรได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงข่าวก็แพร่ไปทั่วว่า "ลูกชายของไอ้จรัญกลับมาแล้ว"
ชาวบ้านที่นี่มีนิสัยแบบนั้น พอมีอะไรใหม่ ๆ คนก็จะรู้กันทั้งหมู่บ้าน
เย็นวันนั้น ผมเดินไปยังบ้านของลุงเอียด ญาติห่าง ๆ ของผม ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านและเจ้าของร้านขายของชำในหมู่บ้าน ลุงเอียดเห็นผมก็ยิ้มกว้าง รีบชวนให้มานั่งเล่นใต้ถุนบ้าน แกบอกว่า "คืนนี้พอดีผู้เฒ่าหลายคนจะมาตั้งวงเหล้าคุยกัน เอ็งนั่งคุยด้วยกันก็ได้ นาน ๆ ทีคนเมืองจะกลับมา"
ผมไม่ได้ปฏิเสธ
....................................................................................................................
พอฟ้ามืด โต๊ะไม้เตี้ย ๆ ก็ถูกตั้งขึ้นใต้ถุนบ้าน พวกผู้เฒ่าในหมู่บ้านทยอยกันมา นั่งล้อมกันเป็นวง ผมเองก็ได้นั่งร่วมวงไปโดยปริยาย ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจจะดื่ม แต่พอจอกเหล้าขาวถูกยื่นมา ผมก็รับไว้ ไม่อยากเสียมารยาท
กลิ่นเหล้าขาวแรงบาดคอ ผมยกขึ้นจิบเบา ๆ มองไปรอบวง ส่วนใหญ่เป็นชายชราอายุหกสิบเจ็ดสิบขึ้นกันทั้งนั้น ตาพรหม ตาเปรื่อง ตาเสริม และลุงเอียดเจ้าของบ้าน บรรยากาศอบอวลไปด้วยควันยาสูบ ผสมกลิ่นของทุ่งนาที่โชยมาตามสายลม
เสียงหัวเราะและเสียงสนทนาเกี่ยวกับเรื่องเก่า ๆ ดังขึ้น พวกแกพูดถึงสมัยก่อนที่หมู่บ้านยังไม่มีไฟฟ้า ถนนยังเป็นทางดินลูกรัง และความเชื่อเก่า ๆ ที่เด็กรุ่นใหม่อย่างผมฟังแล้วเหมือนนิทานพื้นบ้านมากกว่าเรื่องจริง
แต่แล้วจู่ ๆ บรรยากาศก็เปลี่ยนไป
ลุงเอียดเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจ้องมองไปที่ขอบฟ้า พระจันทร์สีแดงเข้มลอยเด่นเหนือยอดไม้
"คืนนี้พระจันทร์มันแดงแปลก ๆ ว่ามั้ย?" ลุงเอียดพึมพำ
"เออ ข้าก็ว่างั้น" ตาพรหมเอ่ยขึ้นบ้าง "แต่ก่อนโบราณว่าไว้ พระจันทร์แดงเป็นลางร้าย... เป็นคืนของ "พวกมัน""
"พวกมัน?" ผมถามขึ้นมาลอย ๆ
ทุกคนในวงเงียบไปชั่วขณะ ไม่มีใครพูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ตาเสริมจะวางจอกเหล้าลงอย่างช้า ๆ
ดวงตาขุ่นมัวของแกมองตรงมายังผม นิ่งนาน
"เอ็งเคยได้ยินเรื่องปอบที่ทุ่งร้างไหม?"
แค่ประโยคเดียวก็ทำให้วงเหล้าเงียบกริบ...
ผมหัวเราะเบา ๆ พลางยกจอกเหล้าขึ้นจิบ "เรื่องเล่าหลอกเด็กน่ะสิ ลุง"
ตาเสริมส่ายหัวช้า ๆ "เอ็งอย่าคิดว่าเป็นแค่เรื่องเล่า..."
แกถอนหายใจ ราวกับกำลังนึกย้อนถึงความทรงจำที่ไม่อยากรื้อฟื้น
"ข้าเคยเจอกับตัวเอง ตอนข้ายังเป็นเด็ก"
ผมกลืนน้ำลาย ความเงียบโรยตัวลงอย่างน่าประหลาด เสียงจิ้งหรีดที่ร้องอยู่เมื่อครู่เงียบลงราวกับตั้งใจฟังเรื่องที่กำลังจะถูกเล่า
แล้วตาเสริมก็เริ่มเล่า...
………………………………………………………………………………………………………
หน้าร้อนปีนั้น อากาศอบอ้าวเสียจนเหงื่อไหลซึมตลอดทั้งวัน ดินแตกระแหงเพราะแดดแผดเผา ลมที่พัดมาก็ร้อนจัดเหมือนลมหายใจของสัตว์ร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ตามพงหญ้า
ตอนนั้นข้าอายุราว ๆ สิบสามปี กำลังเป็นวัยซน ได้ปิดเทอมใหญ่ แม่เลยส่งข้ามาอยู่กับยายที่บ้านนอก เพราะอยากให้ข้าห่างจากความวุ่นวายในตลาดที่แม่ค้าขายของกันจอแจ ข้าก็ดีใจเพราะที่นี่มีทุ่งนา มีคลองให้ว่ายน้ำ มีป่าให้วิ่งเล่น
บ้านของยายเป็นบ้านไม้ยกใต้ถุนสูง ตั้งอยู่ริมหมู่บ้าน หันหน้าเข้าหาถนนดินแดงที่ทอดยาวออกไปสู่ตัวอำเภอ แต่ด้านหลังบ้านกลับเปิดโล่งออกไปสู่พื้นที่เวิ้งว้างกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ที่นั่นคือ
"ทุ่งร้าง"
………………………………………………………………………………………………………
ทุ่งกว้างสุดลูกหูลูกตาแห่งนี้เคยมีบ้านเรือน มีครอบครัวอาศัยอยู่ เมื่อก่อนมันเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านเล่ากันว่ามีน้ำไหลผ่าน มีต้นไม้ร่มรื่น ผู้คนเคยทำนาทำไร่กันตรงนั้น แต่วันหนึ่ง... ทุกอย่างก็เงียบลง
ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่ามันเกิดอะไรขึ้น มีแต่เสียงลือเสียงเล่าอ้าง บางคนว่าครอบครัวที่อยู่ตรงนั้นล้มป่วยตายกันหมดในเวลาไม่กี่วัน บางคนบอกว่าคืนนั้นพวกเขาได้ยินเสียงกรีดร้องแหวกความเงียบของหมู่บ้าน ดังมาจากกลางทุ่ง แต่พอเช้า...
บ้านทั้งหลังกลับร้างเปล่า ไม่มีใครอยู่
แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นคือ ไม่พบศพของคนในบ้านแม้แต่คนเดียว
ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ ไม่มีคราบเลือด ไม่มีอะไรเลยนอกจากข้าวของที่ถูกทิ้งไว้อย่างเร่งรีบ ชาวบ้านที่กล้าเข้าไปดูเล่าว่าพวกเขาเห็นจานข้าวที่ยังกินไม่หมด รองเท้าวางเกะกะเหมือนคนกำลังวิ่งหนี แต่ไม่มีใครอยู่ที่นั่น
เหมือนกับว่าคนทั้งบ้าน... หายไปในอากาศ
ตั้งแต่นั้นมา ทุ่งกว้างที่เคยเป็นที่อยู่อาศัยก็ถูกทิ้งร้าง ไม่มีใครกล้าแตะต้อง ไม่มีใครกล้าสร้างบ้านเรือนใหม่ลงไปตรงนั้นอีก ชาวบ้านต่างพูดกันว่า ปอบที่เคยแฝงตัวในหมู่บ้านถูกขับไล่ออกไป แต่แท้จริงมันไม่ได้ไปไหนไกล มันอยู่ที่ทุ่งร้างนั้นเอง
บางคืนมีคนได้ยินเสียงหมาหอนยาวเหยียดเหมือนมันเห็นอะไรบางอย่าง เสียงนั้นแหลมสูงและโหยหวนจนคนฟังรู้สึกขนลุกซู่
บางคืนมีคนเห็นเงาตะคุ่ม ๆ เคลื่อนผ่านในพงหญ้า มันอาจเป็นแค่ลมพัด แต่มันก็อาจเป็นอย่างอื่น
และบางคืน... ไฟประหลาดก็ลอยขึ้นมาจากกลางทุ่ง แสงสีแดงส้มลอยวนอยู่เหนือพื้นราวกับมีบางสิ่งซ่อนตัวอยู่ใต้พงหญ้า
และที่น่ากลัวที่สุด...
บางคนบอกว่าเห็นเงาของบางสิ่งคลานต่ำ ๆ อยู่ในความมืด
………………………………………………………………………………………………………
ยายของข้าไม่ใช่คนขี้กลัว ยายเป็นหญิงชราที่เข้มแข็ง ผ่านร้อนผ่านหนาวมาไม่น้อย แต่มีอยู่สามเรื่องที่ยายย้ำกับข้าตั้งแต่คืนแรกที่มาถึง
“อย่าออกไปข้างนอกตอนดึก”
หมู่บ้านนี้ไม่มีไฟถนน ไม่มีแสงจากเสาไฟฟ้าเหมือนในเมือง ตอนกลางคืนหมู่บ้านจะตกอยู่ในความมืดสนิท มีเพียงแสงตะเกียงที่วูบไหวอยู่ตามหน้าต่าง เสียงแมลงกลางคืนร้องระงมเป็นจังหวะสลับกับเสียงลมพัดผ่านต้นไม้ แต่ที่น่ากลัวกว่าความมืด... คือสิ่งที่ซ่อนอยู่ในเงามืดนั้น
ยายบอกว่าถ้าใครออกไปข้างนอกยามดึก มีคนหายตัวไปโดยไร้ร่องรอยมาก่อน บางคนบอกว่าเดินไปในความมืดแล้วรู้สึกเหมือนมีบางอย่างเดินตามหลัง รู้สึกเหมือนมีลมหายใจเป่ารดต้นคอ แต่พอหันไป... กลับไม่มีใครอยู่ตรงนั้น
“อย่ามองไปที่ทุ่งร้าง”
ยายว่า บางคืนจะมีเสียงแปลก ๆ ดังมาจากทุ่งร้าง บางคนได้ยินเสียงคนคุยกัน บางคนได้ยินเสียงหัวเราะแผ่ว ๆ ลอยมาตามลม
บางคนได้ยินเสียงใครบางคนกระซิบช้า ๆ อยู่ข้างหู ทั้งที่ไม่มีใครอยู่ใกล้เลย
ยายบอกว่า ถ้าคืนไหนมีเสียงแปลก ๆ ดังมาจากทุ่งร้าง ให้ปิดหูเอาไว้ ห้ามฟัง ห้ามหันไปมองเด็ดขาด
เพราะถ้าเผลอมองเข้าไป อาจจะเห็นอะไรที่ ไม่ควรเห็น
“ห้ามขานรับเด็ดขาด ถ้ามีใครมาเรียก”
ยายเล่าว่าผีปอบมันฉลาด มันจะไม่โผล่มาให้เห็นตรง ๆ แต่มันจะล่อให้เราตกหลุมพราง มันอาจจะเรียกชื่อข้า ทำเสียงเหมือนแม่ หรือแม้แต่ทำเสียงเหมือนยายเอง
"เสริม... เสริม... ออกมาหายายหน่อยสิลูก"
ยายบอกว่าไม่ว่าเสียงจะเหมือนแค่ไหน ห้ามขานรับ เพราะถ้าข้าตอบรับเมื่อไหร่ มันจะรู้ทันทีว่าข้ายังตื่นอยู่
และถ้ามันรู้ว่าใครยังตื่นอยู่... มันจะมาหา
ข้าฟังแล้วก็หัวเราะ คิดว่ายายแค่เล่านิทานหลอกเด็ก จะไปมีผีที่ไหนมาเรียกชื่อคนกลางดึกกัน
แต่แล้ว...
คืนนั้นเอง ข้าก็ได้รู้ว่า สิ่งที่ยายพูด... มันคือความจริง
………………………………………………………………………………………………………
คืนนั้น อากาศร้อนอบอ้าว ข้านอนพลิกไปพลิกมาอยู่บนเสื่อ เสียงจิ้งหรีดและแมลงกลางคืนดังระงมแข่งกับเสียงลมพัดใบไม้ไหวเสียดสีกันเป็นระยะ บ้านไม้หลังเก่าของข้าทอดยาวไปในความมืด มีเพียงแสงจากตะเกียงเจ้าพายุริบหรี่ให้เห็นข้าวของในห้องเลือนลาง
ข้ากระพริบตา มองผ่านมุ้งที่คลุมไว้แน่นหนา หวังว่ามันจะช่วยกันยุงและ… สิ่งอื่นที่อาจไม่ควรพบเจอ
แล้วมันก็ดังขึ้น
“แกร่ก… แกร่ก…”
เสียงเหมือนเล็บขูดไปกับเนื้อไม้… ไม่ใช่เสียงเคาะประตูเหมือนทุกครั้ง แต่เป็นเสียงครืดคราดลากไปบนแผ่นไม้เก่า ๆ อย่างจงใจ
ข้าหัวใจเต้นรัว มือกำมุมผ้าห่มแน่น เงี่ยหูฟังพลางภาวนาให้เป็นแค่ลมพัดผ่าน แต่ไม่… มันชัดเจนขึ้น ราวกับบางสิ่งกำลังจดจ้องจากด้านนอก
“เสริมเอ๊ย… เปิดประตูให้ยายที...”
ข้าเย็นวาบไปทั้งตัว… นั่นเสียงยายข้า!
แต่เดี๋ยวก่อน…
ข้าจำได้ว่า ยายเข้าห้องนอนไปตั้งแต่หัวค่ำ และเสียงกรนที่ดังอยู่ในห้องข้าง ๆ นั่นก็เป็นของยายแน่ ๆ แล้วสิ่งที่อยู่ข้างนอกนั้นล่ะ… คืออะไร?
ข้ากลั้นลมหายใจ ลมหายใจเย็นเฉียบ มือเริ่มสั่น เสียงนั้นยังคงเรียกชื่อข้า… ช้า ๆ เนิบนาบ… แต่มีบางอย่างผิดแปลก… น้ำเสียงนั้นแหบพร่ากว่าปกติ มันเหมือนยาย… แต่มันก็ไม่ใช่!
แล้วกลิ่น…
กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งขึ้นมาอย่างไม่มีที่มา หัวใจข้าบีบรัดแน่น สายตาเหลือบไปเห็นเงาบางอย่างเคลื่อนผ่านหน้าต่าง…
ข้าเบิกตากว้าง รีบหันไปมองหน้าต่างที่ปิดไว้สนิท แล้วข้าก็เห็นมัน…
ดวงตาคู่หนึ่ง…
ตาขาวโพลนลอยเด่นอยู่ในเงามืด จ้องตรงเข้ามาหาข้า แววตาวาวโรจน์สะท้อนแสงจันทร์ ใบหน้าซีดเผือดแนบชิดกับกระจก รอยยิ้มกว้างจนผิดรูป เผยให้เห็นฟันแหลมคมที่เปื้อนเลือด
ข้าแข็งค้างไปทั้งร่าง ทุกเส้นขนลุกชัน ร่างกายเย็นเฉียบ ข้าอยากกรีดร้องแต่เสียงข้าขาดหายไปกับลำคอ ทำได้เพียงดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปง กำมือแน่น สวดมนต์ในใจซ้ำ ๆ หวังให้มันหายไป
เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังอยู่ข้างนอก…
แล้วทุกอย่างก็เงียบสนิท…
ข้ารออยู่เป็นนาน… หัวใจเต้นแรงราวกับจะทะลุออกมาจากอก ค่อย ๆ หรี่ตามองออกจากมุ้ง…
เงียบ…
โล่งใจ… ข้าฝืนลมหายใจออกมา เช็ดเหงื่อที่ชุ่มไปทั้งตัว ก่อนจะขยับพลิกตัวไปอีกด้าน…
แล้วข้าก็เห็นมันอีกครั้ง
(มีต่อ ตัวอักษรเกินครับ)
ปอบยังอยู่ที่นี่ (นิยายผีเล่มละบาท)
ผมไม่ใช่คนที่นี่
บ้านเกิดของผมอยู่ในกรุงเทพฯ เมืองใหญ่ที่วุ่นวายและเต็มไปด้วยแสงสี แต่ชีวิตก็พาผมกลับมายังที่แห่งนี้ หมู่บ้านเล็ก ๆ ในภาคอีสานที่แทบไม่มีใครรู้จัก หมู่บ้านที่เต็มไปด้วยทุ่งนา ป่าละเมาะ และบ้านเรือนไม้เก่าแก่ ที่นี่เป็นบ้านเกิดของพ่อผม บ้านของปู่ย่าที่ผมเคยมาเยี่ยมในช่วงปิดเทอมตอนเด็ก ๆ
แต่คราวนี้... ผมกลับมาไม่ใช่เพราะต้องการพักผ่อน
พ่อของผมเสียไปเมื่อสองเดือนก่อน ผมเพิ่งเคลียร์งานเสร็จ เลยตัดสินใจกลับมาดูแลบ้านเก่าที่ไม่มีคนอยู่ นั่งรถโดยสารจากกรุงเทพฯ มาลงตัวอำเภอ ก่อนต่อมอเตอร์ไซค์รับจ้างเข้าหมู่บ้าน ตอนแรกคิดว่าแค่แวะมาไม่กี่วัน แต่พอได้เหยียบย่างลงดินถิ่นเก่า... ผมกลับรู้สึกถึงบางอย่างที่ทำให้ไม่อยากรีบร้อนกลับกรุงเทพฯ
บ้านไม้สองชั้นที่พ่อเคยโตมา ตอนนี้เหลือแค่ฝุ่นเกาะหนา ผมเปิดหน้าต่าง ปล่อยให้ลมร้อนพัดเข้ามา บ้านหลังนี้ไม่เคยถูกทิ้งร้างไปเสียทีเดียว มีญาติ ๆ ในหมู่บ้านแวะเวียนมาทำความสะอาดบ้าง แต่ก็ยังเต็มไปด้วยกลิ่นอับของกาลเวลา
หลังจากเดินสำรวจบ้าน ผมออกไปเดินเล่นรอบ ๆ หมู่บ้าน จำอะไรได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงข่าวก็แพร่ไปทั่วว่า "ลูกชายของไอ้จรัญกลับมาแล้ว"
ชาวบ้านที่นี่มีนิสัยแบบนั้น พอมีอะไรใหม่ ๆ คนก็จะรู้กันทั้งหมู่บ้าน
เย็นวันนั้น ผมเดินไปยังบ้านของลุงเอียด ญาติห่าง ๆ ของผม ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านและเจ้าของร้านขายของชำในหมู่บ้าน ลุงเอียดเห็นผมก็ยิ้มกว้าง รีบชวนให้มานั่งเล่นใต้ถุนบ้าน แกบอกว่า "คืนนี้พอดีผู้เฒ่าหลายคนจะมาตั้งวงเหล้าคุยกัน เอ็งนั่งคุยด้วยกันก็ได้ นาน ๆ ทีคนเมืองจะกลับมา"
ผมไม่ได้ปฏิเสธ
....................................................................................................................
พอฟ้ามืด โต๊ะไม้เตี้ย ๆ ก็ถูกตั้งขึ้นใต้ถุนบ้าน พวกผู้เฒ่าในหมู่บ้านทยอยกันมา นั่งล้อมกันเป็นวง ผมเองก็ได้นั่งร่วมวงไปโดยปริยาย ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจจะดื่ม แต่พอจอกเหล้าขาวถูกยื่นมา ผมก็รับไว้ ไม่อยากเสียมารยาท
กลิ่นเหล้าขาวแรงบาดคอ ผมยกขึ้นจิบเบา ๆ มองไปรอบวง ส่วนใหญ่เป็นชายชราอายุหกสิบเจ็ดสิบขึ้นกันทั้งนั้น ตาพรหม ตาเปรื่อง ตาเสริม และลุงเอียดเจ้าของบ้าน บรรยากาศอบอวลไปด้วยควันยาสูบ ผสมกลิ่นของทุ่งนาที่โชยมาตามสายลม
เสียงหัวเราะและเสียงสนทนาเกี่ยวกับเรื่องเก่า ๆ ดังขึ้น พวกแกพูดถึงสมัยก่อนที่หมู่บ้านยังไม่มีไฟฟ้า ถนนยังเป็นทางดินลูกรัง และความเชื่อเก่า ๆ ที่เด็กรุ่นใหม่อย่างผมฟังแล้วเหมือนนิทานพื้นบ้านมากกว่าเรื่องจริง
แต่แล้วจู่ ๆ บรรยากาศก็เปลี่ยนไป
ลุงเอียดเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจ้องมองไปที่ขอบฟ้า พระจันทร์สีแดงเข้มลอยเด่นเหนือยอดไม้
"คืนนี้พระจันทร์มันแดงแปลก ๆ ว่ามั้ย?" ลุงเอียดพึมพำ
"เออ ข้าก็ว่างั้น" ตาพรหมเอ่ยขึ้นบ้าง "แต่ก่อนโบราณว่าไว้ พระจันทร์แดงเป็นลางร้าย... เป็นคืนของ "พวกมัน""
"พวกมัน?" ผมถามขึ้นมาลอย ๆ
ทุกคนในวงเงียบไปชั่วขณะ ไม่มีใครพูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ตาเสริมจะวางจอกเหล้าลงอย่างช้า ๆ
ดวงตาขุ่นมัวของแกมองตรงมายังผม นิ่งนาน
"เอ็งเคยได้ยินเรื่องปอบที่ทุ่งร้างไหม?"
แค่ประโยคเดียวก็ทำให้วงเหล้าเงียบกริบ...
ผมหัวเราะเบา ๆ พลางยกจอกเหล้าขึ้นจิบ "เรื่องเล่าหลอกเด็กน่ะสิ ลุง"
ตาเสริมส่ายหัวช้า ๆ "เอ็งอย่าคิดว่าเป็นแค่เรื่องเล่า..."
แกถอนหายใจ ราวกับกำลังนึกย้อนถึงความทรงจำที่ไม่อยากรื้อฟื้น
"ข้าเคยเจอกับตัวเอง ตอนข้ายังเป็นเด็ก"
ผมกลืนน้ำลาย ความเงียบโรยตัวลงอย่างน่าประหลาด เสียงจิ้งหรีดที่ร้องอยู่เมื่อครู่เงียบลงราวกับตั้งใจฟังเรื่องที่กำลังจะถูกเล่า
แล้วตาเสริมก็เริ่มเล่า...
………………………………………………………………………………………………………
หน้าร้อนปีนั้น อากาศอบอ้าวเสียจนเหงื่อไหลซึมตลอดทั้งวัน ดินแตกระแหงเพราะแดดแผดเผา ลมที่พัดมาก็ร้อนจัดเหมือนลมหายใจของสัตว์ร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ตามพงหญ้า
ตอนนั้นข้าอายุราว ๆ สิบสามปี กำลังเป็นวัยซน ได้ปิดเทอมใหญ่ แม่เลยส่งข้ามาอยู่กับยายที่บ้านนอก เพราะอยากให้ข้าห่างจากความวุ่นวายในตลาดที่แม่ค้าขายของกันจอแจ ข้าก็ดีใจเพราะที่นี่มีทุ่งนา มีคลองให้ว่ายน้ำ มีป่าให้วิ่งเล่น
บ้านของยายเป็นบ้านไม้ยกใต้ถุนสูง ตั้งอยู่ริมหมู่บ้าน หันหน้าเข้าหาถนนดินแดงที่ทอดยาวออกไปสู่ตัวอำเภอ แต่ด้านหลังบ้านกลับเปิดโล่งออกไปสู่พื้นที่เวิ้งว้างกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ที่นั่นคือ "ทุ่งร้าง"
………………………………………………………………………………………………………
ทุ่งกว้างสุดลูกหูลูกตาแห่งนี้เคยมีบ้านเรือน มีครอบครัวอาศัยอยู่ เมื่อก่อนมันเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านเล่ากันว่ามีน้ำไหลผ่าน มีต้นไม้ร่มรื่น ผู้คนเคยทำนาทำไร่กันตรงนั้น แต่วันหนึ่ง... ทุกอย่างก็เงียบลง
ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่ามันเกิดอะไรขึ้น มีแต่เสียงลือเสียงเล่าอ้าง บางคนว่าครอบครัวที่อยู่ตรงนั้นล้มป่วยตายกันหมดในเวลาไม่กี่วัน บางคนบอกว่าคืนนั้นพวกเขาได้ยินเสียงกรีดร้องแหวกความเงียบของหมู่บ้าน ดังมาจากกลางทุ่ง แต่พอเช้า...
บ้านทั้งหลังกลับร้างเปล่า ไม่มีใครอยู่
แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นคือ ไม่พบศพของคนในบ้านแม้แต่คนเดียว
ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ ไม่มีคราบเลือด ไม่มีอะไรเลยนอกจากข้าวของที่ถูกทิ้งไว้อย่างเร่งรีบ ชาวบ้านที่กล้าเข้าไปดูเล่าว่าพวกเขาเห็นจานข้าวที่ยังกินไม่หมด รองเท้าวางเกะกะเหมือนคนกำลังวิ่งหนี แต่ไม่มีใครอยู่ที่นั่น
เหมือนกับว่าคนทั้งบ้าน... หายไปในอากาศ
ตั้งแต่นั้นมา ทุ่งกว้างที่เคยเป็นที่อยู่อาศัยก็ถูกทิ้งร้าง ไม่มีใครกล้าแตะต้อง ไม่มีใครกล้าสร้างบ้านเรือนใหม่ลงไปตรงนั้นอีก ชาวบ้านต่างพูดกันว่า ปอบที่เคยแฝงตัวในหมู่บ้านถูกขับไล่ออกไป แต่แท้จริงมันไม่ได้ไปไหนไกล มันอยู่ที่ทุ่งร้างนั้นเอง
บางคืนมีคนได้ยินเสียงหมาหอนยาวเหยียดเหมือนมันเห็นอะไรบางอย่าง เสียงนั้นแหลมสูงและโหยหวนจนคนฟังรู้สึกขนลุกซู่
บางคืนมีคนเห็นเงาตะคุ่ม ๆ เคลื่อนผ่านในพงหญ้า มันอาจเป็นแค่ลมพัด แต่มันก็อาจเป็นอย่างอื่น
และบางคืน... ไฟประหลาดก็ลอยขึ้นมาจากกลางทุ่ง แสงสีแดงส้มลอยวนอยู่เหนือพื้นราวกับมีบางสิ่งซ่อนตัวอยู่ใต้พงหญ้า
และที่น่ากลัวที่สุด...
บางคนบอกว่าเห็นเงาของบางสิ่งคลานต่ำ ๆ อยู่ในความมืด
………………………………………………………………………………………………………
ยายของข้าไม่ใช่คนขี้กลัว ยายเป็นหญิงชราที่เข้มแข็ง ผ่านร้อนผ่านหนาวมาไม่น้อย แต่มีอยู่สามเรื่องที่ยายย้ำกับข้าตั้งแต่คืนแรกที่มาถึง
“อย่าออกไปข้างนอกตอนดึก”
หมู่บ้านนี้ไม่มีไฟถนน ไม่มีแสงจากเสาไฟฟ้าเหมือนในเมือง ตอนกลางคืนหมู่บ้านจะตกอยู่ในความมืดสนิท มีเพียงแสงตะเกียงที่วูบไหวอยู่ตามหน้าต่าง เสียงแมลงกลางคืนร้องระงมเป็นจังหวะสลับกับเสียงลมพัดผ่านต้นไม้ แต่ที่น่ากลัวกว่าความมืด... คือสิ่งที่ซ่อนอยู่ในเงามืดนั้น
ยายบอกว่าถ้าใครออกไปข้างนอกยามดึก มีคนหายตัวไปโดยไร้ร่องรอยมาก่อน บางคนบอกว่าเดินไปในความมืดแล้วรู้สึกเหมือนมีบางอย่างเดินตามหลัง รู้สึกเหมือนมีลมหายใจเป่ารดต้นคอ แต่พอหันไป... กลับไม่มีใครอยู่ตรงนั้น
“อย่ามองไปที่ทุ่งร้าง”
ยายว่า บางคืนจะมีเสียงแปลก ๆ ดังมาจากทุ่งร้าง บางคนได้ยินเสียงคนคุยกัน บางคนได้ยินเสียงหัวเราะแผ่ว ๆ ลอยมาตามลม
บางคนได้ยินเสียงใครบางคนกระซิบช้า ๆ อยู่ข้างหู ทั้งที่ไม่มีใครอยู่ใกล้เลย
ยายบอกว่า ถ้าคืนไหนมีเสียงแปลก ๆ ดังมาจากทุ่งร้าง ให้ปิดหูเอาไว้ ห้ามฟัง ห้ามหันไปมองเด็ดขาด
เพราะถ้าเผลอมองเข้าไป อาจจะเห็นอะไรที่ ไม่ควรเห็น
“ห้ามขานรับเด็ดขาด ถ้ามีใครมาเรียก”
ยายเล่าว่าผีปอบมันฉลาด มันจะไม่โผล่มาให้เห็นตรง ๆ แต่มันจะล่อให้เราตกหลุมพราง มันอาจจะเรียกชื่อข้า ทำเสียงเหมือนแม่ หรือแม้แต่ทำเสียงเหมือนยายเอง
"เสริม... เสริม... ออกมาหายายหน่อยสิลูก"
ยายบอกว่าไม่ว่าเสียงจะเหมือนแค่ไหน ห้ามขานรับ เพราะถ้าข้าตอบรับเมื่อไหร่ มันจะรู้ทันทีว่าข้ายังตื่นอยู่
และถ้ามันรู้ว่าใครยังตื่นอยู่... มันจะมาหา
ข้าฟังแล้วก็หัวเราะ คิดว่ายายแค่เล่านิทานหลอกเด็ก จะไปมีผีที่ไหนมาเรียกชื่อคนกลางดึกกัน
แต่แล้ว...
คืนนั้นเอง ข้าก็ได้รู้ว่า สิ่งที่ยายพูด... มันคือความจริง
………………………………………………………………………………………………………
คืนนั้น อากาศร้อนอบอ้าว ข้านอนพลิกไปพลิกมาอยู่บนเสื่อ เสียงจิ้งหรีดและแมลงกลางคืนดังระงมแข่งกับเสียงลมพัดใบไม้ไหวเสียดสีกันเป็นระยะ บ้านไม้หลังเก่าของข้าทอดยาวไปในความมืด มีเพียงแสงจากตะเกียงเจ้าพายุริบหรี่ให้เห็นข้าวของในห้องเลือนลาง
ข้ากระพริบตา มองผ่านมุ้งที่คลุมไว้แน่นหนา หวังว่ามันจะช่วยกันยุงและ… สิ่งอื่นที่อาจไม่ควรพบเจอ
แล้วมันก็ดังขึ้น
“แกร่ก… แกร่ก…”
เสียงเหมือนเล็บขูดไปกับเนื้อไม้… ไม่ใช่เสียงเคาะประตูเหมือนทุกครั้ง แต่เป็นเสียงครืดคราดลากไปบนแผ่นไม้เก่า ๆ อย่างจงใจ
ข้าหัวใจเต้นรัว มือกำมุมผ้าห่มแน่น เงี่ยหูฟังพลางภาวนาให้เป็นแค่ลมพัดผ่าน แต่ไม่… มันชัดเจนขึ้น ราวกับบางสิ่งกำลังจดจ้องจากด้านนอก
“เสริมเอ๊ย… เปิดประตูให้ยายที...”
ข้าเย็นวาบไปทั้งตัว… นั่นเสียงยายข้า!
แต่เดี๋ยวก่อน…
ข้าจำได้ว่า ยายเข้าห้องนอนไปตั้งแต่หัวค่ำ และเสียงกรนที่ดังอยู่ในห้องข้าง ๆ นั่นก็เป็นของยายแน่ ๆ แล้วสิ่งที่อยู่ข้างนอกนั้นล่ะ… คืออะไร?
ข้ากลั้นลมหายใจ ลมหายใจเย็นเฉียบ มือเริ่มสั่น เสียงนั้นยังคงเรียกชื่อข้า… ช้า ๆ เนิบนาบ… แต่มีบางอย่างผิดแปลก… น้ำเสียงนั้นแหบพร่ากว่าปกติ มันเหมือนยาย… แต่มันก็ไม่ใช่!
แล้วกลิ่น…
กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งขึ้นมาอย่างไม่มีที่มา หัวใจข้าบีบรัดแน่น สายตาเหลือบไปเห็นเงาบางอย่างเคลื่อนผ่านหน้าต่าง…
ข้าเบิกตากว้าง รีบหันไปมองหน้าต่างที่ปิดไว้สนิท แล้วข้าก็เห็นมัน…
ดวงตาคู่หนึ่ง…
ตาขาวโพลนลอยเด่นอยู่ในเงามืด จ้องตรงเข้ามาหาข้า แววตาวาวโรจน์สะท้อนแสงจันทร์ ใบหน้าซีดเผือดแนบชิดกับกระจก รอยยิ้มกว้างจนผิดรูป เผยให้เห็นฟันแหลมคมที่เปื้อนเลือด
ข้าแข็งค้างไปทั้งร่าง ทุกเส้นขนลุกชัน ร่างกายเย็นเฉียบ ข้าอยากกรีดร้องแต่เสียงข้าขาดหายไปกับลำคอ ทำได้เพียงดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปง กำมือแน่น สวดมนต์ในใจซ้ำ ๆ หวังให้มันหายไป
เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังอยู่ข้างนอก…
แล้วทุกอย่างก็เงียบสนิท…
ข้ารออยู่เป็นนาน… หัวใจเต้นแรงราวกับจะทะลุออกมาจากอก ค่อย ๆ หรี่ตามองออกจากมุ้ง…
เงียบ…
โล่งใจ… ข้าฝืนลมหายใจออกมา เช็ดเหงื่อที่ชุ่มไปทั้งตัว ก่อนจะขยับพลิกตัวไปอีกด้าน…
แล้วข้าก็เห็นมันอีกครั้ง
(มีต่อ ตัวอักษรเกินครับ)