JJNY : 5in1 โรมแท็กอีลอน มัสก์│ดร.ปิ่นแก้วฉายเบื้องหลัง│พันธุ์อาจร้องกกต.│ชาวสมุทรปราการร้องกกต.│NGO สิทธิฯเผยเหตุสังหาร

โรม โพสต์แท็ก อีลอน มัสก์ ขอช่วยตรวจสอบ แก๊งอาชญากรรมไซเบอร์ ใช้ประโยชน์ Starlink
https://www.matichon.co.th/politics/news_5033781
 
 
โรม โพสต์แท็ก อีลอน มัสก์ ขอช่วยตรวจสอบ แก๊งอาชญากรรมไซเบอร์ ใช้ประโยชน์  Starlink

เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน และ ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย  ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ได้โพสต์เอ็กซ์ถึง นายอีลอน มัสก์ อภิมหาเศรษฐีพันล้าน เจ้าของเอ็กซ์ เทสลา และ สตาร์ลิงก์ อินเทอร์เน็ตจากดาวเทียม ถึงกรณีแก๊งมิจฉาชีพในชายแดน โดยระบุว่า

“ถึง อีลอน มัสก์ เราได้เปิดโปงฐานปฏิบัติการหลอกลวงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ ค้นพบหลักฐานที่ชัดเจนว่า อาชญากรรมไซเบอร์ในภูมิภาคนี้ กำลังใช้ประโยชน์จาก Starlink เพื่อฉ้อโกงครั้งใหญ่ สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจกว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ (จากการรายงานของ USIP ปี 2024) และยังเกี่ยวพันกับการค้ามนุษย์อีกด้วย

ปัญหาร้ายแรงนี้ ส่งผลกระทบต่อโลก เราได้ผลักดันให้รัฐบาลดำเนินการทันทีในการตัดไฟฟ้าและอินเตอร์เน็ต แต่พวกเขากลับเริ่มใช้สตาร์ลิงก์ เพื่อเข้าถึงอินเตอร์เน็ตแทน คุณช่วยตรวจสอบเรื่องดังกล่าวได้หรือไม่

https://x.com/RangsimanRome/status/1886661931517534307


 
ดร.ปิ่นแก้ว ฉายเบื้องหลัง วิวาทะวุ่น ตัดไฟช้า สะเทือนสัมพันธ์ 3 เส้า ส่วย-ผลประโยชน์ชายแดน
https://www.matichon.co.th/politics/news_5033371

ดร.ปิ่นแก้ว ฉายสัมพันธ์ 3 เส้า เบื้องหลังวิวาทะวุ่น ตัดไฟช้า สะเทือนส่วย-หม้อข้าวชนกลุ่มน้อย 
 
เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 ศ.ดร.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยา และมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กแสดงความคิดเห็นถึงวิวาทะระหว่างหน่วยงานต่างๆ ในกรณีการระงับการส่งไฟฟ้าไปฝั่งประเทศพม่า เพื่อตัดวงจรธุรกิจสีดำ เช่น คอลเซ็นเตอร์และการผลิตยาเสพติดว่า 
 
การตัดไฟแก๊งสแกมเมอร์ที่แสนยากเย็นของรัฐไทยสะท้อนผลประโยชน์มหาศาล และความสัมพันธ์ต่างตอบแทนในเขตชายแดนที่ทุนจีนเทา BGF และหน่วยงานรัฐไทยมีต่อกันอย่างแนบแน่น และความไม่เป็นเอกภาพของรัฐบาล ที่แม้มีอำนาจก็สั่งการอะไรไม่ค่อยได้ เป็นอย่างดี
 
ผลประโยชน์ต่างตอบแทนที่ว่าได้แก่อะไรบ้าง จึงเกรงอกเกรงใจกันนักหนา ? 

1) ผลประโยชน์การขายไฟ ที่แม้ กฟภ.จะออกมาปฏิเสธว่า รายได้จากการขายไฟเฉพาะในเขตเมียวดี ถือเป็นเปอร์เซ็นที่ต่ำมาก เมื่อเทียบกับรายได้รวมทั้งหมดของ กฟภ. แต่โปรดอย่าลืมว่าสิ่งที่ไม่ถูกพูดถึง และมีการพยายามเบี่ยงเบนประเด็นน่าจะไม่ใช่แค่เรื่องเมียวดี แต่เป็น domino effect ที่จะสะเทือนถึงการขายไฟตลอดแนวชายแดนทั้งหมด หากยอมให้การตัดไฟที่เมียวดีเกิดขึ้นได้ ที่ตัวเลขรวมกันแล้วน่าจะหลักพันล้าน นายทุนใหญ่ที่ขายไฟให้การไฟฟ้า นายทุนท้องถิ่นที่เป็นนายหน้าติดตั้งระบบไฟในเมืองชายแดน และทำมาหากินกับการขายไฟต่อให้พวกแก๊งอาชญากรรมจีน ตลอดจน กฟภ.เอง ได้รับผลกระทบกันเต็มๆ ช่วงที่ผ่านมา จึงอยู่กันไม่สุข
 
2) ส่วยและการเกรงใจจีนเทา แก๊งสแกมเมอร์จีน ต้องถือว่าเป็นลูกค้ารายใหญ่และเป็นลูกค้าชั้นดีที่จ่ายส่วยเต็มเม็ดเต็มหน่วยมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา จ่ายทุกหน่วยงาน และจ่ายรอบวง ไม่ใช่แค่ให้กับกองกำลัง BGF แต่ให้กับหน่วยงานไทยที่ดูแลชายแดนทั้งหมด เป็นหน่วยงานไหนบ้าง กระทรวงมหาดไทยน่าจะทราบดี เพราะถือเป็นส่วยข้ามแดนรายใหญ่ที่มีเดิมพันสูง เนื่องเพราะเกี่ยวพันกับอาชญากรรมค้ามนุษย์ระดับโลก เมื่อปี 2566 สื่อไทยเคยรายงานข่าวเรื่องตำรวจไทยข้ามฟากไปเรียกเก็บส่วยจีนเทาในอัตราที่สูงขึ้น จน BGF โกรธถึงกับลุกขึ้นมาขู่จะปิดพรมแดน จนตำรวจต้องตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงขึ้นมา ซึ่งจนบัดนี้ไม่ปรากฏว่าผลสอบออกมาเป็นอย่างไร การตัดไฟซึ่งจะนำไปสู่การย้ายฐานของแก๊งสแกมเมอร์รายใหญ่นี้ย่อมหมายถึงการสูญเสียรายได้มหาศาลจากส่วยในชายแดนแม่สอด-เมียวดี ที่เจ้าหน้าที่รัฐไทยได้รับผลกระทบเต็มๆ
 
3) ความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ระหว่างหน่วยงานความมั่นคงไทยกับกองกำลังชนกลุ่มน้อยชายแดนที่พึ่งพาอาศัยกันและกัน และเลี้ยงดูปูเสื่อกันมายาวนาน การทุบหม้อข้าวของ BGF ด้วยการตัดไฟแก๊งสแกมเมอร์จีนย่อมส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ดังกล่าว
 
ความสัมพันธ์สามสี่เส้าขนาดนี้ ช่วยตอบคำถามว่า เหตุใดขนาดมหาอำนาจจีนเดินทางมากดดันถึงประเทศ รัฐไทยยังทำตัวน้ำท่วมปาก โยนกลองกันไปมา ซึ่งถ้าหากไม่ใช่เพราะว่านายกรัฐมนตรีกำลังจะไปจีน และต้องไปตอบคำถามเรื่องพวกนี้กับผู้นำของเขา ดิฉันก็ไม่แน่ใจว่า คำสั่งให้ตัดไฟจะสามารถออกจากปากของรองนายกรัฐมนตรีได้ในที่สุด
 
แต่ถึงจะมีคำสั่งโดยวาจาออกมาแล้วก็เถอะ เรามารอดูกันว่า จะตัดไฟจริงกันกี่โมง

https://www.facebook.com/arunothai.ruangrong/posts/pfbid02DreRZk7DY61V3q4XEw3qDXpLzKxPE7VKzeER3Fn2GmYN1wKDAvLKftypx3xpoWpGl
 


พันธุ์อาจ ร้องกกต. ขอนับคะแนนใหม่-ตรวจสอบบัตรเสีย 41,000 ใบ ตั้งข้อสังเกตกระบวนการนับคะแนน
https://www.matichon.co.th/politics/local-election/news_5033625

พันธุ์อาจ ร้องกกต. ขอนับคะแนนใหม่ ตั้งข้อสังเกตกระบวนการนับคะแนน ทบทวนบัตรเสีย 41,000 ใบ
 
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 4 กุมภาพันธ์ ที่สำนักงานคณกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประจำ จ.เชียงใหม่ นายพันธุ์อาจ ชัยรัตน์ อดีตผู้สมัคร นายก
 อบจ.เชียงใหม่ พรรคประชาชน พร้อม นายชนัตถ์ สุทธสุวรรณ อดีตผู้สมัคร ส.อบจ.อ.ดอยสะเก็ด เขต 1 เดินทางมายื่นหนังสือ เพื่อให้มีการนับคะแนนใหม่ และให้ตรวจสอบบัตรเสีย ที่มีจำนวนมากว่า 41,000 ใบ ในการเลือกตั้ง นายก อบจ.เชียงใหม่ โดย นายกฤษณ์ ไชยมาลา รองผู้อำนวยการ กกต.เชียงใหม่ ออกมารับหนังสือร้องเรียนจากตัวแทนพรรคประชาชน
 
นายกฤษณ์ ให้ข้อมูลว่า ได้รับหนังสือของผู้ร้องเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน คาดว่าต้องใช้เวลา เนื่องจากการรายงานผลการนับคะแนนในคืนวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา มีข้อเท็จจริงอยู่ และหน่วยเลือกตั้งมีมากกว่า 2,724 หน่วย ยังไม่ทราบข้อเท็จจริงว่าผู้ร้องต้องการให้ตรวจสอบหน่วยเลือกตั้งไหน โดยผลการตรวจสอบจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง
 
ทั้งนี้ กกต.มีระเบียบว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นอยู่ การนับคณะก็เป็นไปตามที่คณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งดำเนินการ โดย กกต.ได้จัดอบรมและให้ความรู้ไปแล้ว ในส่วนที่ผู้ร้องขอให้ตรวจสอบเรื่องการนับคะแนน หรือการขานคะแนนไม่ถูกต้อง กกต.ก็มีระเบียบการสืบสวน และการไต่สวนเพื่อวินิจฉัยชี้ขาด ส่วนที่จะให้ผู้สมัครทักท้วงหากเห็นว่าการขานคะแนนของกรรมการประจำหน่วยไม่ถูกต้องอย่างไร ก็ให้ทักท้วงในขณะที่นับคะแนนทันที และกรรมการจะหยุดนับ รับคำทักท้วงมาดำเนินการ รวมทั้งบันทึกในสมุดหมายเหตุเป็นหลักฐานายใต้ระเบียบที่ กกต.มีตามกรอบของกฎหมาย ซึ่ง กกต.ได้รวบรวมผลการนับคะแนนที่ประกาศไว้ต่อสาธารณะชน รายงานให้ กกต.กลางไปแล้ว จึงอยู่ที่ กกต.จะพิจารณา และมีมติ หรือมีคำสั่งอีกครั้ง
 
ส่วนเรื่องร้องเรียนการทุจริตเลือกตั้ง อบจ.เชียงใหม่ ขณะนี้ยังสามารถร้องเข้ามาได้ จึงไม่ทราบว่ามีการร้องเรียนเข้ามาเพิ่มหรือไม่ เพราะอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง แต่จากข้อมูลก่อนหน้านี้มีประมาณ 3 เรื่อง ส่วนปัญหาเรื่องบัตรเสีย ก็มีเกิดขึ้นทุกครั้งในการเลือกตั้ง และครั้งนี้ กกต.ก็พยายามหาสาเหตุอยู่ว่าเกิดจากอะไร
 
ด้านนายพันธุ์อาจ กล่าวว่า ได้รับมอบหมายจากพรรคให้มายื่นเรื่องเพื่อขอนับคะแนนใหม่ ในส่วนของบัตรเสียที่มีจำนวนมากถึง 41,000 ใบอีกครั้ง เพราะมองจากครั้งที่ผ่านมาแม้มีบัตรเสีย 41,000 กว่าใบเท่ากัน แต่ครั้งที่แล้วเป็นการเลือกตั้งวันอาทิตย์ มีประชาชนมาใช้สิทธิสูงถึง 72% แต่ครั้งนี้ลดลงเหลือ 66% ทำให้เห็นว่าบัตรเสียมีจำนวนสูงขึ้น จึงอยากให้แต่ละเขตมีการตรวจสอบว่าบัตรเสียให้ชัดเจน
 
พรรคอยากให้ตรวจสอบในภาพรวมทั้งจังหวัด และอดีตผู้สมัคร ส.อบจ.ของพรรค จะทยอยยื่นเรื่องในระดับเขตเพิ่มเติมด้วย สิ่งที่อยากตั้งข้อสังเกตเรื่องบัตรเสีย 2 ข้อ คือ มีการพูดถึงกระบวนการนับคะแนน ที่หน้าหน่วยเลือกตั้งจะมีเอกสารข้อมูลตัวอย่างบัตรเสียติดอยู่ ซึ่งบัตรเสียก็มีจำนวนเยอะมาก อาจสร้างความสับสนให้กับประชาชน และ 2 การขานคะแนน บางหน่วยเลือกตั้งได้รับข้อมูลจากประชาชนว่าขานคะแนนกันอย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงอยากให้ทบทวนบัตรเสียจำนวน 41,000 ใบอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง เพราะอาจมีบัตรดีอยู่เยอะพอสมควร” นายพันธุ์อาจ กล่าว
 
นายพันธุ์อาจ กล่าวอีกว่า จำนวนบัตรเสีย 41,000 ใบ ไม่ได้ลดลงเลย กกต.จึงต้องให้คำตอบกับสังคม วันนี้ที่พรรคมายื่นหนังสือไม่ใช่แค่ประเด็นที่พรรคสนใจ แต่ประชาชนชาวเชียงใหม่ก็ให้ความสนใจและทักท้วงมาที่พรรคจำนวนมาก จึงเป็นเรื่องของความกระจ่างและความโปร่งใสในการดำเนินการ ขณะเดียวกันวิธีการนับคะแนนแบบนี้อาจไม่ได้ตอบคำถามพัฒนาการทางการเมืองของประชาชนต่อไป กกต.จำเป็นต้องใส่นวัตกรรมทางการเมืองเข้าไป เพื่อดูแลกระบวนการเลือกตั้ง การนับคะแนน และการใช้ดุลพินิจของกรรมการประจำหน่าย เพราะ 4 ปีก่อนก็เป็นแบบนี้ ปีนี้ก็ยังเป็นแบบเดิม จึงต้องตอบคำถามประชาชนว่าจะมีแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างไร รวมทั้งการเปลี่ยนวันเลือกตั้งมาเป็นวันเสาร์ ก็ทำให้ผู้มาใช้สิทธิในเชียงใหม่ลดลงไปเยอะมาก จากที่เคยเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีอัตราส่วนการใช้สิทธิเลือกตั้งสูงถึง 72% แต่ครั้งนี้ลดเหลือ 66%


 
ชาวสมุทรปราการ ร้อง กกต.สอบซื้อเสียงเลือกตั้ง อบจ. หลักฐานแน่น ทั้งคลิป รูป เสียง
https://www.matichon.co.th/politics/local-election/news_5033390

ชาวสมุทรปราการ ร้อง กกต.สอบซื้อเสียงเลือกตั้ง อบจ. โวหลักฐานแน่น ทั้งคลิป-ภาพ-เสียง พร้อมเงิน ยันยื่นเพื่อเห็น ลต.สุจริต
 
เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นางอินทรา ผู้มีสิทธิเลือกตั้งนายกและสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ เขต อ.บางพลี เข้ายื่นเรื่องร้องเรียนถึงการทุจริตการเลือกตั้ง อบจ.ในวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา เพื่อให้ กกต.เร่งตรวจสอบ
 
นางอินทิรากล่าวว่า กลางเดือน ม.ค.มีตัวแทนผู้สมัครนายกและสมาชิก อบจ.สมุทรปราการ มาเคาะห้องผู้มีสิทธิเลือกตั้งในชุมชนแห่งหนึ่งใน อ.บางพลี  พร้อมจดชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งภายในบ้านแต่ละหลัง และมอบบัตรแนะนำตัวผู้สมัครให้กับผู้มีสิทธิเลือกตั้ง โดยระบุว่าจะให้เงินคนละ 500 บาท 
ให้เลือกสมาชิกและนายก อบจ.ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกัน หมายเลขเดียวกัน โดยตัวแทนผู้สมัครที่มาจดชื่อคนในชุมชนนั้น ตนรู้จักเป็นอย่างดี
 
นางอินทิรากล่าวว่า วันที่ 1 ก.พ. หลังการลงคะแนนเลือกตั้ง เวลาประมาณ 21.00 น. ตัวแทนผู้สมัครได้นำเงินมาจ่ายให้กับผู้มีสิทธิเลือกตั้ง แต่จ่ายเพียง 200 บาทเท่านั้น ซึ่งบางบ้านให้เด็กนำเงินไปมอบให้กับผู้มีสิทธิ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวคนในชุมชนมีการบันทึกภาพนิ่ง คลิปวิดีโอ และคลิปเสียง และยังมีภาพถ่ายเอกสารที่ผู้มีสิทธิลงลายมือชื่อยินยอมรับเงินไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งภายหลังมีคนในชุมชนที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าวนำเงินและคลิปมามอบให้ตน 1,800 บาท ขณะที่ตนไม่ได้รับเงินแต่ได้รับการจดชื่อไปเช่นเดียวกัน จึงนำเงิน พร้อมหลักฐานต่างๆ ไปยื่นคำร้องต่อ กกต.ประจำจังหวัดสมุทรปราการเรียบร้อยแล้ว และเมื่อวาน (3 ก.พ.) ได้ไปแจ้งความพร้อมหลักฐานไว้ที่ สภ.สำโรงเหนือ จ.สมุทรปราการ
 
นางอินทิรากล่าวยืนยันว่า การยื่นคำร้องต่อ กกต.กลาง มาในฐานะผู้มีสิทธิเลือกตั้ง อยากเห็นการเลือกตั้งที่สุจริตเป็นธรรม เพราะที่ผ่านมาก็ทำงานรณรงค์ไม่ให้มีการซื้อสิทธิขายเสียง และไม่ได้เป็นตัวแทนของฝ่ายที่ไม่ได้รับเลือกตั้ง แต่มายื่นคำร้องเพื่อให้เอาผิดกับคนที่ทำผิดกฎหมาย และที่ต้องมาร้อง กกต.อีกครั
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่