ในวันที่บางคนลืมลายมือตัวเองไปแล้ว แต่รู้ไหม ตลาดการค้าปากกายังโตไม่มีแผ่ว คาดการณ์ยอดขายพุ่งสูงไปถึงปี 2030 แม้บางคนจะไม่ค่อยได้ซื้อบ่อยแล้วก็ตาม
ในยุคที่เรามีเครื่องมือช่วยจำมากมาย คอยบันทึกนัดหมายต่างๆ อย่างสะดวกสบายและง่ายดาย หรือจะติดต่อพูดคุยหาใครก็พิมพ์ผ่านแอปพลิเคชันหรือโปรแกรม ไม่ต้องมานั่งเขียนจดหมายติดแสตมป์กันแล้ว แต่เคยสงสัยไหมว่า แล้วธุรกิจปากกาจะเป็นอย่างไรต่อไป
เครื่องใช้ที่ดูเหมือนจะห่างไกลไปจากชีวิตประจำวันของเรา ออกไปจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้านการสื่อสาร แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเป็นสิ่งที่ไม่เคยหายหน้าหายตาไปไหนเลย
มิหนำซ้ำ ในแง่การตลาด ธุรกิจปากกากลับยังโตไม่มีแผ่ว ภาพรวมปัจจุบันมีมูลค่าอยู่ที่ 17.2 พันล้านดอลลาร์ และคาดการณ์ว่าจะโตต่อไปอีก 3 เปอร์เซ็นต์ จนถึงปี 2030 ตามรายงานของ Cognitive Market Research บริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาด้านการตลาด และผู้เล่นรายสำคัญทั้งสายหรู Montblanc, Parker, Waterman หรือสายทั่วไปอย่าง Pilot, Uni-ball (Uni), Lamy, BIC ก็ยังอยู่กันครบ
ตามรายงานระบุว่า เหตุที่ตลาดปากกายังคงโตอย่างต่อเนื่องนั้นมาจากความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะทางด้านการศึกษา ซึ่งถือเป็นสิ่งพื้นฐานสำหรับนักเรียนและนักการศึกษา และยังยกตัวอย่างต่อว่าในบางปีจำนวนนักเรียนนักศึกษามีเพิ่มมากขึ้นจากการยกระดับการเข้าถึงเด็กที่ขาดโอกาสทางการศึกษาได้ดีขึ้นในบางพื้นที่ เช่น ตลาดปากกาในเอเชียแปซิฟิกมีความสัมพันธ์กับอัตราการรู้หนังสือที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีความต้องการอุปกรณ์เครื่องเขียนจำนวนมากขึ้นตามมา
ทำนองเดียวกัน ในโลกธุรกิจ ปากกายังเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการลงนามในสัญญา การจดบันทึกการประชุม (เร่งด่วน) และงานสำนักงานประจำวัน ความต้องการที่คงอยู่จากภาคส่วนเหล่านี้รองลงมาจากด้านการศึกษา
รวมถึงยังมีเรื่องน่าสนใจว่า การเติบโตของช่องทางอีคอมเมิร์ซถูกระบุว่ามีส่วนช่วยให้ปากกาสามารถซื้อง่ายขายคล่อง ก็ยิ่งช่วยส่งเสริมในแง่ของการเติบโตทางยอดขาย นอกเหนือจากการซื้อตามซูเปอร์มาร์เก็ตที่เราสามารถทดลองเขียนก่อนได้
ในแง่เรื่องของการใช้งาน แน่นอนว่าปากกาลูกลื่นถูกจัดอยู่ในกลุ่มสินค้าขายดีครองตลาดมากที่สุด เพราะราคาไม่แพง ใช้งานง่าย สะดวก แต่สิ่งที่เสริมการเติบโตของปากกาจริงๆ จะเป็นกลุ่มปากกาประเภทรีฟิลหรือเติมหมึกได้ ที่กำลังเป็นที่นิยมมากๆ ในตลาดปัจจุบัน เพราะเป็นตัวเลือกที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ หรือที่บางคนมองว่านวัตกรรมนี้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีข้อดีเรื่องต้นทุน ประหยัดกว่าแบบใช้แล้วทิ้ง รวมถึงปากการีฟิลมักมีดีไซน์และสไตล์ที่หลากหลาย ตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย และยังนำไปสู่การเป็นสินค้าของนักสะสมอีกอย่าง ซึ่งถือเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ผู้คนยังคงสนใจและให้ความสำคัญกับปากกากันอยู่ไม่น้อย
อย่างไรก็ดี แม้ว่าภาพรวมตลาดปากกาจะดูดีต่อไปยาวๆ แต่ก็ใช่ว่าแบรนด์ผู้ผลิตปากกาจะอยู่เฉยเสียได้ที่ไหน ในการคงอยู่ของยุคสมัยที่พฤติกรรมการเขียนลดลงในบางช่วงอายุหรือหน้าที่การงาน หลายๆ แบรนด์ก็ต้องปรับตัวอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
ตัวอย่างเช่นปากกาหรูอย่าง Parker Pen ที่หันมาใช้กลยุทธ์คอลแลบส์กับแบรนด์อื่นๆ เช่นกับ Hello Kitty รวมถึงการเน้นไปที่นวัตกรรมด้านการออกแบบหัวปากการุ่นใหม่ๆ ออกมาอยู่เสมอๆ ขณะที่แบรนด์จากเยอรมนีอย่าง Faber-Castell ที่ได้พยายามปรับกลยุทธ์โดยขยายสายการผลิตภัณฑ์ไปยังสินค้าด้านศิลปะและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสรรค์ เช่น สีไม้และเครื่องเขียนเฉพาะกลุ่ม หรือกรณีของ Sharpie ก็ได้เพิ่มสีสันและคุณสมบัติหลากหลายมากขึ้น จากปากกาสำหรับเขียนบนกระดาษไปสู่ปากกาที่เขียนได้บนวัสดุต่างๆ เช่น โลหะ ไม้ หรือแก้วเข้ามาเพิ่มเติม
ไม่นับว่าบางแบรนด์ อย่าง Montblanc ที่เพิ่มหมวดหมู่ปากกาสไตลัส (Stylus pen) ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับใช้กับสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ก็เป็นอีกส่วนที่ช่วยให้แบรนด์ปากกาสามารถเอาตัวรอดในยุคสมัยใหม่ (แต่ขอไม่นับรวมกับเรื่องนี้)
แม้ว่าใครหลายคนอาจจะไม่ได้จดหรือเขียนอะไรยาวๆ นอกจากลงลายเซ็นอย่างเดียว จนอาจลืมลายมือตัวเองไปแล้ว แถมจะใช้แต่ละทีก็ต้องขอหยิบยืมจากคนข้างเคียง แต่สิ่งที่เราไม่ได้ใช้จนหลงลืมในความจำเป็น ก็ยังคงอยู่และไม่เคยหายไปไหนในภาพรวมของตลาด
ป.ล. ใครใช้ปากการุ่นไหนกันอยู่ ลองเอามาโพสต์อวดกันในคอมเมนต์ดูสักหน่อย
ที่มา : BrandThink
ในวันที่บางคนลืมลายมือตัวเองไปแล้ว แต่รู้ไหม ตลาดการค้าปากกายังโตไม่มีแผ่ว
มิหนำซ้ำ ในแง่การตลาด ธุรกิจปากกากลับยังโตไม่มีแผ่ว ภาพรวมปัจจุบันมีมูลค่าอยู่ที่ 17.2 พันล้านดอลลาร์ และคาดการณ์ว่าจะโตต่อไปอีก 3 เปอร์เซ็นต์ จนถึงปี 2030 ตามรายงานของ Cognitive Market Research บริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาด้านการตลาด และผู้เล่นรายสำคัญทั้งสายหรู Montblanc, Parker, Waterman หรือสายทั่วไปอย่าง Pilot, Uni-ball (Uni), Lamy, BIC ก็ยังอยู่กันครบ
ตามรายงานระบุว่า เหตุที่ตลาดปากกายังคงโตอย่างต่อเนื่องนั้นมาจากความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะทางด้านการศึกษา ซึ่งถือเป็นสิ่งพื้นฐานสำหรับนักเรียนและนักการศึกษา และยังยกตัวอย่างต่อว่าในบางปีจำนวนนักเรียนนักศึกษามีเพิ่มมากขึ้นจากการยกระดับการเข้าถึงเด็กที่ขาดโอกาสทางการศึกษาได้ดีขึ้นในบางพื้นที่ เช่น ตลาดปากกาในเอเชียแปซิฟิกมีความสัมพันธ์กับอัตราการรู้หนังสือที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีความต้องการอุปกรณ์เครื่องเขียนจำนวนมากขึ้นตามมา
ทำนองเดียวกัน ในโลกธุรกิจ ปากกายังเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการลงนามในสัญญา การจดบันทึกการประชุม (เร่งด่วน) และงานสำนักงานประจำวัน ความต้องการที่คงอยู่จากภาคส่วนเหล่านี้รองลงมาจากด้านการศึกษา
รวมถึงยังมีเรื่องน่าสนใจว่า การเติบโตของช่องทางอีคอมเมิร์ซถูกระบุว่ามีส่วนช่วยให้ปากกาสามารถซื้อง่ายขายคล่อง ก็ยิ่งช่วยส่งเสริมในแง่ของการเติบโตทางยอดขาย นอกเหนือจากการซื้อตามซูเปอร์มาร์เก็ตที่เราสามารถทดลองเขียนก่อนได้
ในแง่เรื่องของการใช้งาน แน่นอนว่าปากกาลูกลื่นถูกจัดอยู่ในกลุ่มสินค้าขายดีครองตลาดมากที่สุด เพราะราคาไม่แพง ใช้งานง่าย สะดวก แต่สิ่งที่เสริมการเติบโตของปากกาจริงๆ จะเป็นกลุ่มปากกาประเภทรีฟิลหรือเติมหมึกได้ ที่กำลังเป็นที่นิยมมากๆ ในตลาดปัจจุบัน เพราะเป็นตัวเลือกที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ หรือที่บางคนมองว่านวัตกรรมนี้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีข้อดีเรื่องต้นทุน ประหยัดกว่าแบบใช้แล้วทิ้ง รวมถึงปากการีฟิลมักมีดีไซน์และสไตล์ที่หลากหลาย ตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย และยังนำไปสู่การเป็นสินค้าของนักสะสมอีกอย่าง ซึ่งถือเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ผู้คนยังคงสนใจและให้ความสำคัญกับปากกากันอยู่ไม่น้อย
อย่างไรก็ดี แม้ว่าภาพรวมตลาดปากกาจะดูดีต่อไปยาวๆ แต่ก็ใช่ว่าแบรนด์ผู้ผลิตปากกาจะอยู่เฉยเสียได้ที่ไหน ในการคงอยู่ของยุคสมัยที่พฤติกรรมการเขียนลดลงในบางช่วงอายุหรือหน้าที่การงาน หลายๆ แบรนด์ก็ต้องปรับตัวอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
ตัวอย่างเช่นปากกาหรูอย่าง Parker Pen ที่หันมาใช้กลยุทธ์คอลแลบส์กับแบรนด์อื่นๆ เช่นกับ Hello Kitty รวมถึงการเน้นไปที่นวัตกรรมด้านการออกแบบหัวปากการุ่นใหม่ๆ ออกมาอยู่เสมอๆ ขณะที่แบรนด์จากเยอรมนีอย่าง Faber-Castell ที่ได้พยายามปรับกลยุทธ์โดยขยายสายการผลิตภัณฑ์ไปยังสินค้าด้านศิลปะและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสรรค์ เช่น สีไม้และเครื่องเขียนเฉพาะกลุ่ม หรือกรณีของ Sharpie ก็ได้เพิ่มสีสันและคุณสมบัติหลากหลายมากขึ้น จากปากกาสำหรับเขียนบนกระดาษไปสู่ปากกาที่เขียนได้บนวัสดุต่างๆ เช่น โลหะ ไม้ หรือแก้วเข้ามาเพิ่มเติม
ไม่นับว่าบางแบรนด์ อย่าง Montblanc ที่เพิ่มหมวดหมู่ปากกาสไตลัส (Stylus pen) ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับใช้กับสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ก็เป็นอีกส่วนที่ช่วยให้แบรนด์ปากกาสามารถเอาตัวรอดในยุคสมัยใหม่ (แต่ขอไม่นับรวมกับเรื่องนี้)
แม้ว่าใครหลายคนอาจจะไม่ได้จดหรือเขียนอะไรยาวๆ นอกจากลงลายเซ็นอย่างเดียว จนอาจลืมลายมือตัวเองไปแล้ว แถมจะใช้แต่ละทีก็ต้องขอหยิบยืมจากคนข้างเคียง แต่สิ่งที่เราไม่ได้ใช้จนหลงลืมในความจำเป็น ก็ยังคงอยู่และไม่เคยหายไปไหนในภาพรวมของตลาด
ป.ล. ใครใช้ปากการุ่นไหนกันอยู่ ลองเอามาโพสต์อวดกันในคอมเมนต์ดูสักหน่อย
ที่มา : BrandThink