เปิดเหตุผลทำไมแบรนด์ไอศกรีมจีน-อินโดนีเซีย แห่ลงทุนในไทย นักวิเคราะห์ชี้ แท้จริงอยากไปทุกประเทศในโลก แต่อาเซียนค่าแรงถูก-คนท้องถิ่นชอบรสชาติเผ็ดร้อน บ้างก็ว่า “จีน” ใช้อาหารเป็น “ซอฟต์ พาวเวอร์” แต่ยังไม่ได้ผล ส่วนใหญ่มองของกินแยกขาดจากข้อพิพาทด้านภูมิรัฐศาสตร์
แม้ว่าคนจีนจะโล้สำเภาขึ้นฝั่งที่ประเทศไทยตั้งแต่ 100 ปีก่อนหน้า แต่การมาถึงของทุนจีนช่วงทศวรรษ 2020 กลับเข้มข้นมากกว่าที่เคยปรากฏ ตั้งแต่สินค้าเทคโนโลยีไปจนถึงของกินของใช้ โดยเฉพาะร้านอาหารราคาย่อมเยาที่ถูกจับตามองมากเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะด้วยกำลังการผลิต ทรัพยากรที่ถึงพร้อม หรือการจัดการซัพพลายเชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งหมดนำไปสู่ปรากฏการณ์ “ทุบตลาด” ของทุนจีนที่ยังทยอยตบเท้าเข้ามาเปิดกิจการในไทยเป็นจำนวนมาก
ทำไมจีนต้องออกมาทำธุรกิจนอกประเทศ แล้วที่ผ่านมาจีนอยู่ตรงไหนของโลก? เรื่องนี้ “บุญชัย ลิ่มอติบูลย์” ผู้ร่วมก่อตั้ง “Pundai” ที่มีประสบการณ์คร่ำหวอดการทำธุรกิจในประเทศจีนมากกว่า 15 ปี บอกว่า เป็นเพราะในประเทศจีนไม่สามารถดันภาคธุรกิจโตต่อได้อีกแล้ว โดยเฉพาะแบรนด์ที่ยังไม่เคยลงทุนนอกประเทศ กลุ่มนี้มีการระดมทุนจากนักลงทุนทั้งหมด
แน่นอนว่า สิ่งที่นักลงทุนต้องการ คือการเติบโตและกำไรอีก 10-20 เท่าตัว ในเมื่อจีนตอบโจทย์ไม่ได้แล้ว จากโดมิโน่กรณี “ANT Financial Group” โดนสกัดกั้น ซัพพลายฝั่งอสังหาริมทรัพย์ล้น เศรษฐกิจในประเทศย่ำแย่ กำลังซื้อหดหาย เงินจากบรรดานักลงทุนที่เคยหมุนเวียนในธุรกิจแพลตฟอร์มออนไลน์ จึงไหลมาสู่สินค้าอุปโภคบริโภค บิวตี้ และเครื่องประดับ ตลาดต่างประเทศจึงเป็นคำตอบที่ดีที่สุดในสมการ โดยมีประเทศไทยเป็นหนึ่งในหมุดหมายสำคัญด้วย
มุมมองของคนในประเทศอย่างเราๆ อาจมองว่า ทำไมจีนจ้องจะบุกแต่ประเทศไทยเท่านั้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว “จีน” ไม่ได้มองไทยเป็นตัวเลือกแรกๆ ด้วยซ้ำไป “บุญชัย” บอกว่า โซนที่จีนอยากขยายธุรกิจมากที่สุด คือฝั่งสหรัฐ เพราะจำนวนประชากรที่มีมากถึง “500 ล้านคน” ทว่า ไม่กี่ปีที่ผ่านมาบรรดาบริษัทอาหารและเครื่องดื่มจากจีนกลับทยอยกรีฑาทัพเข้ามายังประเทศไทย รวมถึงประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากเป็นพิเศษ
รายงานจากสำนักข่าว “Nikkei Asia” ระบุว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อเมริกาเหนือ และยุโรป คือโซนที่จีนขยายธุรกิจเป็นจำนวนมาก ส่วนหนึ่งมาจากเหตุผลเรื่องภาวะอิ่มตัวภายในประเทศ โดยสถิติจาก “Huafu Securities” บริษัทหลักทรัพย์ในจีนระบุว่า ปี 2565 มีการจดทะเบียนธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในจีนเกือบๆ 3.19 ล้านแห่ง เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าราว 24.2% ขณะที่การจ้างงานและการจ่ายเงินเดือนให้กับบริษัทสัญชาติจีนในต่างประเทศเติบโตขึ้นโดยเฉลี่ย 200% แทบทุกปี ซึ่งในปี 2567 ก็พบว่า บริษัทอาหารและเครื่องดื่มจากจีนทยอยเปิดรับสมัครพนักงานสาขาต่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
อย่างร้านหม้อไฟ “ไหตี่เลา” (Haidilao) น่าจะเป็นเจ้าแรกๆ ที่ขยายกิจการไปต่างประเทศตั้งแต่ 12 ปีที่แล้ว ส่วนร้านอื่นๆ ที่กำลังทยอยเข้าสู่ตลาดและได้รับความสนใจจากต่างชาติก็มี “ไท่เออร์” (Tai Er) โดดเด่นด้วยเมนูต้มปลาผักกาดดอง เจาะตลาดสิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย สหรัฐ รวมถึงไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ “มี่เสวี่ย” (Mixue) เครือร้านชานมไข่มุกและซอฟต์เสิร์ฟที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน ปัจจุบันขยายกิจการครอบคลุม 11 ประเทศทั่วโลก มีสาขานอกประเทศมากถึง 4,000 แห่ง
ดูๆ แล้ว เหมือนว่าแทบทุกแบรนด์จะพุ่งตรงมายังฝั่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กันหมด ซึ่งผู้บริหาร “PayInOne” บริษัทจัดจ้างและจ่ายเงินเดือนให้กับบุคลากรชาวจีนในต่างประเทศ บอกว่า เหตุผลที่แบรนด์จีนเลือกภูมิภาคนี้เกิดจากการพิจารณาปัจจัยเรื่องต้นทุนการจ้างพนักงานที่มีราคาต่ำกว่าภูมิภาคอื่นๆ รวมถึงการจัดการที่สะดวกสบายกว่า หากธุรกิจที่นี่แข็งแรงในระดับหนึ่งแล้ว จังหวะต่อไปค่อยเป็นการคิดวางแผนไปยังฝั่งยุโรป ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอเมริกาเหนือ
สำหรับประเทศที่โดดเด่นและได้รับความสนใจมากที่สุดในภูมิภาคไม่ใช่ไทย แต่เป็น “อินโดนีเซีย” ที่มีจำนวนประชากรกว่า 282 ล้านคน ทั้งยังมีรสนิยมเรื่องอาหารการกินคล้ายกับจีนในเรื่องความเผ็ดร้อน เมื่อบวกกับค่าแรงที่ต่ำกว่าจีนหรือภูมิภาคอื่นๆ จึงทำให้เกิด “Break Even Point” หรือจุดคุ้มทุนค่อนข้างไวราวๆ 6 เดือนถึง 1 ปีเท่านั้น
กราฟิก: รัตนากร หัวเวียง
'ไทย' กลายเป็นหมุดหมายของไอศกรีม-ชานม ราคาประหยัด