PDPC Eagle Eye กำลังตรวจสอบข่าวข้อมูลลูกค้า OPPO หลุด
https://prachatai.com/journal/2025/01/112012
ศูนย์เฝ้าระวังการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลโพสต์แจ้งว่ากำลังตรวจสอบข่าวข้อมูลผู้ใช้ OPPO หลุด 165 กิกะไบต์ หรือข้อมูลลูกค้า 22 ล้านชุดถูกขาย หลังจากมีการเปิดเผยโดยเว็บไซต์ไซเบอร์เพรสตั้งแต่ 13 ธ.ค.2567
23 ม.ค.2568
ศูนย์เฝ้าระวังการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPC Eagle Eye โพสต์ทางเฟซบุ๊กว่า กำลังดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่มีการเปิดเผยว่ามีข้อมูลผู้ใช้งาน OPPO ถูกนำไปขายบนเว็บบอร์ดแห่งหนึ่งที่ใช้ซื้อขายข้อมูลด้วยราคา 20,000 เหรียญสหรัฐฯ และมีการระบุถึง OPPO Thailand ให้ติดต่อหากต้องการคืน
โดยในกระทู้ขายข้อมูลดังกล่าวถูกตั้งโดยผู้ใช้ชื่อ SSL_Dragon โดยระบุถึงประเภทของข้อมูลที่นำมาขายนอกจากข้อมูลลูกค้าจำนวน 22 ล้านบันทึกแล้วยังมีข้อมูลฝ่ายบุคคลทั้งหมด ข้อมูลคู่ค้า การบริการ บิ๊กเดต้าที่ใช้ในการประมวลผล รวมถึงเลข IMEI ของโทรศัพท์และข้อมูลการเงินของบริษัท
ทั้งนี้การเปิดเผยครั้งนี้เริ่มมาจากเว็บไซต์ด้านความปลอดภัยไซเบอร์ชื่อ Cyber Press ตั้งแต่วันที่ 13 ธ.ค.2567 ที่ผ่านมาแล้ว
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีการรายงานว่าเกี่ยวข้องกับกรณีที่บริษัทเพิ่งมีข่าวในประเด็นบังคับลงแอพลิเคชั่น fineasy ในเครื่องของลูกค้าที่ได้มีการแก้ไขแล้วหรือไม่อย่างไร
https://www.facebook.com/pdpceagleeye/posts/pfbid098jvZgFuLtg42EsRz159bSNSDa5QuPttLKTzMhYbuNRqqEoc2rYNnkQqARm6cjskl
เท้ง ยินดี กม.สมรสเท่าเทียมบังคับใช้วันแรก เชื่อประชาชนตัดสินใจได้ พรรคไหนผลักดันมาตลอด
https://www.matichon.co.th/politics/news_5013386
เท้ง ยินดี กฎหมายสมรสเท่าเทียมประกาศใช้วันแรก มอง เป็นผลงานของส.ส.ทุกคน เชื่อประชาชนตัดสินใจได้ พรรคไหนผลักดันมาตลอด
เมื่อเวลา 11.50 น. วันที่ 23 มกราคม ที่รัฐสภา นาย
ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ.2567 หรือสมรสเท่าเทียม มีผลใช้บังคับอย่างเป็นทางการวันแรกว่า ขอแสดงความยินดีกับประชาชนทุกคนที่ช่วยกัน ผลักดันกฎหมายฉบับนี้มาต่อเนื่องหลาย 10 ปี ถือเป็นโอกาสอันดีที่คู่รักทุกคู่ ไม่ว่าจะเป็นเพศใดก็ตาม มีโอกาสสมรสเท่าเทียมกัน กฎหมายฉบับนี้ยังได้รับรองสิทธิต่างๆ ไม่ว่าการเซ็นรักษาพยาบาลแทนกัน ระบบสวัสดิการในส่วนของภาครัฐ อีกทั้งยังมีประเด็นต่อเนื่องที่พรรคประชาชนจะต้องไปผลักดันต่อในเรื่องสิทธิสวัสดิการของภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกองทัพ ยังมีกฎหมายที่เป็นระดับรองอยู่ ที่แต่เดิมอ้างอิงกับข้อกฎหมายที่เป็นสมรสชายหญิง พรรคประชาชนจะเป็นปากเป็นเสียง ผลักดันให้มีการแก้ไขกฎหมายอันดับรอง เพื่อให้ทุกคู่รักมีสิทธิการเบิกสวัสดิการให้เท่าเทียมกัน
ส่วนเป็นผลงานของพรรคด้วยหรือไม่นั้น นาย
ณัฐพงษ์ ระบุว่า เป็นผลงานของผู้แทนราษฎรทุกคนที่โหวตฐานร่างกฎหมายฉบับนี้ เชื่อว่าประชาชนจะตัดสินใจได้ว่าพรรคการเมืองใดบ้างที่ช่วยสนับสนุนร่างกฎหมายอย่างต่อเนื่อง
โรม ชวนจับตา 29 ม.ค. กฟภ. ถกตัดไฟส่งเมียนมาหรือไม่ กมธ.เล็งตั้งอนุฯ ศึกษาปัญหา ค้ามนุษย์-แก๊งคอล
https://www.matichon.co.th/politics/news_5013623
โรม ชวนจับตา 29 ม.ค. กฟภ. ถกตัดไฟส่งเมียนมาหรือไม่ กมธ.เล็งตั้งอนุฯ ศึกษาปัญหาค้ามนุษย์-แก๊งคอล เสนอแนวทางชงสภา-รบ.
เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 23 มกราคม ที่รัฐสภา นาย
รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร แถลงผลการประชุมพิจารณาศึกษาและติดตามความคืบหน้า การแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการฟอกเงินการใช้บัญชีม้า และการซื้อขายไฟฟ้าบริเวณชายแดนแม่สาย ว่า วันนี้กระทรวงมหาดไทยไม่ได้เข้าร่วมการประชุม โดยได้รับแจ้งด้วยวาจาว่า เป็นการมอบหมายให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เข้าร่วมประชุม และทางมหาดไทยไม่ได้ส่งตัวแทน เนื่องจากติดภารกิจลงพื้นที่ จ.สงขลา ซึ่งตนอยู่ระหว่างติดตามไปที่มหาดไทย ว่าติดภารกิจอะไร เพราะไม่มีใครเป็นตัวแทนกระทรวงมาชี้แจงต่อกมธ.
นาย
รังสิมันต์กล่าวต่อว่า ประเด็นสำคัญคือมีการขายไฟฟ้าให้เพื่อนบ้านนอกประเทศ อยู่ประมาณ 17 จุด หลายจุดอยู่ที่เมียนมา และอาจสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์และขบวนการยาเสพติดหรือไม่ โดย 2 จุดสำคัญที่มีการพิจารณาและให้น้ำหนัก อยู่ในพื้นที่ทางแม่สอด ขายไฟไปยังเมียวดี และพื้นที่แม่สาย จ.เชียงราย ไปยังท่าขี้เหล็ก ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายยาเสพติด ที่มีการจับกุมและอยู่ระหว่างดำเนินคดีของกระบวนการยุติธรรม
นาย
รังสิมันต์ กล่าวว่า จุดแรกฝั่งแม่สอด เราได้ข้อมูลสำคัญว่า บริษัทคู่สัญญากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคคือ บริษัท SMTY โดยพันตรี
ติ่งวิน เป็นระดับแกนนำของกองกำลัง BGF หรือ KNA และเข้าใจว่า พันโท
หม่อง ชิตตู เป็นแกนนำคนสำคัญ ซึ่งกองกำลังกลุ่มนี้มีบทบาทสำคัญในการให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์เช่าพื้นที่ที่ตั้งอยู่เมียวดี ก็หมายความว่า เราจะเห็นข้อต่อสำคัญว่า บริษัท SMTY มีความเกี่ยวโยงกับกองกำลังที่ดูแลในพื้นที่เมียวดี ดังนั้นแทบไม่ต่างกับการที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ทำสัญญาขายไฟให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยตรง
และจุดที่สองคือ ทางแม่สาย ผ่านไปยังท่าขี้เหล็ก วันนี้มีการเปลี่ยนคู่สัญญา ปรากฏว่ามีบริษัทใหม่เข้ามาทำหน้าที่ชื่อ แอสตร้าอิเล็คทริค จดทะเบียนในปี 2566 แต่มีความน่าสงสัย เพราะทุนจดทะเบียนมีแค่ 1 ล้านบาท และคีย์แมนของบริษัทนี้เป็นสุภาพสตรี อายุค่อนข้างน้อย ไม่แน่ใจว่า มีเบื้องหลังหรือประสบการณ์อย่างไร ในการเข้ามาทำสัญญากับการไฟฟ้า เบื้องต้นยังไม่มีการเซ็นสัญญา แต่การไฟฟ้าได้ตอบคำถามกับกรรมาธิการ ว่ามีการคัดเลือกคุณสมบัติอย่างไร ซึ่งการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค บอกว่า ทางการไฟฟ้าท่าขี้เหล็กเสนอมา เขาก็เอามาพิจารณาเบื้องต้น จึงดูค่อนข้างแปลกประหลาดว่าทำไมการไฟฟ้าต้องไปยอมรับตามที่ทางท่าขี้เหล็กเสนอมา แทนที่จะใช้อำนาจของเราตรวจสอบก่อน ซึ่งตามหลัก KYC ควรจะต้องดูเบื้องหลังของคู่สัญญา ที่มาทำสัญญาขายไฟฟ้าด้วย จึงต้องสงสัยว่ามีการขายไฟฟ้าให้กับนอร์มินีของกลุ่มที่เป็นเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่
นาย
รังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมากรรมาธิการพยายามถามหลายครั้ง แต่การไฟฟ้าก็ไม่ได้มีข้อมูลชี้แจงว่า จะตัดไฟเลย เท่าที่ตนทราบจะมีการประชุมในวันที่ 29 ม.ค.นี้ โดยมี 3 แนวทางคือ 1.การไฟฟ้าอาจคงสภาพการขายไฟแบบนี้ต่อไป โดยไม่ได้สนใจว่าไฟนี้จะตกไปอยู่ในมือของใครบ้าง 2.ต่อขยายสัญญาบางส่วน (ปัจจุบันสัญญาสัมปทานของ SMTY กำลังจะหมดลง) 3.การตัดไฟ ทำให้ไฟฟ้าไม่ตกอยู่ภายใต้เงื้อมมืออาชญากรข้ามชาติ ซึ่ง 3 แนวทางนี้ เป็นไปได้หมด การไฟฟ้าไม่สามารถให้ข้อมูลกับกรรมาธิการได้ว่า ผลที่ออกมาจากจะเป็นอย่างไร ก็ต้องรอการประชุมบอร์ด และคนที่มีอำนาจตัดสินใจในบอร์ด ก็ไม่ได้มาประชุมด้วยในวันนี้ ทำให้ไม่สามารถทราบได้
นาย
รังสิมันต์กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม การไฟฟ้าพยายามบอกว่าไม่มีศักยภาพดูเรื่องความมั่นคง เพราะดูแค่เรื่องไฟ ไม่รู้ว่าไฟของเขาจะตกไปในมืออาชญากรหรือไม่ ก็จำเป็นต้องให้ฝ่ายความมั่นคงเป็นคนช่วยชี้แนะ ดังนั้น ทางสมช. จึงแจ้งด้วยวาจากับการไฟฟ้า ว่าจะขอเข้าประชุมด้วย เพราะสิ่งที่มีการดำเนินการอยู่ ตอนนี้ ค่อนข้างกระทบต่อความมั่นคง ซึ่งกมธ.ความมั่นคงฯ ก็จะทำหนังสือสนับสนุน สมช. ไปยังการไฟฟ้าด้วย
ทั้งนี้ การไฟฟ้าไม่อยากตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่ขอลองฟังจากหน่วยงานความมั่นคงต่างๆ ทำให้ไม่สามารถตัดไฟก่อนได้ แต่กรรมาธิการก็อยากให้การไฟฟ้ารับฟังข่าวสารที่เมียนมาแถลงว่า ที่สแกมเมอร์ตั้งกันอยู่ได้ เกิดจากการที่ประเทศไทยขายไฟให้ การไฟฟ้าต้องเอาข้อมูลส่วนนี้ไปพิจารณาด้วย และคาดหวังว่าวันที่ 29 ม.ค. จะมีข่าวดีในเรื่องนี้ และนำไปสู่การตัดไฟ เพื่อทำให้ขบวนการอาชญากรข้ามชาติ มีความอ่อนแอมากขึ้น
นาย
รังสิมันต์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ต้องมีการหารือปัญหาท่าข้าม ที่ข้ามไปยังเมียวดี โดย สมช. แจ้งว่า จ.ตาก มี 59 ท่าข้าม ซึ่งอาจมีความจำเป็นที่ต้องทบทวนลดจำนวนท่าข้ามเหล่านี้ เนื่องจากไม่สามารถดูแลปัญหาความมั่นคงที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยวันที่ 31 ม.ค. สมช. จะมีการประชุม ก็คาดหวังว่าจะนำไปสู่การปรับลดแก้ปัญหาท่าข้าม
นาย
รังสิมันต์ กล่าวว่า สัปดาห์ที่แล้วในการประชุมสภามีผู้เสนอญัตติด่วนด้วยวาจาเรื่องเกี่ยวกับปัญหาการค้ามนุษย์ ซึ่งได้ข้อสรุปในสภาว่าจะส่งเรื่องมาที่กรรมาธิการความมั่นคงฯ ซึ่งกรรมการก็จะตั้งอนุกรรมธิการขึ้นมา มีนายชุติพงศ์ พิภพภิญโญ สส.ระยอง พรรคประชาชน เป็นประธานอนุกมธ. ชุดดังกล่าว
“
ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่คนไทยเสียหาย แต่คนทั่วโลก การท่องเที่ยวของไทยก็เสียหาย ดังนั้น ตนคิดว่าเป็นวาระเร่งด่วนที่เราต้องจัดการอย่างจริงจัง ทางกกรรมาธิการทำเองไม่ได้ เราไม่มีอำนาจในการสั่งการ แต่หวังว่าคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทยที่คุมการไฟฟ้า ตนอยากให้ใช้โอกาสนี้ในการเร่งรัดเพื่อดำเนินการ” นาย
รังสิมันต์ กล่าว
ด้าน นาย
ชุติพงศ์ กล่าวว่า เราได้มีการพูดคุยถึงกรอบอนุกมธ.ฯ โดยนำเสนอต่อสภา เพื่อเสนอแนะต่อรัฐบาล รวมถึงการแก้ไขปัญหาต่อไป ซึ่งความจริงเรื่องแก๊งคอลเซนเตอร์ และการค้ามนุษย์ เป็นปัญหาใกล้ตัวที่ทุกคนรู้ว่าเป็นปัญหาใหญ่ และหลายคนในประเทศต้องจบชีวิตลง หมดเนื้อหมดตัว ซึ่งเราต้องพยายามหาทางแก้ปัญหานี้ โดยจะระดมความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด รวมถึงการเสนอแก้กฎหมาย ส่วนเรื่องท่าทีรัฐบาลไทยต่อกรณีแก๊งคอลเซนเตอร์ ต้องมีความจริงจังมากกว่านี้ ไม่ควรนิ่งเฉย โดยอนุกรมมาธิการ มีกรอบศึกษาอยู่ภายใน 90 วัน
กมธ.การเมือง ถกเข้ม ยกเลิกหลักสูตร บ.ย.ส. ‘ผู้พิพากษา’ หนุนด้วย ห้าม ศาล ร่วมเรียนสร้างคอนเนกชั่น
https://www.matichon.co.th/politics/news_5013815
กมธ.พัฒนาการเมืองฯ ถกหน่วยงานเกี่ยวข้องยกเลิกหลักสูตร บ.ย.ส.-วปอ.-วตท. หวั่น เอื้อระบบอุปถัมภ์ ด้าน ‘พิพากษา’ ชี้ ความน่าเชื่อถือเป็นเรื่องสำคัญของอาชีพนี้-ถ้าไม่มีพวกจะเป็นกลางได้อย่างสนิทใจ
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 23 มกราคม ที่รัฐสภา ในการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร ที่มี นาย
พริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) เป็นประธาน กมธ.ฯ วาระ พิจารณาข้อเสนอยกเลิกหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บ.ย.ส.) และกำหนด ไม่ให้ผู้พิพากษาเข้าร่วมอบรมหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) หลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงการเมืองการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย (ปปร.) หลักสูตรผู้บริหารระดับสูงสถาบันวิทยาการตลาดทุน (วตท.) หรือหลักสูตรอื่นในลักษณะเดียวกัน
โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมชี้แจงดังนี้ 1. นายกรัฐมนตรี 2. ประธานศาลฎีกา 3. ผู้อำนวยการหลักสูตร บ.ย.ส. 4. ผศ.
เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง 5. ศ.พิเศษ
ธงทอง จันทรางศุ 6. นาย
บุญเขตร์ พุ่มทิพย์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลภาษีอากรกลางช่วยทำงานชั่วคราวในตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกา กรรมการบริหารศาลยุติธรรม และ 7. นาย
อนุรักษ์ สง่าอารีย์กูล ผู้พิพากษาศาลฎีกาและกรรมการตุลาการ
JJNY : 5in1 ตรวจสอบข่าวข้อมูลลูกค้า OPPO หลุด│เท้งเชื่อปชช.ตัดสินใจได้│โรมชวนจับตา│กมธ.การเมือง ถกเข้ม│หุ้นไทยปิดร่วง
https://prachatai.com/journal/2025/01/112012
ศูนย์เฝ้าระวังการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลโพสต์แจ้งว่ากำลังตรวจสอบข่าวข้อมูลผู้ใช้ OPPO หลุด 165 กิกะไบต์ หรือข้อมูลลูกค้า 22 ล้านชุดถูกขาย หลังจากมีการเปิดเผยโดยเว็บไซต์ไซเบอร์เพรสตั้งแต่ 13 ธ.ค.2567
23 ม.ค.2568 ศูนย์เฝ้าระวังการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPC Eagle Eye โพสต์ทางเฟซบุ๊กว่า กำลังดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่มีการเปิดเผยว่ามีข้อมูลผู้ใช้งาน OPPO ถูกนำไปขายบนเว็บบอร์ดแห่งหนึ่งที่ใช้ซื้อขายข้อมูลด้วยราคา 20,000 เหรียญสหรัฐฯ และมีการระบุถึง OPPO Thailand ให้ติดต่อหากต้องการคืน
โดยในกระทู้ขายข้อมูลดังกล่าวถูกตั้งโดยผู้ใช้ชื่อ SSL_Dragon โดยระบุถึงประเภทของข้อมูลที่นำมาขายนอกจากข้อมูลลูกค้าจำนวน 22 ล้านบันทึกแล้วยังมีข้อมูลฝ่ายบุคคลทั้งหมด ข้อมูลคู่ค้า การบริการ บิ๊กเดต้าที่ใช้ในการประมวลผล รวมถึงเลข IMEI ของโทรศัพท์และข้อมูลการเงินของบริษัท
ทั้งนี้การเปิดเผยครั้งนี้เริ่มมาจากเว็บไซต์ด้านความปลอดภัยไซเบอร์ชื่อ Cyber Press ตั้งแต่วันที่ 13 ธ.ค.2567 ที่ผ่านมาแล้ว
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีการรายงานว่าเกี่ยวข้องกับกรณีที่บริษัทเพิ่งมีข่าวในประเด็นบังคับลงแอพลิเคชั่น fineasy ในเครื่องของลูกค้าที่ได้มีการแก้ไขแล้วหรือไม่อย่างไร
https://www.facebook.com/pdpceagleeye/posts/pfbid098jvZgFuLtg42EsRz159bSNSDa5QuPttLKTzMhYbuNRqqEoc2rYNnkQqARm6cjskl
เท้ง ยินดี กม.สมรสเท่าเทียมบังคับใช้วันแรก เชื่อประชาชนตัดสินใจได้ พรรคไหนผลักดันมาตลอด
https://www.matichon.co.th/politics/news_5013386
เท้ง ยินดี กฎหมายสมรสเท่าเทียมประกาศใช้วันแรก มอง เป็นผลงานของส.ส.ทุกคน เชื่อประชาชนตัดสินใจได้ พรรคไหนผลักดันมาตลอด
เมื่อเวลา 11.50 น. วันที่ 23 มกราคม ที่รัฐสภา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ.2567 หรือสมรสเท่าเทียม มีผลใช้บังคับอย่างเป็นทางการวันแรกว่า ขอแสดงความยินดีกับประชาชนทุกคนที่ช่วยกัน ผลักดันกฎหมายฉบับนี้มาต่อเนื่องหลาย 10 ปี ถือเป็นโอกาสอันดีที่คู่รักทุกคู่ ไม่ว่าจะเป็นเพศใดก็ตาม มีโอกาสสมรสเท่าเทียมกัน กฎหมายฉบับนี้ยังได้รับรองสิทธิต่างๆ ไม่ว่าการเซ็นรักษาพยาบาลแทนกัน ระบบสวัสดิการในส่วนของภาครัฐ อีกทั้งยังมีประเด็นต่อเนื่องที่พรรคประชาชนจะต้องไปผลักดันต่อในเรื่องสิทธิสวัสดิการของภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกองทัพ ยังมีกฎหมายที่เป็นระดับรองอยู่ ที่แต่เดิมอ้างอิงกับข้อกฎหมายที่เป็นสมรสชายหญิง พรรคประชาชนจะเป็นปากเป็นเสียง ผลักดันให้มีการแก้ไขกฎหมายอันดับรอง เพื่อให้ทุกคู่รักมีสิทธิการเบิกสวัสดิการให้เท่าเทียมกัน
ส่วนเป็นผลงานของพรรคด้วยหรือไม่นั้น นายณัฐพงษ์ ระบุว่า เป็นผลงานของผู้แทนราษฎรทุกคนที่โหวตฐานร่างกฎหมายฉบับนี้ เชื่อว่าประชาชนจะตัดสินใจได้ว่าพรรคการเมืองใดบ้างที่ช่วยสนับสนุนร่างกฎหมายอย่างต่อเนื่อง
โรม ชวนจับตา 29 ม.ค. กฟภ. ถกตัดไฟส่งเมียนมาหรือไม่ กมธ.เล็งตั้งอนุฯ ศึกษาปัญหา ค้ามนุษย์-แก๊งคอล
https://www.matichon.co.th/politics/news_5013623
โรม ชวนจับตา 29 ม.ค. กฟภ. ถกตัดไฟส่งเมียนมาหรือไม่ กมธ.เล็งตั้งอนุฯ ศึกษาปัญหาค้ามนุษย์-แก๊งคอล เสนอแนวทางชงสภา-รบ.
เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 23 มกราคม ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร แถลงผลการประชุมพิจารณาศึกษาและติดตามความคืบหน้า การแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการฟอกเงินการใช้บัญชีม้า และการซื้อขายไฟฟ้าบริเวณชายแดนแม่สาย ว่า วันนี้กระทรวงมหาดไทยไม่ได้เข้าร่วมการประชุม โดยได้รับแจ้งด้วยวาจาว่า เป็นการมอบหมายให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เข้าร่วมประชุม และทางมหาดไทยไม่ได้ส่งตัวแทน เนื่องจากติดภารกิจลงพื้นที่ จ.สงขลา ซึ่งตนอยู่ระหว่างติดตามไปที่มหาดไทย ว่าติดภารกิจอะไร เพราะไม่มีใครเป็นตัวแทนกระทรวงมาชี้แจงต่อกมธ.
นายรังสิมันต์กล่าวต่อว่า ประเด็นสำคัญคือมีการขายไฟฟ้าให้เพื่อนบ้านนอกประเทศ อยู่ประมาณ 17 จุด หลายจุดอยู่ที่เมียนมา และอาจสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์และขบวนการยาเสพติดหรือไม่ โดย 2 จุดสำคัญที่มีการพิจารณาและให้น้ำหนัก อยู่ในพื้นที่ทางแม่สอด ขายไฟไปยังเมียวดี และพื้นที่แม่สาย จ.เชียงราย ไปยังท่าขี้เหล็ก ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายยาเสพติด ที่มีการจับกุมและอยู่ระหว่างดำเนินคดีของกระบวนการยุติธรรม
นายรังสิมันต์ กล่าวว่า จุดแรกฝั่งแม่สอด เราได้ข้อมูลสำคัญว่า บริษัทคู่สัญญากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคคือ บริษัท SMTY โดยพันตรี ติ่งวิน เป็นระดับแกนนำของกองกำลัง BGF หรือ KNA และเข้าใจว่า พันโท หม่อง ชิตตู เป็นแกนนำคนสำคัญ ซึ่งกองกำลังกลุ่มนี้มีบทบาทสำคัญในการให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์เช่าพื้นที่ที่ตั้งอยู่เมียวดี ก็หมายความว่า เราจะเห็นข้อต่อสำคัญว่า บริษัท SMTY มีความเกี่ยวโยงกับกองกำลังที่ดูแลในพื้นที่เมียวดี ดังนั้นแทบไม่ต่างกับการที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ทำสัญญาขายไฟให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยตรง
และจุดที่สองคือ ทางแม่สาย ผ่านไปยังท่าขี้เหล็ก วันนี้มีการเปลี่ยนคู่สัญญา ปรากฏว่ามีบริษัทใหม่เข้ามาทำหน้าที่ชื่อ แอสตร้าอิเล็คทริค จดทะเบียนในปี 2566 แต่มีความน่าสงสัย เพราะทุนจดทะเบียนมีแค่ 1 ล้านบาท และคีย์แมนของบริษัทนี้เป็นสุภาพสตรี อายุค่อนข้างน้อย ไม่แน่ใจว่า มีเบื้องหลังหรือประสบการณ์อย่างไร ในการเข้ามาทำสัญญากับการไฟฟ้า เบื้องต้นยังไม่มีการเซ็นสัญญา แต่การไฟฟ้าได้ตอบคำถามกับกรรมาธิการ ว่ามีการคัดเลือกคุณสมบัติอย่างไร ซึ่งการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค บอกว่า ทางการไฟฟ้าท่าขี้เหล็กเสนอมา เขาก็เอามาพิจารณาเบื้องต้น จึงดูค่อนข้างแปลกประหลาดว่าทำไมการไฟฟ้าต้องไปยอมรับตามที่ทางท่าขี้เหล็กเสนอมา แทนที่จะใช้อำนาจของเราตรวจสอบก่อน ซึ่งตามหลัก KYC ควรจะต้องดูเบื้องหลังของคู่สัญญา ที่มาทำสัญญาขายไฟฟ้าด้วย จึงต้องสงสัยว่ามีการขายไฟฟ้าให้กับนอร์มินีของกลุ่มที่เป็นเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่
นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมากรรมาธิการพยายามถามหลายครั้ง แต่การไฟฟ้าก็ไม่ได้มีข้อมูลชี้แจงว่า จะตัดไฟเลย เท่าที่ตนทราบจะมีการประชุมในวันที่ 29 ม.ค.นี้ โดยมี 3 แนวทางคือ 1.การไฟฟ้าอาจคงสภาพการขายไฟแบบนี้ต่อไป โดยไม่ได้สนใจว่าไฟนี้จะตกไปอยู่ในมือของใครบ้าง 2.ต่อขยายสัญญาบางส่วน (ปัจจุบันสัญญาสัมปทานของ SMTY กำลังจะหมดลง) 3.การตัดไฟ ทำให้ไฟฟ้าไม่ตกอยู่ภายใต้เงื้อมมืออาชญากรข้ามชาติ ซึ่ง 3 แนวทางนี้ เป็นไปได้หมด การไฟฟ้าไม่สามารถให้ข้อมูลกับกรรมาธิการได้ว่า ผลที่ออกมาจากจะเป็นอย่างไร ก็ต้องรอการประชุมบอร์ด และคนที่มีอำนาจตัดสินใจในบอร์ด ก็ไม่ได้มาประชุมด้วยในวันนี้ ทำให้ไม่สามารถทราบได้
นายรังสิมันต์กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม การไฟฟ้าพยายามบอกว่าไม่มีศักยภาพดูเรื่องความมั่นคง เพราะดูแค่เรื่องไฟ ไม่รู้ว่าไฟของเขาจะตกไปในมืออาชญากรหรือไม่ ก็จำเป็นต้องให้ฝ่ายความมั่นคงเป็นคนช่วยชี้แนะ ดังนั้น ทางสมช. จึงแจ้งด้วยวาจากับการไฟฟ้า ว่าจะขอเข้าประชุมด้วย เพราะสิ่งที่มีการดำเนินการอยู่ ตอนนี้ ค่อนข้างกระทบต่อความมั่นคง ซึ่งกมธ.ความมั่นคงฯ ก็จะทำหนังสือสนับสนุน สมช. ไปยังการไฟฟ้าด้วย
ทั้งนี้ การไฟฟ้าไม่อยากตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่ขอลองฟังจากหน่วยงานความมั่นคงต่างๆ ทำให้ไม่สามารถตัดไฟก่อนได้ แต่กรรมาธิการก็อยากให้การไฟฟ้ารับฟังข่าวสารที่เมียนมาแถลงว่า ที่สแกมเมอร์ตั้งกันอยู่ได้ เกิดจากการที่ประเทศไทยขายไฟให้ การไฟฟ้าต้องเอาข้อมูลส่วนนี้ไปพิจารณาด้วย และคาดหวังว่าวันที่ 29 ม.ค. จะมีข่าวดีในเรื่องนี้ และนำไปสู่การตัดไฟ เพื่อทำให้ขบวนการอาชญากรข้ามชาติ มีความอ่อนแอมากขึ้น
นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ต้องมีการหารือปัญหาท่าข้าม ที่ข้ามไปยังเมียวดี โดย สมช. แจ้งว่า จ.ตาก มี 59 ท่าข้าม ซึ่งอาจมีความจำเป็นที่ต้องทบทวนลดจำนวนท่าข้ามเหล่านี้ เนื่องจากไม่สามารถดูแลปัญหาความมั่นคงที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยวันที่ 31 ม.ค. สมช. จะมีการประชุม ก็คาดหวังว่าจะนำไปสู่การปรับลดแก้ปัญหาท่าข้าม
นายรังสิมันต์ กล่าวว่า สัปดาห์ที่แล้วในการประชุมสภามีผู้เสนอญัตติด่วนด้วยวาจาเรื่องเกี่ยวกับปัญหาการค้ามนุษย์ ซึ่งได้ข้อสรุปในสภาว่าจะส่งเรื่องมาที่กรรมาธิการความมั่นคงฯ ซึ่งกรรมการก็จะตั้งอนุกรรมธิการขึ้นมา มีนายชุติพงศ์ พิภพภิญโญ สส.ระยอง พรรคประชาชน เป็นประธานอนุกมธ. ชุดดังกล่าว
“ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่คนไทยเสียหาย แต่คนทั่วโลก การท่องเที่ยวของไทยก็เสียหาย ดังนั้น ตนคิดว่าเป็นวาระเร่งด่วนที่เราต้องจัดการอย่างจริงจัง ทางกกรรมาธิการทำเองไม่ได้ เราไม่มีอำนาจในการสั่งการ แต่หวังว่าคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทยที่คุมการไฟฟ้า ตนอยากให้ใช้โอกาสนี้ในการเร่งรัดเพื่อดำเนินการ” นายรังสิมันต์ กล่าว
ด้าน นายชุติพงศ์ กล่าวว่า เราได้มีการพูดคุยถึงกรอบอนุกมธ.ฯ โดยนำเสนอต่อสภา เพื่อเสนอแนะต่อรัฐบาล รวมถึงการแก้ไขปัญหาต่อไป ซึ่งความจริงเรื่องแก๊งคอลเซนเตอร์ และการค้ามนุษย์ เป็นปัญหาใกล้ตัวที่ทุกคนรู้ว่าเป็นปัญหาใหญ่ และหลายคนในประเทศต้องจบชีวิตลง หมดเนื้อหมดตัว ซึ่งเราต้องพยายามหาทางแก้ปัญหานี้ โดยจะระดมความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด รวมถึงการเสนอแก้กฎหมาย ส่วนเรื่องท่าทีรัฐบาลไทยต่อกรณีแก๊งคอลเซนเตอร์ ต้องมีความจริงจังมากกว่านี้ ไม่ควรนิ่งเฉย โดยอนุกรมมาธิการ มีกรอบศึกษาอยู่ภายใน 90 วัน
กมธ.การเมือง ถกเข้ม ยกเลิกหลักสูตร บ.ย.ส. ‘ผู้พิพากษา’ หนุนด้วย ห้าม ศาล ร่วมเรียนสร้างคอนเนกชั่น
https://www.matichon.co.th/politics/news_5013815
กมธ.พัฒนาการเมืองฯ ถกหน่วยงานเกี่ยวข้องยกเลิกหลักสูตร บ.ย.ส.-วปอ.-วตท. หวั่น เอื้อระบบอุปถัมภ์ ด้าน ‘พิพากษา’ ชี้ ความน่าเชื่อถือเป็นเรื่องสำคัญของอาชีพนี้-ถ้าไม่มีพวกจะเป็นกลางได้อย่างสนิทใจ
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 23 มกราคม ที่รัฐสภา ในการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) เป็นประธาน กมธ.ฯ วาระ พิจารณาข้อเสนอยกเลิกหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บ.ย.ส.) และกำหนด ไม่ให้ผู้พิพากษาเข้าร่วมอบรมหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) หลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงการเมืองการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย (ปปร.) หลักสูตรผู้บริหารระดับสูงสถาบันวิทยาการตลาดทุน (วตท.) หรือหลักสูตรอื่นในลักษณะเดียวกัน
โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมชี้แจงดังนี้ 1. นายกรัฐมนตรี 2. ประธานศาลฎีกา 3. ผู้อำนวยการหลักสูตร บ.ย.ส. 4. ผศ.เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง 5. ศ.พิเศษธงทอง จันทรางศุ 6. นายบุญเขตร์ พุ่มทิพย์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลภาษีอากรกลางช่วยทำงานชั่วคราวในตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกา กรรมการบริหารศาลยุติธรรม และ 7. นายอนุรักษ์ สง่าอารีย์กูล ผู้พิพากษาศาลฎีกาและกรรมการตุลาการ