"เมื่อจิตเคลื่อน เมื่อใด...
ก็เป็นสมมติสังขารเมื่อนั้น ท่านจึงให้พิจารณาสังขาร คือ จิตมันเคลื่อนไหวนั่นเอง
เมื่อมันเคลื่อนออกไปก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เมื่อผู้รู้ รู้ตามความเป็นจริงของจิต
หรือเจตสิกเหล่านี้ จิต ก็ไม่ใช่เรา
สิ่งเหล่านี้...มีแต่ของทิ้งทั้งหมดไม่ควรเข้าไปยึด ไปหมายมั่นทั้งนั้น
เหมือนกับตะเกียงเป็นตัวผู้รู้
แสงสว่างของตะเกียง มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน มันเกิดจากผู้รู้อันนี้
ถ้าจิตนี้...ไม่มี ผู้รู้ ก็ไม่มีเช่นกัน
มันคืออาการของพวกนี้ ฉะนั้น...สิ่งเหล่านี้
รวมแล้วเป็นนามหมด ท่านว่า จิตนี้ก็ชื่อว่าจิต มิใช่สัตว์ มิใช่บุคคล มิใช่ตัว มิใช่ตน มิใช่เรา มิใช่เขา ธรรมนี้ก็สักว่าธรรม มิใช่ตัวตน เรา เขา ไม่เป็นอะไร...ท่านให้เอาที่ไหน
เวทนา ก็ดี สัญญา ก็ดี สิ่งทั้งหลายเหล่านี้...
ล้วนแต่...เป็นขันธ์ห้า ท่านให้วาง
สิ่งทั้งหลายที่จิตคิดไปทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้ ล้วนเป็นสังขารทั้งหมด
เมื่อรู้แล้ว...ท่านให้วาง
เมื่อรู้แล้ว...ท่านให้ละ
ให้รู้สิ่งเหล่านี้ตามความเป็นจริง ถ้าไม่รู้ตามความเป็นจริงก็ทุกข์ ก็ไม่วางสิ่งเหล่านี้ได้
เมื่อรู้ตามความเป็นจริงแล้ว สิ่งเหล่านี้...ก็เป็นของหลอกลวง
สมกับที่พระศาสดาตรัสว่าจิตนี้ ไม่มี...อะไร
ไม่เกิดตามใคร ไม่ตายกับใคร
จิตเป็นเสรีรุ่งโรจน์โชติการ ไม่มี...เรื่องราวต่างๆ เข้าไปอยู่ในที่นั้น...
ที่จะมีเรื่องราว ก็เพราะมันหลงสังขาร นี่เอง
หลงอัตตา นี่เอง
พระศาสนดาจึงให้มองดูจิตของเรา
เบื้องแรกมันมีอะไร ไม่มี...อะไรจริงๆ
สิ่งเหล่านี้ มิได้เกิดด้วย มิได้ตายด้วย
ถูกอารมณ์ดีมากระทบ ก็มิได้ดีด้วย
ถูกอารมณ์ร้ายมากระทบ ก็มิได้ร้ายไปด้วย เพราะรู้ตัวของตัวอย่างชัดเจนรู้ว่า...
สภาวะเหล่านั้น...ไม่เป็นแก่นสาร ท่านเห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ตัวผู้รู้นี้ รู้ตามความเป็นจริง
ผู้รู้...มิได้ดีใจไปด้วย มิได้เสียใจไปด้วย
อาการ ที่ดีใจไปด้วยนั่นแหละเกิด
อาการ ที่เสียใจไปด้วยนั่นแหละตาย
ถ้ามันตาย ก็เกิด ถ้ามันเกิด ก็ตาย
ตัวที่เกิดที่ตายนี่แหละ เป็นวัฏฏะ เวียนว่าย
ตาย-เกิด อยู่...ไม่หยุด
เมื่อจิตผู้ปฏิบัติเป็นอยู่อย่างนั้น
ไม่ต้องสงสัย ภพมีไหน ชาติมีไหม ไม่ต้องถามใคร พิจารณาอาการสังขารเหล่านี้ แล้ว...
จึงได้ปล่อยวาง...สังขาร วาง...ขันธ์เหล่านี้
เป็นเพียงผู้รับทราบไว้เฉยๆ
มันจะดีขึ้นมา ท่านก็ไม่ดีกับมัน
เป็นคนดูอยู่เฉยๆ
ถ้ามันร้ายขึ้นมา ท่านก็ไม่ร้ายกับมัน
เพราะมันขาดจากปัจจัยแล้ว
เมื่อรู้ตามความเป็นจริง ปัจจัยที่จะส่งเสริม
ให้เกิด...ไม่มี
เมื่อถูกอารมณ์ที่ไม่ชอบใจมากระทบ
มันก็เกิดเป็นอาการขึ้นกับใจเรา
เราติดมันไหม
เราวางมันได้ไหม
อาการ ที่ไม่ชอบใจนั้น...เกิดขึ้นมา
เรารู้แล้ว...ผู้รู้ เอาความไม่ชอบ
ไว้ในใจหรือเปล่า หรือว่าเห็นแล้ววาง
ถ้าเห็นสิ่งที่ไม่ชอบใจ แล้ว...
ยังเอาไว้ในใจของเรา ให้เรียนใหม่
เพราะยังผิดอยู่ ยังไม่ยิ่ง
ถ้ามันยิ่งแล้ว...มันวาง ให้ดูอย่างนี้.."
หลวงพ่อชา สุภัทโท
วัดหนองป่าพง อ. วารินชำราบ จ. อุบลราชธานี
จิตดคลื่อนเมื่อใดเป็นสมมุติสังขารเมื่อนั้น
ก็เป็นสมมติสังขารเมื่อนั้น ท่านจึงให้พิจารณาสังขาร คือ จิตมันเคลื่อนไหวนั่นเอง
เมื่อมันเคลื่อนออกไปก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เมื่อผู้รู้ รู้ตามความเป็นจริงของจิต
หรือเจตสิกเหล่านี้ จิต ก็ไม่ใช่เรา
สิ่งเหล่านี้...มีแต่ของทิ้งทั้งหมดไม่ควรเข้าไปยึด ไปหมายมั่นทั้งนั้น
เหมือนกับตะเกียงเป็นตัวผู้รู้
แสงสว่างของตะเกียง มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน มันเกิดจากผู้รู้อันนี้
ถ้าจิตนี้...ไม่มี ผู้รู้ ก็ไม่มีเช่นกัน
มันคืออาการของพวกนี้ ฉะนั้น...สิ่งเหล่านี้
รวมแล้วเป็นนามหมด ท่านว่า จิตนี้ก็ชื่อว่าจิต มิใช่สัตว์ มิใช่บุคคล มิใช่ตัว มิใช่ตน มิใช่เรา มิใช่เขา ธรรมนี้ก็สักว่าธรรม มิใช่ตัวตน เรา เขา ไม่เป็นอะไร...ท่านให้เอาที่ไหน
เวทนา ก็ดี สัญญา ก็ดี สิ่งทั้งหลายเหล่านี้...
ล้วนแต่...เป็นขันธ์ห้า ท่านให้วาง
สิ่งทั้งหลายที่จิตคิดไปทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้ ล้วนเป็นสังขารทั้งหมด
เมื่อรู้แล้ว...ท่านให้วาง
เมื่อรู้แล้ว...ท่านให้ละ
ให้รู้สิ่งเหล่านี้ตามความเป็นจริง ถ้าไม่รู้ตามความเป็นจริงก็ทุกข์ ก็ไม่วางสิ่งเหล่านี้ได้
เมื่อรู้ตามความเป็นจริงแล้ว สิ่งเหล่านี้...ก็เป็นของหลอกลวง
สมกับที่พระศาสดาตรัสว่าจิตนี้ ไม่มี...อะไร
ไม่เกิดตามใคร ไม่ตายกับใคร
จิตเป็นเสรีรุ่งโรจน์โชติการ ไม่มี...เรื่องราวต่างๆ เข้าไปอยู่ในที่นั้น...
ที่จะมีเรื่องราว ก็เพราะมันหลงสังขาร นี่เอง
หลงอัตตา นี่เอง
พระศาสนดาจึงให้มองดูจิตของเรา
เบื้องแรกมันมีอะไร ไม่มี...อะไรจริงๆ
สิ่งเหล่านี้ มิได้เกิดด้วย มิได้ตายด้วย
ถูกอารมณ์ดีมากระทบ ก็มิได้ดีด้วย
ถูกอารมณ์ร้ายมากระทบ ก็มิได้ร้ายไปด้วย เพราะรู้ตัวของตัวอย่างชัดเจนรู้ว่า...
สภาวะเหล่านั้น...ไม่เป็นแก่นสาร ท่านเห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ตัวผู้รู้นี้ รู้ตามความเป็นจริง
ผู้รู้...มิได้ดีใจไปด้วย มิได้เสียใจไปด้วย
อาการ ที่ดีใจไปด้วยนั่นแหละเกิด
อาการ ที่เสียใจไปด้วยนั่นแหละตาย
ถ้ามันตาย ก็เกิด ถ้ามันเกิด ก็ตาย
ตัวที่เกิดที่ตายนี่แหละ เป็นวัฏฏะ เวียนว่าย
ตาย-เกิด อยู่...ไม่หยุด
เมื่อจิตผู้ปฏิบัติเป็นอยู่อย่างนั้น
ไม่ต้องสงสัย ภพมีไหน ชาติมีไหม ไม่ต้องถามใคร พิจารณาอาการสังขารเหล่านี้ แล้ว...
จึงได้ปล่อยวาง...สังขาร วาง...ขันธ์เหล่านี้
เป็นเพียงผู้รับทราบไว้เฉยๆ
มันจะดีขึ้นมา ท่านก็ไม่ดีกับมัน
เป็นคนดูอยู่เฉยๆ
ถ้ามันร้ายขึ้นมา ท่านก็ไม่ร้ายกับมัน
เพราะมันขาดจากปัจจัยแล้ว
เมื่อรู้ตามความเป็นจริง ปัจจัยที่จะส่งเสริม
ให้เกิด...ไม่มี
เมื่อถูกอารมณ์ที่ไม่ชอบใจมากระทบ
มันก็เกิดเป็นอาการขึ้นกับใจเรา
เราติดมันไหม
เราวางมันได้ไหม
อาการ ที่ไม่ชอบใจนั้น...เกิดขึ้นมา
เรารู้แล้ว...ผู้รู้ เอาความไม่ชอบ
ไว้ในใจหรือเปล่า หรือว่าเห็นแล้ววาง
ถ้าเห็นสิ่งที่ไม่ชอบใจ แล้ว...
ยังเอาไว้ในใจของเรา ให้เรียนใหม่
เพราะยังผิดอยู่ ยังไม่ยิ่ง
ถ้ามันยิ่งแล้ว...มันวาง ให้ดูอย่างนี้.."
หลวงพ่อชา สุภัทโท
วัดหนองป่าพง อ. วารินชำราบ จ. อุบลราชธานี