ใจ (จิต) ไม่ดับ
ร่างกายจะดับก็ดับไป แต่ใจยังเป็นอกาลิโกอยู่ เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น เป็นธาตุรู้ ผู้รู้ แต่ขาดปัญญาไม่สามารถแยกแยะตนเองออกจากสิ่งที่คลุกเคล้าอยู่ด้วย (ขันธ์ 5) เมื่อไปคลุกเคล้าอยู่กับสิ่งที่มีการเกิดดับ (ขันธ์ 5) ก็เลยคิดว่าตนเองเกิดดับไปด้วย
ทุกข์เพราะใจหลง ใจไม่ยอมรับความจริง
เรา แท้จริง คือ ธาตุรู้ หรือ ผู้รู้ ใช้เรียกมันว่า จิตใจบ้าง เป็นดวงวิญญาณบ้าง กายทิพย์บ้าง คือ ธาตุรู้ทั้งนั้น
ธรรม = อสังขาร + สังขาร
อสังขาร = ธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุและธาตุรู้ (จิตหรือใจ)
ธาตุ 4 นี้รวมกันแยกกันตามเหตุปัจจัย แต่ไม่เสื่อมจากความเป็นธาตุ จึงไม่เป็นอนิจจังแต่เป็นอนัตตา
สังขาร = สิ่งที่เกิดจากการรวมตัวของธาตุ 4 และอากาศธาตุ
สังขารถ้ามี “ธาตุรู้” (จิตหรือใจ) ไปครอบครอง ก็คือ คน สัตว์
สังขารนี้ไม่เที่ยง (อนิจจัง) ทำให้เกิดทุกข์ในธาตุรู้ (ทุกขัง) และแตกสลายกลับกลายเป็นธาตุ 4 (อนัตตา)
เมื่อ ธรรม = อสังขาร + สังขาร ธรรมะทั้งปวงจึงเป็นอนัตตา
ธาตุรู้ ที่มีอวิชขาครอบงำ ก็มี “ความอยาก” (ตัณหา) ให้สังขารนี้เป็น นิจจัง สุขัง อัตตา
ธาตุรู้ ที่ไม่มีอวิชชา คือ มีปัญญา ก็ไม่อยากให้สังขารเป็น นิจจัง สุขัง อัตตา เพราะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ อยากแล้วก็จะทุกข์
พอหยุดความอยากต่างๆ ที่อยู่ในใจหมดไป ธาตุรู้จะเป็นธาตุที่สะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมา ธาตุรู้นี้เราจะเรียกว่า นิพพานธาตุ เป็นธาตุที่จะไม่มีร่างกายใหม่อีกต่อไป จะไม่ประกอบกับธาตุ 4 คือ ร่างกายอันใหม่เพราะมีร่างกายทีไร มันก็มีการแก่ การเจ็บ การตาย
ธาตุรู้ของพระพุทธเจ้า ธาตุรู้ของพระอรหันตสาวก ท่านอยู่ตามลำพัง ท่านไม่ต้องมีร่างกาย ไม่ต้องมีรูป เสียง กลิ่น รส ไม่ต้องมีลาภ ยศ สรรเสริญ มาให้ความสุขกับธาตุรู้ เพราะธาตุรู้ที่สะอาดบริสุทธิ์นี้เต็มเปี่ยมไปด้วยบรมสุขนั่นเอง ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง ความสุขอันสูงสุด คือ ความสุขของพระนิพพาน
ที่มา หนังสือ ธาตุรู้
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ใจ (จิต) ไม่ดับ
ร่างกายจะดับก็ดับไป แต่ใจยังเป็นอกาลิโกอยู่ เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น เป็นธาตุรู้ ผู้รู้ แต่ขาดปัญญาไม่สามารถแยกแยะตนเองออกจากสิ่งที่คลุกเคล้าอยู่ด้วย (ขันธ์ 5) เมื่อไปคลุกเคล้าอยู่กับสิ่งที่มีการเกิดดับ (ขันธ์ 5) ก็เลยคิดว่าตนเองเกิดดับไปด้วย
ทุกข์เพราะใจหลง ใจไม่ยอมรับความจริง
เรา แท้จริง คือ ธาตุรู้ หรือ ผู้รู้ ใช้เรียกมันว่า จิตใจบ้าง เป็นดวงวิญญาณบ้าง กายทิพย์บ้าง คือ ธาตุรู้ทั้งนั้น
ธรรม = อสังขาร + สังขาร
อสังขาร = ธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุและธาตุรู้ (จิตหรือใจ)
ธาตุ 4 นี้รวมกันแยกกันตามเหตุปัจจัย แต่ไม่เสื่อมจากความเป็นธาตุ จึงไม่เป็นอนิจจังแต่เป็นอนัตตา
สังขาร = สิ่งที่เกิดจากการรวมตัวของธาตุ 4 และอากาศธาตุ
สังขารถ้ามี “ธาตุรู้” (จิตหรือใจ) ไปครอบครอง ก็คือ คน สัตว์
สังขารนี้ไม่เที่ยง (อนิจจัง) ทำให้เกิดทุกข์ในธาตุรู้ (ทุกขัง) และแตกสลายกลับกลายเป็นธาตุ 4 (อนัตตา)
เมื่อ ธรรม = อสังขาร + สังขาร ธรรมะทั้งปวงจึงเป็นอนัตตา
ธาตุรู้ ที่มีอวิชขาครอบงำ ก็มี “ความอยาก” (ตัณหา) ให้สังขารนี้เป็น นิจจัง สุขัง อัตตา
ธาตุรู้ ที่ไม่มีอวิชชา คือ มีปัญญา ก็ไม่อยากให้สังขารเป็น นิจจัง สุขัง อัตตา เพราะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ อยากแล้วก็จะทุกข์
พอหยุดความอยากต่างๆ ที่อยู่ในใจหมดไป ธาตุรู้จะเป็นธาตุที่สะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมา ธาตุรู้นี้เราจะเรียกว่า นิพพานธาตุ เป็นธาตุที่จะไม่มีร่างกายใหม่อีกต่อไป จะไม่ประกอบกับธาตุ 4 คือ ร่างกายอันใหม่เพราะมีร่างกายทีไร มันก็มีการแก่ การเจ็บ การตาย
ธาตุรู้ของพระพุทธเจ้า ธาตุรู้ของพระอรหันตสาวก ท่านอยู่ตามลำพัง ท่านไม่ต้องมีร่างกาย ไม่ต้องมีรูป เสียง กลิ่น รส ไม่ต้องมีลาภ ยศ สรรเสริญ มาให้ความสุขกับธาตุรู้ เพราะธาตุรู้ที่สะอาดบริสุทธิ์นี้เต็มเปี่ยมไปด้วยบรมสุขนั่นเอง ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง ความสุขอันสูงสุด คือ ความสุขของพระนิพพาน
ที่มา หนังสือ ธาตุรู้
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต