บ้านของฉันอยู่ตรงข้ามโรงพยาบาลขนาดเล็ก ที่เป็นเพียงตึกแถวสามชั้นสองห้องติดกัน แต่ในสมัยนั้นเพียงเท่านี้ก็ทันสมัยมากแล้ว
อากงเคยเล่าว่า เจ้าของโรงพยาบาล ตอนเรียนจบมาจากเมืองนอกใหม่ ๆ ขี่จักรยานรักษาผู้คนตามบ้าน คุ้นเคยกับอากงเป็นอย่างดี
เมืองนอกในที่นี้ฉันก็ไม่รู้ว่าจบจากที่ไหนแต่ในสมัยนั้นฟังดูหรูหราเหลือเกิน
โรงพยาบาลจึงเป็นสนามเด็กเล่นของเด็ก ๆ บ้านฉัน แค่ข้ามถนนเพื่อที่จะไปวิ่งขึ้นลงทางลาดที่มีไว้สำหรับรถเข็นแค่นั้นก็สนุกเหลือเกิน
บางครั้งเสียงดังเกินไปจนพี่ที่ห้องยาต้องมาไล่กลับบ้าน จนหลัง ๆ พวกผู้ใหญ่ขู่ว่าทางลาดนั้นเขาใช้เข็นรถเข็นศพ จากนั้นพวกเด็ก ก็ไม่เฉียดไปใกล้อีกเลย
น้องคนสุดท้องของฉันคลอดที่โรงพยาบาล
เป็นคนเดียวในบ้านที่คลอดโรงพยาบาล ส่วนพี่ ๆ ล้วนผ่านมือหมอตำแยใกล้ ๆ บ้าน
ตอนอยู่โรงพยาบาลอาม่าจะทำกับข้าวไปให้แม่สามเวลา
เด็ก ๆจะแย่งกันอาสาเป็นคนส่งกับข้าว ไม่ใช่เป็นคนดีอยากช่วยเหลือหรอก แต่อยากไปรอกินอาหารของโรงพยาบาลน่ะ เพราะอาม่าให้แม่กินอาหารฝีมืออาม่า ส่วนอาหารโรงพยาบาลก็จะเป็นของเด็กที่ส่งอาหาร
อาม่าจะทำเมนูสำหรับ แม่ลูกอ่อน
“หมูจู้ขิง”
เป็นเมนูหนึ่งที่ฉันก็ชอบเช่นกัน
แต่ในตอนนั้นฉันไม่สนใจหรอก ฉันสนใจรออาหารถาดที่ทางโรงพยาบาลยกมาส่งให้แม่ต่างหาก
ถ้วยเล็กถ้วยน้อย แถมมีขนมหวานด้วยไม่ได้อร่อยกว่าอาหารของอาม่า แต่คงอยากกินเพราะความแปลกนั่นเอง
หมูจู้ขิง เนื้อหมูหั่นเป็นชิ้นเล็กๆผัดกับขิงเยอะ ๆ
หอมใหญ่นิดหน่อยเต้าเจี้ยวอีกนิด
อาม่าผัดรวมกันจนเละแล้วเติมน้ำพอขลุกขลิกกลิ่นหอมน่ากินเชียว ไม่ต้องเติมเครื่องปรุงอะไรมากมาย บางครั้งเหยาะเหล้าจีนลงไปนิดหน่อย
อาม่าบอกว่าเป็นอาหารเรียกน้ำนมกับสร้างความอบอุ่นให้ร่างกายคนป่วย
ถ้าฉันป่วย นี่ก็เป็นเมนูหนึ่งที่ฉันเรียกร้องจะขอกินเสมอ แต่ของฉันไม่ใส่น้ำ ฉันชอบผัดแห้ง ๆ กินกับข้าวต้ม
ตอนนั้นเข้าใจว่า คือหมูผัดขิง แต่พอโตขึ้นมาพบว่า หน้าตาไม่ได้เหมือนกับหมูผัดขิงที่ขายตามร้านข้าวราดแกงปัจจุบันเพราะอาม่าไม่ได้ใส่ต้นหอมหรือเห็ดหูหนูหรือมะเขือเทศหรืออะไรก็ตามที่ร้านข้าวแกงใส่กัน
เลยไม่แน่ใจว่า เมนูที่ฉันชอบกินในตอนนั้น เรียกว่าอะไรกันแน่…
เล่าเรื่องอาหาร หมูจู้ขิง
อากงเคยเล่าว่า เจ้าของโรงพยาบาล ตอนเรียนจบมาจากเมืองนอกใหม่ ๆ ขี่จักรยานรักษาผู้คนตามบ้าน คุ้นเคยกับอากงเป็นอย่างดี
เมืองนอกในที่นี้ฉันก็ไม่รู้ว่าจบจากที่ไหนแต่ในสมัยนั้นฟังดูหรูหราเหลือเกิน
โรงพยาบาลจึงเป็นสนามเด็กเล่นของเด็ก ๆ บ้านฉัน แค่ข้ามถนนเพื่อที่จะไปวิ่งขึ้นลงทางลาดที่มีไว้สำหรับรถเข็นแค่นั้นก็สนุกเหลือเกิน
บางครั้งเสียงดังเกินไปจนพี่ที่ห้องยาต้องมาไล่กลับบ้าน จนหลัง ๆ พวกผู้ใหญ่ขู่ว่าทางลาดนั้นเขาใช้เข็นรถเข็นศพ จากนั้นพวกเด็ก ก็ไม่เฉียดไปใกล้อีกเลย
น้องคนสุดท้องของฉันคลอดที่โรงพยาบาล
เป็นคนเดียวในบ้านที่คลอดโรงพยาบาล ส่วนพี่ ๆ ล้วนผ่านมือหมอตำแยใกล้ ๆ บ้าน
ตอนอยู่โรงพยาบาลอาม่าจะทำกับข้าวไปให้แม่สามเวลา
เด็ก ๆจะแย่งกันอาสาเป็นคนส่งกับข้าว ไม่ใช่เป็นคนดีอยากช่วยเหลือหรอก แต่อยากไปรอกินอาหารของโรงพยาบาลน่ะ เพราะอาม่าให้แม่กินอาหารฝีมืออาม่า ส่วนอาหารโรงพยาบาลก็จะเป็นของเด็กที่ส่งอาหาร
อาม่าจะทำเมนูสำหรับ แม่ลูกอ่อน
“หมูจู้ขิง”
เป็นเมนูหนึ่งที่ฉันก็ชอบเช่นกัน
แต่ในตอนนั้นฉันไม่สนใจหรอก ฉันสนใจรออาหารถาดที่ทางโรงพยาบาลยกมาส่งให้แม่ต่างหาก
ถ้วยเล็กถ้วยน้อย แถมมีขนมหวานด้วยไม่ได้อร่อยกว่าอาหารของอาม่า แต่คงอยากกินเพราะความแปลกนั่นเอง
หมูจู้ขิง เนื้อหมูหั่นเป็นชิ้นเล็กๆผัดกับขิงเยอะ ๆ
หอมใหญ่นิดหน่อยเต้าเจี้ยวอีกนิด
อาม่าผัดรวมกันจนเละแล้วเติมน้ำพอขลุกขลิกกลิ่นหอมน่ากินเชียว ไม่ต้องเติมเครื่องปรุงอะไรมากมาย บางครั้งเหยาะเหล้าจีนลงไปนิดหน่อย
อาม่าบอกว่าเป็นอาหารเรียกน้ำนมกับสร้างความอบอุ่นให้ร่างกายคนป่วย
ถ้าฉันป่วย นี่ก็เป็นเมนูหนึ่งที่ฉันเรียกร้องจะขอกินเสมอ แต่ของฉันไม่ใส่น้ำ ฉันชอบผัดแห้ง ๆ กินกับข้าวต้ม
ตอนนั้นเข้าใจว่า คือหมูผัดขิง แต่พอโตขึ้นมาพบว่า หน้าตาไม่ได้เหมือนกับหมูผัดขิงที่ขายตามร้านข้าวราดแกงปัจจุบันเพราะอาม่าไม่ได้ใส่ต้นหอมหรือเห็ดหูหนูหรือมะเขือเทศหรืออะไรก็ตามที่ร้านข้าวแกงใส่กัน
เลยไม่แน่ใจว่า เมนูที่ฉันชอบกินในตอนนั้น เรียกว่าอะไรกันแน่…