JJNY : ตลาดแตก! “พิธา”หาเสียง ถนนคนเดินอุดร│กมธ.ทหารลุย สอบค่ายอดิศร│กทม.ลุยเก็บกระทง จัดจนท. 185 คน│ไบเดนเตือนโลกรับมือ

ตลาดแตก! “พิธา” หาเสียงถนนคนเดินอุดร พร้อมอ้อนพ่อรักฟ้า
https://www.pptvhd36.com/news/การเมือง/236730
 
 
“พิธา” ตลาดแตก! เดินถนนคนเดินอุดรช่วยหาเสียงศึกเลือกตั้ง นายกอบจ. พร้อมอ้อนพ่อรักฟ้า ขอบคุณที่ยังไม่ลืมกัน เมิน “ทักษิณ” พาดพิง
 
ช่วงเย็นที่ผ่านมา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่ปรึกษาประธานคณะก้าวหน้า ในฐานะผู้ช่วยหาเสียง เดินทางมาถนนคนเดินอุดรธานี เพื่อหาเสียงช่วยนายคณิศร ขุริรัง ผู้สมัครนายกอบจ.อุดรธานี ของพรรคประชาชน 
 
โดยระหว่างเดินถนนคนเดิน ได้มีแฟนคลับมวลชนมาพบปะกับนายพิธา  ขอถ่ายรูปเซลฟี่ ช่วงหนึ่งมีแฟนคลับตะโกน “ ฟ้ารักพ่อ” และนายพิธาก็ตะโกนกลับตอบว่า “ พ่อก็รักฟ้า”  และ “นายกฯตัวจริง” ช่วงหนึ่งพ่อค้าแม่ค้า อย่างร้านกิ๊ฟช็อปก็ได้มอบกิ๊ฟน่ารักฝาก ไปให้ลูกสาวของนายพิธา หรือน้องพี่พิม

โดยบรรยากาศตลาดคึกคัก โดยนายพิธา พูดใส่ไมค์ว่า เสียงที่ทุกท่านได้ยินอยู่นี้ คือเสียงของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ วันนี้มีเรื่องสำคัญ มาบอก คือมาขอเสียงให้ผู้สมัครนายกอบจ.จากพรรคประชาชน ที่มีเสียง สส.เป็นอันดับ 1 ในสภาฯ วันนี้ขอมาตามหาชัยชนะ ขอคะแนนความไว้วางใจ
 
จากนั้นนายพิธา ให้สัมภาษณ์ ระบุว่าวันนี้เป็นวันแรกประเดิมลงพื้นที่อุดรธานี ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น ได้เจอพี่น้องให้หายคิดถึง แต่วันนี้ต้องเปลี่ยนกำหนดการ เนื่องจากเป็นวันลอยกระทง กังวลเรื่องการร่วมงานรื่นเริง ขอบคุณอีกครั้งที่ยังไม่ลืมกัน
 
ส่วนเรื่องผลโพล ที่ระบุว่าผู้สมัครของพรรคก้าวไกล มีคะแนนำกว่าเท่าตัว เรื่องนี้ไม่ได้สนใจกับตัวเลขผลสำรวจกว่า 50% ของประชาชนที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ ซึ่งจะใช้วันนี้ที่ยังมีเวลา เสนอผู้สมัครจากพรรคประชาชน ขอเชิญชวนให้คนออกมาใช้สิทธิ์กันเยอะๆ
 
ส่วนการปราศรัย ของนายทักษิณ ที่พาดพิงตน นายพิธา ระบุว่าไม่ได้คิดว่ามีสาระอะไรมาก ต้องพยายามดูผลประโยชน์ของคนอุดรเป็นสำคัญ อย่างเรื่องที่บอกว่าต้องบินกลับมาเพราะกลัวแพ้ นายพิธายืนยันว่า
  
นักการเมือง นักเลือกตั้ง ไม่มีกลัวแพ้หรอกครับ เพราะแพ้มาเยอะ ชนะมาก็แยะ ซึ่งสนามอบจ. ก็อาจมีอะไรเปลี่ยนแปลง มีปัจจัยหลายอย่าง เพราะพี่น้องคนอุดร ต้องไปทำงานปากกัด ตีนถีบ ที่ต่างประเทศ ดังนั้นมีปัจจัยอื่นเยอะ แพ้ไม่เป็นปัญหา มีแต่ชนะ และพัฒนา ไม่มีแพ้ อย่างปี 2562 สนาม อบจ. เราได้มา 140,000 คะแนน ปี 2563 ได้มา 180,000  ปี 2566 ได้มา 220,000 เพราะฉะนั้นเราแข่งกับตัวเอง เพราะไม่ว่าจะพรรคไหน จะเปลี่ยนผู้นำคนไหน จากผลคะแนน มีความเติบโตต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นคนที่เป็นนักการเมือง ไม่เคยกลัวแพ้ เพราะแพ้ก็กลับมาชนะได้ ชนะก็กลับมาแพ้ได้ มีแต่เผด็จการ ที่กลัวแพ้เลือกตั้ง ถึงไม่ลงเลือกตั้ง และใช้วิธีรัฐประหารเท่านั้น
 
ส่วนที่นายทักษิณ พาดพิงถึงประเด็นแก้ไขมาตรา 112 ก็ขอย้อนให้ประชาชนกลับไปดูว่า ตอนเลือกตั้งแต่ละพรรคพูดอะไรไปบ้าง เรื่อง 112 จนถึงวันนี้ เราถูกยุบไปแล้ว ยืนยันว่าที่เราทำไม่มีเจตนายกเลิก หรือทำให้คนเข้าใจผิด แต่เราต้องการปฏิรูปประเทศ รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้คงอยู่กับประเทศไทย เพราะฉะนั้น ความพยายามจะสาดโคลนมา ก็ไม่ได้เป็นความจริง จนถึงทุกวันนี้
 
ส่วนการมาอุดร ก็มีความมั่นใจ และขอไม่เรียกว่าเมืองหลวงเสื้อแดง  เรียกว่าถิ่นของประชาธิปไตย พร้อมยกผลการเลือกตั้ง อุดร เขต 1 ครั้งก่อน ว่าพรรคก้าวไกล ก็ได้คะแนนเสียงมากกว่าพรรคเพื่อไทย โดยทั้งจังหวัด เพื่อไทยเป็นอันดับ 1,ก้าวไกลเป็นอันดับ 2 ไทยสร้างไทยอันดับ 3 แต่ยอมรับว่าทั้ง 3 พรรคเป็นประชาธิปไตย เพราะถือเป็น 80% ของชาวอุดร แต่หากจะบอกว่าเป็นประชาธิปไตยแบบเฉดสีเดียว และจับมือกับทหาร  ก็คงไม่ถูกต้อง ไม่น่าจะตรงกับเจตนารมณ์การลงคะแนนของชาวอุดร  แต่ที่นี่เป็นเมืองหลวงของประชาธิปไตย ไม่ใช่ของพรรคใดพรรคหนึ่ง พร้อมยอมรับด้วยว่าที่มาอุดรบ่อยๆเพราะติดใจอาหาร



กมธ.ทหารลุย สอบค่ายอดิศร ทารุณกรรมสัตว์ คลี่ปม ม้าข้าวขวัญ บังคับซ้อม-แข่ง จนตาย
https://www.matichon.co.th/politics/news_4900021

กมธ.ทหารลุย สอบค่ายอดิศร ทารุณกรรมสัตว์ คลี่ปม ม้าข้าวขวัญ บังคับซ้อม-แข่ง จนตาย
 
ม้าข้าวขวัญ – เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน (วานนี้) นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธาน กมธ.การทหาร โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า [ข้อสงสัยเกี่ยวกับการทารุณกรรมม้า ที่ค่ายอดิศร จ.สระบุรี] จากข่าวเมื่อเดือน ส.ค.67 ที่ผ่านมา จากการตายของ ม้าข้าวขวัญ ที่ค่ายอดิศร ซึ่งมีเหตุต้องสงสัยว่าจะเกิดจากการทำทารุณกรรมสัตว์ และการหาผลประโยชน์ทางธุรกิจจากสัตว์
 
มีการบังคับให้ฝึกเพื่อแข่งขันทั้งๆ ที่ม้ายังมีสภาพป่วย อย่างกรณีของม้าข้าวขวัญ ก่อนที่จะตายมีหลักฐานผลตรวจเอกซเรย์ของสัตวแพทย์ พบว่า กระดูกบริเวณขาหน้าข้างซ้ายมีรอยแตกที่เกิดจากการฝึกซ้อม แต่ก็มีเหตุต้องสงสัยว่ามีความพยายามที่จะนำม้าออกมาฝึกซ้อม เพื่อแข่งขันทั้งๆ ที่ม้ายังมีอาการบาดเจ็บ หรือไม่ มีการใช้สารกระตุ้น (สเตียรอยด์) กับม้าที่บาดเจ็บ เพื่อระงับความเจ็บปวด และนำม้ากลับมาเข้าสนามแข่ง หรือเปล่า
นอกจากม้าข้าวขวัญแล้ว ยังมีรายงานว่า ปัจจุบันมีม้าอีกหลายตัวที่ค่ายอดิศร มีอาการเจ็บป่วย หลายตัวมีอาการกระดูกแตก และมีความกังวลว่าอาจจะไม่ได้รับการดูแลรักษาจากสัตวแพทย์อย่างดีตามสมควร

นอกจากประเด็นในเรื่องทารุณกรรมสัตว์แล้ว อีกประเด็นหนึ่งที่ควรต้องสืบหาข้อเท็จจริงด้วยก็คือ การหาผลประโยชน์ทางธุรกิจจากม้า ที่ค่ายอดิศร จ.สระบุรี อาทิ การฝึกสอนการขี่ม้า การจัดกิจกรรมการแข่งขันม้าต่างๆ นั้นมีความโปร่งใสมากน้อยเพียงใด มีการจัดส่งรายได้ให้กับรัฐอย่างถูกต้องหรือไม่ มีการจัดสรรรายได้ เอาไว้สำหรับการดูแลสวัสดิภาพของม้าอย่างเพียงพอหรือไม่ อย่างไร
 
ประเด็นข้อกังวลทั้งหมดนี้ ทางคณะกรรมาธิการการทหารจะเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงข้อเท็จจริงต่อไป
 
ต่อมา วันนี้ 15 พฤศจิกายน นายวิโรจน์ระบุอีกว่า “อังคารที่ 26 พ.ย.นี้ กมธ.ทหาร จะขอเข้าหารือประเด็นเรื่องทารุณกรรมสัตว์ ม้าที่ค่ายอดิศรครับ

สำหรับประเด็นดังกล่าว มีการรายงานว่า ม้าข้าวขวัญ สังกัด ศูนย์การทหารม้า ค่ายอดิศร สระบุรี ที่เข้าประจำการตั้งแต่อายุประมาณ 4 ปี กระทั่งอายุประมาณ 10 ปี ช่วงเวลาประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2566 พบว่า ม้าข้าวขวัญ ถูกใช้งานอย่างหนักเช่น ถูกฝึก ถูกเฆี่ยนตี สับกกหู บางครั้ง ยังถูกชกไปที่ใบหน้า เมื่อไม่ยอมฟังคำสั่ง ต่อมาสัตวแพทย์นำไปตรวจร่างกาย ผลเอกซเรย์พบว่ามีรอยแตกที่กระดูกขาหน้าด้านซ้าย แต่เรื่องถูกปิดเงียบ กระทั่งตรวจร่างกายครั้งที่ 2 ในเดือนตุลาคม 2566 พบรอยแตกที่กระดูกขาจุดเดิม สัตวแพทย์ประจำค่าย จึงขออายัด ม้าข้าวขวัญไว้เพื่อทำการรักษาและให้งดใช้งาน เพราะขาของม้าคือส่วนที่สำคัญที่สุด
 
ทว่า ม้าข้าวขวัญ ยังถูกนำไปใช้งานซ้ำในเดือนมกราคม 2567 ที่ผ่านมา โดยเข้าแข่งกระโดดข้ามเครื่องกีดขวาง ในรายการทัวร์นาเมนต์เก็บคะแนน ประจำปี 2567 ถึง 3 รายการ และรายการสุดท้าย ในวันที่ 5-8 เมษายน 2567 เข้าแข่งกระโดดข้ามเครื่องกีดขวาง ต่อเนื่อง 4 วัน จนกระทั่ง ม้าแสดงอาการเจ็บขา อย่างรุนแรง จนต้องยุติการแข่ง
 
หลังจากถูกนำกลับมาที่ค่าย ม้าข้าวขวัญ อยู่ในอาการป่วยที่ยากเกินการรักษาแล้ว ไม่กี่วัน หลังจากเข้าพัก พบว่า มีอาการตัวบวม ผลการตรวจค่าไต สูงถึง 3,000 และเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2567 ม้าข้าวขวัญ มีอาการชักเกร็ง เบ้าตาบวม และมีเลือดไหลออกมา เช่นเดียวกับอวัยวะอื่นๆ ทั้ง จมูก ปาก และจุดอื่นๆ ตามร่างกาย พบมีเลือดไหลออกมา คล้ายการติดเชื้อในกระแสเลือด จนกระทั่ง ชักเกร็ง กัดลิ้น และตายลง ผลการตรวจเลือดในเบื้องต้น ยังพบสารกระตุ้น หรือสารสเตียรอยด์ ที่สูงจนเกินปกติ และยังพบม้าในสังกัดเดียวกันอีก 5 ตัว อยู่ในภาวะไม่ต่างกัน

ที่มา : ไทยพีบีเอส มูลนิธิวอชด็อก ไทยแลนด์ Watchdog Thailand Foundation – WDT

https://www.facebook.com/wirojlak/posts/pfbid0sSsWMdTAGMx1GFWigBTcszy3Diwb3MnEY65p7ErzNVF5bBzxgwmwXdxeZT9h4c4Ul



กทม.ลุยเก็บกระทง หลังประชาชนนำมาลอยในแม่น้ำ จัดเจ้าหน้าที่ 185 คน ดำเนินการ
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_9507806

กทม.ลุยเก็บกระทง หลังประชาชนนำมาลอยเทศกาลลอยกระทง จัดเจ้าหน้าที่ 185 คน พร้อมอุปกรณ์เข้าดำเนินการ
 
เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 15 พ.ย.67 นายชาตรี วัฒนเขจร รองปลัดกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย นายพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้บริหารด้านความยั่งยืนกรุงเทพมหานคร นายเอกวรัญญู อัมระปาล โฆษกของกรุงเทพมหานคร และผู้บริหารสำนักสิ่งแวดล้อม ตรวจเยี่ยมการปฎิบัติงานและให้กำลังใจเจ้าที่ผู้ปฏิบัติงานจัดเก็บกระทงในแม่น้ำเจ้าพระยา ในเทศกาลลอยกระทงประจำปี 2567 ณ บริเวณปากคลองโอ่งอ่าง (ฝั่งพระนครใต้สะพานพระปกเกล้า) ก่อนสำนักสิ่งแวดล้อม นำไปกำจัดอย่างถูกวิธี
 
งานเทศกาลลอยกระทง ประจำปี 2567 ในพื้นที่ กทม. หน่วยงานภาครัฐ เอกชน มีการจัดงานเพื่อสืบสานประเพณีในพื้นที่ต่างๆ รวมมากกว่า 140 แห่ง อาทิ งานเทศกาลลอยกระทงกรุงเทพฯ ประจำปี 2567 ณ คลองคูเมือง คลองหลอด เขตพระนคร งานมนต์เสน่ห์ 4 ภาค ลอยกระทงบริเวณคลองเปรมประชากร ณ ลานอเนกประสงค์ชุมชนประชาร่วมใจ 1 และวัดเสมียนนารี เขตจตุจักร
 
นอกจากนี้ กรุงเทพมหานครได้เปิดสวนสาธารณะของกรุงเทพมหานคร จำนวน 34 แห่ง ให้ประชาชนลอยกระทง ตั้งแต่เวลา 05.00 – 24.00 น. โดยรณรงค์ขอความร่วมมือใช้กระทงที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ งดการนำกระทงที่ทำจากขนมปังและโฟมเข้ามาลอยในสวนสาธารณะ เนื่องจากเกิดผลกระทบกับระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมของบึงน้ำซึ่งเป็นระบบปิด เพราะกระทงขนมปังเป็นปัญหาต่อการจัดเก็บมากที่สุด เปื่อยยุ่ยง่าย บางชนิดใช้สีที่เป็นอันตรายต่อปลา
และเมื่อขนมปังจมลงสู่ก้นสระ จะทำให้ระดับออกซิเจนต่ำลง เป็นอันตรายกับสัตว์น้ำทุกชนิด และสร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ เพื่อเป็นการลดปริมาณขยะจากกระทง กรุงเทพมหานครชวนลอยกระทงแบบรักษ์โลกมาด้วยกัน ลอยด้วยกัน 1 กลุ่ม 1 ครอบครัว 1 กระทง
 
ในส่วนของการจัดเก็บกระทง กรุงเทพมหานคร จะดำเนินการจัดเก็บกระทงตามแผนการปฏิบัติงานจัดเก็บกระทงเพื่อไม่ให้ขยะตกค้างในแหล่งน้ำ แบ่งพื้นที่การจัดเก็บกระทง ดังนี้ สำนักงานเขตจัดเก็บกระทงในสวนสาธารณะ และพื้นที่จัดงานในพื้นที่เขตสำนักการระบายน้ำจัดเก็บกระทงในคูคลอง และบึงรับน้ำ สำนักสิ่งแวดล้อมจัดเก็บกระทงในแม่น้ำเจ้าพระยา เริ่มตั้งแต่สะพานพระราม 8 ถึงสะพานพระราม 9 ระยะทางประมาณ 15 กิโลเมตร
 
ได้จัดเจ้าหน้าที่ และวัสดุอุปกรณ์ ยานพาหนะในการจัดเก็บกระทง จำนวน 185 คน เรือเก็บขยะจำนวน 40 ลำ ติดตั้งไฟส่องสว่างทุกลำประกอบด้วย เรือไฟเบอร์กลาส 34 ลำ เรือขนถ่ายและลำเลียงวัชพืช จำนวน 2 ลำ เรือเก็บขนและลำเลียงวัชพืช จำนวน 1 ลำ เรือกวาดเก็บวัชพืช จำนวน 1 ลำ และเรือตรวจการณ์ จำนวน 2 ลำ รถทั้งหมด 13 คัน ประกอบด้วย รถตรวจการณ์จำนวน 5 คัน รถบรรทุกเทท้าย จำนวน 8 คัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่