การรักษาและโอกาสการหายขาดจะมีมากขึ้น การเข้าใจถึงปัจจัยเสี่ยง อาการ
และแนวทางการตรวจคัดกรองจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันและรับมือกับมะเร็งเต้านม
วันนี้พี่หมอฝั่งธน...จะมาให้ความรู้ ปัจจัยเสี่ยง..มะเร็งเต้านม ป้องกันอย่างไรดี
มะเร็งเต้านม (Breast Cancer) เป็นหนึ่งในโรคมะเร็งที่พบมากที่สุดในผู้หญิงทั่วโลก
แม้ว่าผู้ชายก็สามารถเป็นได้ แต่มักจะเกิดขึ้นในผู้หญิงมากกว่า
มะเร็งเต้านมเกิดขึ้นเมื่อเซลล์ในเต้านมเกิดการเจริญเติบโตอย่างผิดปกติและเกินควบคุม
ซึ่งสามารถแพร่กระจายไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
การตรวจพบมะเร็งเต้านมในระยะแรกเริ่มมีความสำคัญมากในการเพิ่มโอกาสการรักษาให้หายขาดได้
และเทคโนโลยีการตรวจคัดกรองปัจจุบันช่วยให้เราสามารถระบุความเสี่ยงและพบมะเร็งได้ก่อนที่จะเกิดการแพร่กระจาย
การเกิดมะเร็งเต้านมยังไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด แต่นักวิจัยได้พบปัจจัยหลายประการที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้
1.พันธุกรรมและประวัติครอบครัว: ผู้หญิงที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม โดยเฉพาะในญาติใกล้ชิด
เช่น แม่ พี่สาว หรือลูกสาว มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคนี้สูงขึ้น การกลายพันธุ์ในยีน BRCA1 และ BRCA2 ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ
ซึ่งการตรวจพันธุกรรมสามารถช่วยประเมินความเสี่ยงได้
2.อายุ: ความเสี่ยงของมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้นตามอายุ โดยมากมักเกิดในผู้หญิงที่มีอายุเกิน 50 ปี
แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้ในวัยหนุ่มสาวเช่นกัน
3.ฮอร์โมนเอสโตรเจน: การได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนมากเกินไป เช่น การมีประจำเดือนตั้งแต่อายุน้อยหรือหมดประจำเดือนช้า
การใช้ยาคุมกำเนิดเป็นเวลานาน หรือการรักษาด้วยฮอร์โมนทดแทนหลังหมดประจำเดือน ล้วนเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านม
4.พฤติกรรมการใช้ชีวิต:
การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากและการสูบบุหรี่เป็นปัจจัยที่เสี่ยงเพิ่มขึ้น
การออกกำลังกายน้อยหรือไม่มีเลยอาจทำให้มีโอกาสเกิดมะเร็งเต้านมมากขึ้น
น้ำหนักตัวที่เกินเกณฑ์ โดยเฉพาะหลังวัยหมดประจำเดือน ส่งผลให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายเพิ่มสูง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ
5.ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม: การสัมผัสกับสารก่อมะเร็ง เช่น รังสีจากการรักษาด้วยรังสีหรือสารเคมีบางชนิด อาจเพิ่มความเสี่ยงได้
มะเร็งเต้านมในระยะแรกอาจไม่มีอาการที่ชัดเจน แต่เมื่อโรคพัฒนา อาการบางประการสามารถสังเกตได้
ก้อนเนื้อหรือการเปลี่ยนแปลงในเต้านม: หากพบก้อนที่เต้านมหรือรักแร้
หรือสังเกตเห็นว่าขนาดหรือรูปทรงของเต้านมเปลี่ยนไป ควรรีบพบแพทย์ทันที
การเปลี่ยนแปลงของผิวหนังบริเวณเต้านม: เช่น ผิวหนังบุ๋ม ย่น เป็นผื่น หรือมีอาการบวมแดงคล้ายผิวส้ม
หัวนมบอดหรือเปลี่ยนแปลง: หัวนมอาจบอดลง หรือมีของเหลวผิดปกติไหลออกจากหัวนม ซึ่งอาจเป็นหนองหรือเลือด
เจ็บเต้านมหรือรักแร้: แม้มะเร็งเต้านมมักไม่ทำให้เจ็บ แต่ถ้ามีความรู้สึกไม่สบายหรือเจ็บปวดควรปรึกษาแพทย์
การตรวจคัดกรองเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการตรวจพบมะเร็งเต้านมตั้งแต่เนิ่นๆ
ซึ่งเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้ การตรวจคัดกรองที่สำคัญ ได้แก่
1.การตรวจเต้านมด้วยตัวเอง: ผู้หญิงทุกคนควรทำการตรวจเต้านมด้วยตัวเองทุกเดือน โดยเฉพาะหลังหมดประจำเดือน
การตรวจนี้ช่วยให้พบความผิดปกติ เช่น ก้อนเนื้อหรือการเปลี่ยนแปลงของเต้านมได้ตั้งแต่ระยะแรก
2.แมมโมแกรม (Mammogram): เป็นการตรวจด้วยรังสีเอกซ์เพื่อตรวจหาก้อนเนื้อหรือความผิดปกติในเต้านม
การตรวจแมมโมแกรมเป็นวิธีที่ได้รับการยอมรับว่ามีความแม่นยำในการตรวจหามะเร็งเต้านมได้แม้ในระยะที่ยังไม่มีอาการแสดงออก
3.อัลตราซาวนด์และ MRI: ใช้ในการตรวจเพิ่มเติมเพื่อยืนยันผล หากพบความผิดปกติในการตรวจแมมโมแกรม
โดยเฉพาะในผู้ที่มีก้อนเนื้อขนาดเล็กหรือเต้านมที่มีเนื้อแน่น
การรักษามะเร็งเต้านมขึ้นอยู่กับระยะของโรค ลักษณะของก้อนเนื้อ และสภาพร่างกายของผู้ป่วย
โดยการรักษามักจะประกอบด้วยหลายวิธีร่วมกัน ได้แก่:
การผ่าตัด: การผ่าตัดเป็นวิธีหลักในการรักษามะเร็งเต้านม มีทั้งการผ่าตัดเพื่อตัดก้อนเนื้อออกบางส่วน (lumpectomy)
และการผ่าตัดตัดเต้านมทั้งหมด (mastectomy)
การฉายรังสี: การใช้รังสีพลังงานสูงทำลายเซลล์มะเร็งที่ยังหลงเหลืออยู่ในเนื้อเยื่อเต้านมหลังการผ่าตัด
เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
การใช้เคมีบำบัด (Chemotherapy): การให้ยาที่มีฤทธิ์ทำลายเซลล์มะเร็งเพื่อหยุดการเจริญเติบโตหรือทำลายเซลล์มะเร็ง
ที่อาจแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย
การใช้ยาฮอร์โมน (Hormonal therapy): ใช้ในการรักษามะเร็งเต้านมที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นตัวกระตุ้นการเจริญเติบโต
เช่น การใช้ยาต้านเอสโตรเจน (Tamoxifen) หรือยาที่ยับยั้งการผลิตเอสโตรเจน
การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy): ใช้กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานต่อต้านเซลล์มะเร็ง
การป้องกัน แม้ว่าไม่สามารถป้องกันมะเร็งเต้านมได้อย่างสมบูรณ์
แต่มีวิธีหลายอย่างที่สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคได้ เช่น:
1.การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม
ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น การเดิน วิ่ง หรือการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ
2.การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง:
หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่
เลือกวิธีการคุมกำเนิดที่เหมาะสม และหลีกเลี่ยงการใช้ฮอร์โมนในระยะเวลานาน
3.การตรวจคัดกรองเป็นประจำ: ควรตรวจแมมโมแกรมและพบแพทย์เพื่อตรวจเช็กสุขภาพเต้านมเป็นประจำตามคำแนะนำของแพทย์
โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูง
4.การปรับเปลี่ยนอาหารการกิน: การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
เช่น ผัก ผลไม้ โปรตีนจากพืช และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านมได้
มะเร็งเต้านมเป็นโรคร้ายที่สามารถเกิดขึ้นได้กับผู้หญิงทุกวัย การมีความรู้และตระหนักถึงอาการ การตรวจคัดกรอง
และการป้องกันสามารถช่วยลดโอกาสการเกิดโรคได้ ผู้หญิงควรใส่ใจสุขภาพของตนเอง
ตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้สามารถรักษาได้ทันท่วงที คะ
ความรู้เพิ่มเติม
https://www.youtube.com/shorts/392wRgqPTvg
https://shop-online.thonburihospital.com/th/pg671002.html
https://www.youtube.com/watch?v=kI0XHVLXcMk
ปัจจัยเสี่ยง..มะเร็งเต้านม ป้องกันอย่างไรดี
และแนวทางการตรวจคัดกรองจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันและรับมือกับมะเร็งเต้านม
วันนี้พี่หมอฝั่งธน...จะมาให้ความรู้ ปัจจัยเสี่ยง..มะเร็งเต้านม ป้องกันอย่างไรดี
มะเร็งเต้านม (Breast Cancer) เป็นหนึ่งในโรคมะเร็งที่พบมากที่สุดในผู้หญิงทั่วโลก
แม้ว่าผู้ชายก็สามารถเป็นได้ แต่มักจะเกิดขึ้นในผู้หญิงมากกว่า
มะเร็งเต้านมเกิดขึ้นเมื่อเซลล์ในเต้านมเกิดการเจริญเติบโตอย่างผิดปกติและเกินควบคุม
ซึ่งสามารถแพร่กระจายไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
การตรวจพบมะเร็งเต้านมในระยะแรกเริ่มมีความสำคัญมากในการเพิ่มโอกาสการรักษาให้หายขาดได้
และเทคโนโลยีการตรวจคัดกรองปัจจุบันช่วยให้เราสามารถระบุความเสี่ยงและพบมะเร็งได้ก่อนที่จะเกิดการแพร่กระจาย
การเกิดมะเร็งเต้านมยังไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด แต่นักวิจัยได้พบปัจจัยหลายประการที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้
1.พันธุกรรมและประวัติครอบครัว: ผู้หญิงที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม โดยเฉพาะในญาติใกล้ชิด
เช่น แม่ พี่สาว หรือลูกสาว มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคนี้สูงขึ้น การกลายพันธุ์ในยีน BRCA1 และ BRCA2 ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ
ซึ่งการตรวจพันธุกรรมสามารถช่วยประเมินความเสี่ยงได้
2.อายุ: ความเสี่ยงของมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้นตามอายุ โดยมากมักเกิดในผู้หญิงที่มีอายุเกิน 50 ปี
แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้ในวัยหนุ่มสาวเช่นกัน
3.ฮอร์โมนเอสโตรเจน: การได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนมากเกินไป เช่น การมีประจำเดือนตั้งแต่อายุน้อยหรือหมดประจำเดือนช้า
การใช้ยาคุมกำเนิดเป็นเวลานาน หรือการรักษาด้วยฮอร์โมนทดแทนหลังหมดประจำเดือน ล้วนเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านม
4.พฤติกรรมการใช้ชีวิต:
การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากและการสูบบุหรี่เป็นปัจจัยที่เสี่ยงเพิ่มขึ้น
การออกกำลังกายน้อยหรือไม่มีเลยอาจทำให้มีโอกาสเกิดมะเร็งเต้านมมากขึ้น
น้ำหนักตัวที่เกินเกณฑ์ โดยเฉพาะหลังวัยหมดประจำเดือน ส่งผลให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายเพิ่มสูง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ
5.ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม: การสัมผัสกับสารก่อมะเร็ง เช่น รังสีจากการรักษาด้วยรังสีหรือสารเคมีบางชนิด อาจเพิ่มความเสี่ยงได้
มะเร็งเต้านมในระยะแรกอาจไม่มีอาการที่ชัดเจน แต่เมื่อโรคพัฒนา อาการบางประการสามารถสังเกตได้
ก้อนเนื้อหรือการเปลี่ยนแปลงในเต้านม: หากพบก้อนที่เต้านมหรือรักแร้
หรือสังเกตเห็นว่าขนาดหรือรูปทรงของเต้านมเปลี่ยนไป ควรรีบพบแพทย์ทันที
การเปลี่ยนแปลงของผิวหนังบริเวณเต้านม: เช่น ผิวหนังบุ๋ม ย่น เป็นผื่น หรือมีอาการบวมแดงคล้ายผิวส้ม
หัวนมบอดหรือเปลี่ยนแปลง: หัวนมอาจบอดลง หรือมีของเหลวผิดปกติไหลออกจากหัวนม ซึ่งอาจเป็นหนองหรือเลือด
เจ็บเต้านมหรือรักแร้: แม้มะเร็งเต้านมมักไม่ทำให้เจ็บ แต่ถ้ามีความรู้สึกไม่สบายหรือเจ็บปวดควรปรึกษาแพทย์
การตรวจคัดกรองเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการตรวจพบมะเร็งเต้านมตั้งแต่เนิ่นๆ
ซึ่งเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้ การตรวจคัดกรองที่สำคัญ ได้แก่
1.การตรวจเต้านมด้วยตัวเอง: ผู้หญิงทุกคนควรทำการตรวจเต้านมด้วยตัวเองทุกเดือน โดยเฉพาะหลังหมดประจำเดือน
การตรวจนี้ช่วยให้พบความผิดปกติ เช่น ก้อนเนื้อหรือการเปลี่ยนแปลงของเต้านมได้ตั้งแต่ระยะแรก
2.แมมโมแกรม (Mammogram): เป็นการตรวจด้วยรังสีเอกซ์เพื่อตรวจหาก้อนเนื้อหรือความผิดปกติในเต้านม
การตรวจแมมโมแกรมเป็นวิธีที่ได้รับการยอมรับว่ามีความแม่นยำในการตรวจหามะเร็งเต้านมได้แม้ในระยะที่ยังไม่มีอาการแสดงออก
3.อัลตราซาวนด์และ MRI: ใช้ในการตรวจเพิ่มเติมเพื่อยืนยันผล หากพบความผิดปกติในการตรวจแมมโมแกรม
โดยเฉพาะในผู้ที่มีก้อนเนื้อขนาดเล็กหรือเต้านมที่มีเนื้อแน่น
การรักษามะเร็งเต้านมขึ้นอยู่กับระยะของโรค ลักษณะของก้อนเนื้อ และสภาพร่างกายของผู้ป่วย
โดยการรักษามักจะประกอบด้วยหลายวิธีร่วมกัน ได้แก่:
การผ่าตัด: การผ่าตัดเป็นวิธีหลักในการรักษามะเร็งเต้านม มีทั้งการผ่าตัดเพื่อตัดก้อนเนื้อออกบางส่วน (lumpectomy)
และการผ่าตัดตัดเต้านมทั้งหมด (mastectomy)
การฉายรังสี: การใช้รังสีพลังงานสูงทำลายเซลล์มะเร็งที่ยังหลงเหลืออยู่ในเนื้อเยื่อเต้านมหลังการผ่าตัด
เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
การใช้เคมีบำบัด (Chemotherapy): การให้ยาที่มีฤทธิ์ทำลายเซลล์มะเร็งเพื่อหยุดการเจริญเติบโตหรือทำลายเซลล์มะเร็ง
ที่อาจแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย
การใช้ยาฮอร์โมน (Hormonal therapy): ใช้ในการรักษามะเร็งเต้านมที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นตัวกระตุ้นการเจริญเติบโต
เช่น การใช้ยาต้านเอสโตรเจน (Tamoxifen) หรือยาที่ยับยั้งการผลิตเอสโตรเจน
การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy): ใช้กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานต่อต้านเซลล์มะเร็ง
การป้องกัน แม้ว่าไม่สามารถป้องกันมะเร็งเต้านมได้อย่างสมบูรณ์
แต่มีวิธีหลายอย่างที่สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคได้ เช่น:
1.การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม
ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น การเดิน วิ่ง หรือการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ
2.การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง:
หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่
เลือกวิธีการคุมกำเนิดที่เหมาะสม และหลีกเลี่ยงการใช้ฮอร์โมนในระยะเวลานาน
3.การตรวจคัดกรองเป็นประจำ: ควรตรวจแมมโมแกรมและพบแพทย์เพื่อตรวจเช็กสุขภาพเต้านมเป็นประจำตามคำแนะนำของแพทย์
โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูง
4.การปรับเปลี่ยนอาหารการกิน: การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
เช่น ผัก ผลไม้ โปรตีนจากพืช และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านมได้
มะเร็งเต้านมเป็นโรคร้ายที่สามารถเกิดขึ้นได้กับผู้หญิงทุกวัย การมีความรู้และตระหนักถึงอาการ การตรวจคัดกรอง
และการป้องกันสามารถช่วยลดโอกาสการเกิดโรคได้ ผู้หญิงควรใส่ใจสุขภาพของตนเอง
ตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้สามารถรักษาได้ทันท่วงที คะ
ความรู้เพิ่มเติม
https://www.youtube.com/shorts/392wRgqPTvg
https://shop-online.thonburihospital.com/th/pg671002.html
https://www.youtube.com/watch?v=kI0XHVLXcMk