เนื่องด้วยระยะหลังมานี้ มีกระทู้โรคมะเร็งกันเยอะขึ้น ผมก็เลยลองวิเคราะห์แบบบ้านๆ ว่า เกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทยและคนทั่วโลก?
ขอเริ่มจากภาพนี้ครับ
จากภาพข้างบนนี้จะเห็นว่า อัตราการของโรคมะเร็งในประเทศที่พัฒนาแล้วมีจำนวนที่สูงมาก ในขณะที่ประเทศที่กำลังพัฒนารวมถึงด้อยพัฒนามีอัตราของโรคมะเร็งที่ค่อนข้างต่ำไปจนถึงต่ำ
แต่ .. อย่าเพิ่งด่วนสรุป !! เพราะประเทศที่กำลังพัฒนารวมถึงด้อยพัฒนามีวิทยาทางการแพทย์และการคัดกรองโรคมะเร็งที่ต่ำ มีระบบสาธารณสุขไม่ค่อยดี ทำให้อายุเฉลี่ยของคนต่ำไปด้วย ว่าง่ายๆ คือ
ข้อมูลการสำรวจไม่ครบถ้วน, อัตราของคนอายุยืนต่ำ ทำให้คนเป็นโรคอื่นตายก่อนที่จะเป็นโรคมะเร็ง
ผมเลยอยากจะชี้เป้าไปที่บรรดาประเทศที่พัฒนาทั้งหลาย โดยขอคัดเลือกมา 3 ประเทศคือ
สีฟ้าเข้ม: อเมริกา
สีฟ้าเข้มรองลงมา: อิสราเอล, ญี่ปุ่น
จากนั้นก็ใช้ AI มาช่วยวิเคราะห์ ได้มาดังนี้
Q:
เมื่อเทียบอาหารหลักของประเทศ อิสราเอล, ญี่ปุ่น, อเมริกา คุณคิดว่า อาหารหลักของประเทศใดที่มีโอกาสเป็นมะเร็งมากที่สุด
A: เมื่อเทียบอาหารหลักของแต่ละประเทศ — อิสราเอล, ญี่ปุ่น, และอเมริกา — สามารถพิจารณาความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งจากแง่ของวิถีชีวิตและโภชนาการได้ดังนี้:
1. อาหารอิสราเอล
อาหารหลักของชาวอิสราเอลส่วนใหญ่ประกอบด้วยอาหารทะเล ผัก ผลไม้ ข้าวบูลกูร์ (Bulgur wheat) และผลิตภัณฑ์จากถั่ว เช่น ฮูมัสและฟาลาเฟล อาหารเหล่านี้อุดมไปด้วยไฟเบอร์ โปรตีนจากพืช และกรดไขมันไม่อิ่มตัว (เช่น น้ำมันมะกอก) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งเต้านม
ความเสี่ยงต่อมะเร็ง: อัตรามะเร็งของอิสราเอลอยู่ในระดับปานกลาง เนื่องจากการบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพและการเน้นการป้องกัน แต่ความเสี่ยงอาจมีจากอาหารหมักดองบางประเภทที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งกระเพาะอาหาร
2. อาหารญี่ปุ่น
อาหารญี่ปุ่นส่วนใหญ่เน้นอาหารสด เช่น ข้าว ปลา ซุปมิโซะ ผัก และผลไม้ ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระและสารอาหารที่ดีต่อสุขภาพอย่างมาก การบริโภคอาหารที่สดใหม่และไม่ผ่านการแปรรูปมากเกินไปช่วยลดความเสี่ยงจากสารก่อมะเร็งที่อาจเกิดขึ้นจากการแปรรูปอาหาร
ความเสี่ยงต่อมะเร็ง: แม้จะมีอาหารที่มีประโยชน์มากมาย แต่ญี่ปุ่นก็มีอัตราการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหารที่สูง ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการบริโภคอาหารที่มีรสเค็มและหมักดอง (เช่น ซอสถั่วเหลืองที่มีโซเดียมสูง) นอกจากนี้ การบริโภคปลาที่มีสารปรอท (เช่น ปลาทูน่า) ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งบางชนิด
3. อาหารอเมริกัน
อาหารหลักของชาวอเมริกันมักมีการบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง เช่น เบอร์เกอร์ ฮอทดอก พิซซ่า และอาหารทอด (เช่น ไก่ทอดและมันฝรั่งทอด) ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งหลายประเภท เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งตับ
ความเสี่ยงต่อมะเร็ง: อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและอาหารแปรรูปอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็ง รวมถึงโรคที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับการอ้วน เช่น มะเร็งเต้านมและมะเร็งมดลูก
สรุป:
เมื่อพิจารณาจากโภชนาการและการบริโภคอาหารของทั้งสามประเทศ อาหารของสหรัฐอเมริกา มีความเสี่ยงสูงสุดต่อการเกิดมะเร็ง เนื่องจากการบริโภคอาหารแปรรูปสูง (เช่น แฮม เบอร์เกอร์) และอาหารที่มีไขมันสูง ซึ่งเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นสำหรับมะเร็งหลายชนิด
ในขณะที่ อาหารญี่ปุ่น และ อาหารอิสราเอล มีความเสี่ยงต่ำกว่าเนื่องจากการบริโภคผัก ปลา และโปรตีนจากพืชที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและกรดไขมันไม่อิ่มตัวซึ่งช่วยป้องกันมะเร็งบางประเภท แม้ว่าจะมีความเสี่ยงจากอาหารหมักดองและเกลือในอาหารบางชนิดในกรณีของญี่ปุ่น
การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพและลดการบริโภคอาหารที่มีไขมันสูงหรืออาหารแปรรูปสามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อมะเร็งได้
ประเทศที่เป็นมะเร็งน้อยที่สุด และ ประเทศที่เป็นมะเร็งมากที่สุด และ อาหารที่เสี่ยงเป็นโรคมะเร็ง
ขอเริ่มจากภาพนี้ครับ
จากภาพข้างบนนี้จะเห็นว่า อัตราการของโรคมะเร็งในประเทศที่พัฒนาแล้วมีจำนวนที่สูงมาก ในขณะที่ประเทศที่กำลังพัฒนารวมถึงด้อยพัฒนามีอัตราของโรคมะเร็งที่ค่อนข้างต่ำไปจนถึงต่ำ
แต่ .. อย่าเพิ่งด่วนสรุป !! เพราะประเทศที่กำลังพัฒนารวมถึงด้อยพัฒนามีวิทยาทางการแพทย์และการคัดกรองโรคมะเร็งที่ต่ำ มีระบบสาธารณสุขไม่ค่อยดี ทำให้อายุเฉลี่ยของคนต่ำไปด้วย ว่าง่ายๆ คือ
ข้อมูลการสำรวจไม่ครบถ้วน, อัตราของคนอายุยืนต่ำ ทำให้คนเป็นโรคอื่นตายก่อนที่จะเป็นโรคมะเร็ง
ผมเลยอยากจะชี้เป้าไปที่บรรดาประเทศที่พัฒนาทั้งหลาย โดยขอคัดเลือกมา 3 ประเทศคือ
สีฟ้าเข้ม: อเมริกา
สีฟ้าเข้มรองลงมา: อิสราเอล, ญี่ปุ่น
จากนั้นก็ใช้ AI มาช่วยวิเคราะห์ ได้มาดังนี้
Q: เมื่อเทียบอาหารหลักของประเทศ อิสราเอล, ญี่ปุ่น, อเมริกา คุณคิดว่า อาหารหลักของประเทศใดที่มีโอกาสเป็นมะเร็งมากที่สุด
A: เมื่อเทียบอาหารหลักของแต่ละประเทศ — อิสราเอล, ญี่ปุ่น, และอเมริกา — สามารถพิจารณาความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งจากแง่ของวิถีชีวิตและโภชนาการได้ดังนี้:
1. อาหารอิสราเอล
อาหารหลักของชาวอิสราเอลส่วนใหญ่ประกอบด้วยอาหารทะเล ผัก ผลไม้ ข้าวบูลกูร์ (Bulgur wheat) และผลิตภัณฑ์จากถั่ว เช่น ฮูมัสและฟาลาเฟล อาหารเหล่านี้อุดมไปด้วยไฟเบอร์ โปรตีนจากพืช และกรดไขมันไม่อิ่มตัว (เช่น น้ำมันมะกอก) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งเต้านม
ความเสี่ยงต่อมะเร็ง: อัตรามะเร็งของอิสราเอลอยู่ในระดับปานกลาง เนื่องจากการบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพและการเน้นการป้องกัน แต่ความเสี่ยงอาจมีจากอาหารหมักดองบางประเภทที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งกระเพาะอาหาร
2. อาหารญี่ปุ่น
อาหารญี่ปุ่นส่วนใหญ่เน้นอาหารสด เช่น ข้าว ปลา ซุปมิโซะ ผัก และผลไม้ ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระและสารอาหารที่ดีต่อสุขภาพอย่างมาก การบริโภคอาหารที่สดใหม่และไม่ผ่านการแปรรูปมากเกินไปช่วยลดความเสี่ยงจากสารก่อมะเร็งที่อาจเกิดขึ้นจากการแปรรูปอาหาร
ความเสี่ยงต่อมะเร็ง: แม้จะมีอาหารที่มีประโยชน์มากมาย แต่ญี่ปุ่นก็มีอัตราการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหารที่สูง ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการบริโภคอาหารที่มีรสเค็มและหมักดอง (เช่น ซอสถั่วเหลืองที่มีโซเดียมสูง) นอกจากนี้ การบริโภคปลาที่มีสารปรอท (เช่น ปลาทูน่า) ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งบางชนิด
3. อาหารอเมริกัน
อาหารหลักของชาวอเมริกันมักมีการบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง เช่น เบอร์เกอร์ ฮอทดอก พิซซ่า และอาหารทอด (เช่น ไก่ทอดและมันฝรั่งทอด) ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งหลายประเภท เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งตับ
ความเสี่ยงต่อมะเร็ง: อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและอาหารแปรรูปอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็ง รวมถึงโรคที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับการอ้วน เช่น มะเร็งเต้านมและมะเร็งมดลูก
สรุป:
เมื่อพิจารณาจากโภชนาการและการบริโภคอาหารของทั้งสามประเทศ อาหารของสหรัฐอเมริกา มีความเสี่ยงสูงสุดต่อการเกิดมะเร็ง เนื่องจากการบริโภคอาหารแปรรูปสูง (เช่น แฮม เบอร์เกอร์) และอาหารที่มีไขมันสูง ซึ่งเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นสำหรับมะเร็งหลายชนิด
ในขณะที่ อาหารญี่ปุ่น และ อาหารอิสราเอล มีความเสี่ยงต่ำกว่าเนื่องจากการบริโภคผัก ปลา และโปรตีนจากพืชที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและกรดไขมันไม่อิ่มตัวซึ่งช่วยป้องกันมะเร็งบางประเภท แม้ว่าจะมีความเสี่ยงจากอาหารหมักดองและเกลือในอาหารบางชนิดในกรณีของญี่ปุ่น
การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพและลดการบริโภคอาหารที่มีไขมันสูงหรืออาหารแปรรูปสามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อมะเร็งได้