ในสมัยอดีต มีหมอปู่คนหนึ่งอาศัยอยู่ในบ้านสวนเพียงลำพัง ตัวเขาไม่มีครอบครัวหรือญาติพี่น้อง เขาหาเลี้ยงชีพตัวเองด้วยความรู้ทางการแพทย์ เขาเป็นหมอประจำหมู่บ้าน มีฝีมือและประสบการณ์รักษาโรคมากมาย เมื่อกาลเวลาผ่านไป หมอปู่เริ่มรู้สึกแล้วว่าร่างกายสังขารตนเองมีแต่ความเสื่อมโทรม เขากลัวว่าสักวันหนึ่งเขาจะป่วยจนไม่สามารถออกไปทำงานหาเงินไปเหมือนเดิม เพราะตัวเขานั้นกำลังป่วยด้วยโรคใหม่ที่เขาเองก็ยังไม่สามารถรักษาเองได้ เขาจึงมีความคิดที่จะรับเลี้ยงลูกบุญธรรมสักคนหนึ่ง ไว้เป็นเพื่อนดูแลเขาในยามแก่เฒ่า และคาดหวังว่าจะเป็นหมอรักษาเขาได้
หมอปู่รับเลี้ยงเด็กชายคนหนึ่งชื่อว่า กิตติ กิตติเป็นเด็กเฉลียวฉลาด ว่องไว มีเมตตาจิต อ่อนโยน แต่ด้วยความเป็นเด็กจึงมักห่วงเล่นซุกซน มากกว่าที่จะเรียนรู้วิชาการแพทย์จากหมอปู่ หมอปู่เพียรพยายามถ่ายทอดความรู้การแพทย์ที่มีทั้งหมดให้กิตติ กิตติต้องเรียนรู้จากหมอปู่อย่างขะมักเขม้นจนกลายเป็นความเครียดสะสม ยิ่งหมอปู่เคยชินกับการทำอะไรได้ด้วยตนเองตามลำพัง พอต้องมาสอนความรู้การแพทย์ให้กับเด็กชายคนหนึ่ง หมอปู่จึงฝากความหวังและคาดหวังในตัวกิตติไว้สูง ทุกๆ ครั้งที่กิตติเหม่อลอย ห่วงเล่น ไม่ใส่ใจการเรียน หมอปู่ก็จะโกรธโมโห ดุด่ากิตติอย่างหยาบคาย บางวันก็หนักข้อถึงกับลงไม้ลงมือทุบตีกิตติอย่างไร้ความเมตตาปรานี ยิ่งหมอปู่เจ็บป่วยจากโรคประจำตัวมากขึ้นเท่าใด หมอปู่ก็จะยิ่งใช้อารมณ์รุนแรงกับกิตติมากเท่านั้น
กิตติเติบโตท่ามกลางสภาพอารมณ์ที่มีแต่ความเกรี้ยวกราด หยาบคาย ใช้อารมณ์รุนแรง จนกลายเป็นความคลั่งแค้นสะสม เขาไม่เคยนึกรักใคร่ ห่วงใยหมอปู่คนนี้เลยสักครั้ง แต่ใจหนึ่งก็หวนกคิดถึงอดีตที่ว่า หมอปู่รับเลี้ยงตนมาแต่เด็กเขามีบุญคุณกับตนอยู่ไม่น้อย เพราะหากเขาไม่ได้มาอยู่กับหมอปู่ เขาคงเป็นเด็กกำพร้าเร่ร่อน หาเศษขยะกินเพื่อประทังชีวิต แม้หมอปู่จะอารมณ์ฉุนเฉียวใส่เขาอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็เพราะหมอปู่ทุ่มเท คาดหวังให้เขาได้มีความรู้รักษาคนและเป็นหมอที่เก่งกว่าหมอปู่
เมื่อกาลเวลาผ่านไป กิตติ ค้นพบวิธีรักษาโรคของหมอปู่ได้ แต่กิตติเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจเพียงลำพังไม่ได้บอกใคร เพราะตนยังรู้สึกเคียดแค้นชิงชังกับหมอปู่ ที่ชอบอารมณ์เสีย เกรี้ยวกราดใส่เขาอยู่บ่อยครั้ง
วันหนึ่งมีชาวบ้านที่ป่วยเป็นโรคเดียวกับหมอปู่ กิตติจึงเข้าไปดูอาการและรีบรักษา จนชาวบ้านคนนั้นหายปวดเป็นปลิดทิ้ง ชาวบ้านคนนั้นชื่นชมหมอกิตติและยังบอกเขาด้วยว่า “หมอกิตติช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้หมอปู่เป็นอาจารย์ผู้สอนวิชาให้ ต่อไปนี้หมอปู่คงจะหายห่วงไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีทายาทสืบทอดอุดมการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์” คนนั้นพูดชื่นชมหมอกิตติพร้อมกับยกสมบัติล้ำค่าที่ตนมีให้กับหมอกิตติ จนคนทั้งหมู่บ้านและคนต่างอำเภอหันมายกย่องชื่นชมหมอกิตติกันทั้งสิ้น
หมอกิตติเริ่มรู้ซึ้งถึงความทุ่มเทของหมอปู่ที่เพียรพร่ำสอนวิชาให้กับเขา จนเขามีชื่อเสียงและเงินทองมากมาย กิตติจึงใส่ใจทุ่มเทการรักษาหมอปู่ จะหมอปู่หายดีเป็นปลิดทิ้ง เมื่อหมอปู่หายดีแล้วหมอปู่จึงได้สอนวิชาครั้งสุดท้ายเรื่องการเอาชนะความเครียดแค้นชิงชังในจิตใจตนเองด้วยความเมตตา หมอปู่พูดเปิดเผยความในใจเป็นครั้งแรกว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาหมอปู่รู้ดีว่ากิตติรู้สึกต่อเขาอย่างไร แต่หมอปู่ก็อยากสอนให้กิติรู้ว่าการเป็นหมอรักษาคนป่วยนั้นนอกจากจะต้องเอาชนะโรคภัยไข้เจ็บให้ได้แล้วยังต้องอดทนกับอาการเจ็บป่วยของคนไข้ให้ได้ด้วย เพราะคนไข้เจ็บป่วยทางร่างกาย จึงทำให้จิตใจของคนไข้เจ็บป่วยไปด้วย หมอมีหน้าที่รักษาคนไข้ให้หายดีทั้งทางกายและทางใจ เส้นหมอจะต้องฝึกฝนความอดทนอดกลั้นและความเข้มแข็งในจิตใจให้ได้
หมอกิตติเข้าใจที่หมอปู่กำลังสั่งสอนเขาจึงโอบกอดหมอปู่ด้วยความรักและความเมตตา พร้อมอยู่ดูแลหมอปู่และชาวบ้านจนสิ้นอายุขัย
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เราเป็นผู้เลือกได้ว่าจะเคียดแค้นชิงชังหรือให้ความรักและความเมตตากับคนที่อยู่ใกล้ชิดเรา
เรื่องเล่าสอนใจ แค้นหรือเมตตาอยู่ที่เราเลือก
หมอปู่รับเลี้ยงเด็กชายคนหนึ่งชื่อว่า กิตติ กิตติเป็นเด็กเฉลียวฉลาด ว่องไว มีเมตตาจิต อ่อนโยน แต่ด้วยความเป็นเด็กจึงมักห่วงเล่นซุกซน มากกว่าที่จะเรียนรู้วิชาการแพทย์จากหมอปู่ หมอปู่เพียรพยายามถ่ายทอดความรู้การแพทย์ที่มีทั้งหมดให้กิตติ กิตติต้องเรียนรู้จากหมอปู่อย่างขะมักเขม้นจนกลายเป็นความเครียดสะสม ยิ่งหมอปู่เคยชินกับการทำอะไรได้ด้วยตนเองตามลำพัง พอต้องมาสอนความรู้การแพทย์ให้กับเด็กชายคนหนึ่ง หมอปู่จึงฝากความหวังและคาดหวังในตัวกิตติไว้สูง ทุกๆ ครั้งที่กิตติเหม่อลอย ห่วงเล่น ไม่ใส่ใจการเรียน หมอปู่ก็จะโกรธโมโห ดุด่ากิตติอย่างหยาบคาย บางวันก็หนักข้อถึงกับลงไม้ลงมือทุบตีกิตติอย่างไร้ความเมตตาปรานี ยิ่งหมอปู่เจ็บป่วยจากโรคประจำตัวมากขึ้นเท่าใด หมอปู่ก็จะยิ่งใช้อารมณ์รุนแรงกับกิตติมากเท่านั้น
กิตติเติบโตท่ามกลางสภาพอารมณ์ที่มีแต่ความเกรี้ยวกราด หยาบคาย ใช้อารมณ์รุนแรง จนกลายเป็นความคลั่งแค้นสะสม เขาไม่เคยนึกรักใคร่ ห่วงใยหมอปู่คนนี้เลยสักครั้ง แต่ใจหนึ่งก็หวนกคิดถึงอดีตที่ว่า หมอปู่รับเลี้ยงตนมาแต่เด็กเขามีบุญคุณกับตนอยู่ไม่น้อย เพราะหากเขาไม่ได้มาอยู่กับหมอปู่ เขาคงเป็นเด็กกำพร้าเร่ร่อน หาเศษขยะกินเพื่อประทังชีวิต แม้หมอปู่จะอารมณ์ฉุนเฉียวใส่เขาอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็เพราะหมอปู่ทุ่มเท คาดหวังให้เขาได้มีความรู้รักษาคนและเป็นหมอที่เก่งกว่าหมอปู่
เมื่อกาลเวลาผ่านไป กิตติ ค้นพบวิธีรักษาโรคของหมอปู่ได้ แต่กิตติเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจเพียงลำพังไม่ได้บอกใคร เพราะตนยังรู้สึกเคียดแค้นชิงชังกับหมอปู่ ที่ชอบอารมณ์เสีย เกรี้ยวกราดใส่เขาอยู่บ่อยครั้ง
วันหนึ่งมีชาวบ้านที่ป่วยเป็นโรคเดียวกับหมอปู่ กิตติจึงเข้าไปดูอาการและรีบรักษา จนชาวบ้านคนนั้นหายปวดเป็นปลิดทิ้ง ชาวบ้านคนนั้นชื่นชมหมอกิตติและยังบอกเขาด้วยว่า “หมอกิตติช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้หมอปู่เป็นอาจารย์ผู้สอนวิชาให้ ต่อไปนี้หมอปู่คงจะหายห่วงไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีทายาทสืบทอดอุดมการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์” คนนั้นพูดชื่นชมหมอกิตติพร้อมกับยกสมบัติล้ำค่าที่ตนมีให้กับหมอกิตติ จนคนทั้งหมู่บ้านและคนต่างอำเภอหันมายกย่องชื่นชมหมอกิตติกันทั้งสิ้น
หมอกิตติเริ่มรู้ซึ้งถึงความทุ่มเทของหมอปู่ที่เพียรพร่ำสอนวิชาให้กับเขา จนเขามีชื่อเสียงและเงินทองมากมาย กิตติจึงใส่ใจทุ่มเทการรักษาหมอปู่ จะหมอปู่หายดีเป็นปลิดทิ้ง เมื่อหมอปู่หายดีแล้วหมอปู่จึงได้สอนวิชาครั้งสุดท้ายเรื่องการเอาชนะความเครียดแค้นชิงชังในจิตใจตนเองด้วยความเมตตา หมอปู่พูดเปิดเผยความในใจเป็นครั้งแรกว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาหมอปู่รู้ดีว่ากิตติรู้สึกต่อเขาอย่างไร แต่หมอปู่ก็อยากสอนให้กิติรู้ว่าการเป็นหมอรักษาคนป่วยนั้นนอกจากจะต้องเอาชนะโรคภัยไข้เจ็บให้ได้แล้วยังต้องอดทนกับอาการเจ็บป่วยของคนไข้ให้ได้ด้วย เพราะคนไข้เจ็บป่วยทางร่างกาย จึงทำให้จิตใจของคนไข้เจ็บป่วยไปด้วย หมอมีหน้าที่รักษาคนไข้ให้หายดีทั้งทางกายและทางใจ เส้นหมอจะต้องฝึกฝนความอดทนอดกลั้นและความเข้มแข็งในจิตใจให้ได้
หมอกิตติเข้าใจที่หมอปู่กำลังสั่งสอนเขาจึงโอบกอดหมอปู่ด้วยความรักและความเมตตา พร้อมอยู่ดูแลหมอปู่และชาวบ้านจนสิ้นอายุขัย
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เราเป็นผู้เลือกได้ว่าจะเคียดแค้นชิงชังหรือให้ความรักและความเมตตากับคนที่อยู่ใกล้ชิดเรา