เราปฏิบัติคู่กันกับสามี
2คนมีจริตต่างกัน
คนนึง เป็นพวกสมถะไม่เก่ง ใช้ปัญญานำ
สามี สมถะเก่ง ปัญญาตามมาทีหลัง
สิ่งที่ต่างกันคือ
-ตัวเราไม่เห็นกายเป็นธาตุ พิจารณาอสุภะไม่เป็น ทำได้แค่คิดตามแต่ไม่เห็นด้วยตาใน และไม่อินกับเรื่องความเป็นธาตุ เพราะทำได้แค่คิดตาม
แต่มันจะมีปัญญาเกิดแบบฟ้าแลบ เห็นแล้วมันเข้าใจหมดว่าทุกสิ่งล้วนเป็นเป็นมายา
ปัญญาของเราจะเกิดในตอนใช้ชีวิตประจำวัน เช่นระหว่างเดินแล้วรู้สึกตัวว่ากำลังทำสิ่งต่างๆ กำลังกวาดบ้าน อยู่ดีดีเห็นกายเรามันดีดออกมาอยู่ข้างหลังตัวเอง จึงเข้าใจแล้วว่ากายนี้ไม่ใช่เรา
-สามีนั่งสงบได้เร็ว เห็นกายแยกเป็นธาตุ สลายกองลงไปต่อหน้าต่อตา ถึงตรงนี้เค้าจะเห็นว่ากายนี้ไม่มีตรงไหนเป็นเราเลย มีแต่ธาตุล้วนๆ ส่วนตอนนี้ดูลมจนลมหายไปแล้ว(เราเดาว่าคงละเอียดมาก) และล่าสุดบอกว่าลมมันเข้าออกทางผิวหนังได้(เขาเล่าให้ฟัง) ปัญญาของสามีจะเกิดในณาน
คนแบบนี้เค้าเห็นความคิดคนอื่น เห็นจนเบื่อไม่เอามาเป็นสิ่งวิเศษเพราะมุ่งนิพพาน ไม่แวะแสดงฤทธิ์ เค้ารู้ว่ามันทำให้ช้า ดีไม่ดีพาลงต่ำกว่าที่เป็นอยู่อีก
ปัญญาขั้นต้นที่เกิด คือความเห็นว่ากายนี้ไม่เป็นเรา ไม่ใช่เรา มันเกิดต่างกัน
แต่สรุปเข้าใจเหมือนกันว่ามันไม่ใช่เรา
มีตอนที่พวกปัญญาอย่างเราจะเป็นห่วงพวกสมถะ
คือ มันมีช่วงนึงที่สามีเห็นดวงจิต เห็นมันแตกดับ ขยายเล็กใหญ่ ต่างไปในแต่ละวัน
5555ผู้มีปัญญาอย่างเรา รีบห้ามทันที บอกว่าเธอระวังจะเป็นพรหมลูกฝักนะ
เป็นห่วงอยู่นานมาก เพราะเค้ามีอาการตัดสัญญา
คือ จะขับรถเค้าต้องระลึกแป๊ปว่ามันขับยังไง ขนาดเปิดแอร์รถยังเปิดไม่เป็น (แต่เคยถามครูบาอาจารย์ท่านว่าดี) แต่ตอนนั้นเราก็ยังไม่วางใจ เพราะเข้าใจว่าเค้าต้องเกิดปัญญาเหมือนเราสิ มันต้องเกิดแบบเราเท่านั้นถึงจะถูก (ปัญญาเรามันก็เกิดบ่อยซะด้วยแต่มันเล่าแล้วต้องพิมพ์มาก ถึงมันเกิดแว่บเดียวแต่อธิบายเป็นคำพูดนี่มันเยอะสุดเลย)
พอปฏิบัติมาถึงวันนี้ต่างคนต่างเข้าใจกันและกันแล้ว เพราะฉะนั้นอย่างมัวแต่แวะเถียงกันเลย มันมีให้เรายึดตลอดสายนั่นแหละ รีบๆทำรีบๆไปกันเถอะ ผู้ปฏิบัติด้วยกันเองอย่ามัวแต่มาเถียงกัน
ขอบอก ตอนนี้ที่เราเข้ามาพิมพ์มากมายเวิ่นเว้อ เพราะอยู่ในช่วงปัญญามันล้ำหน้าสมาธิแล้ว(ไม่ดีนะ ไม่ใช่ดี ครูบาอาจารย์ท่านว่าเมาธรรม)
นี่กำลังพยายามกลับไปนั่งให้มันสงบๆลงหน่อย
จะได้ไปต่อ
แวะมาบอกเด้อ อย่าเอาแต่เถียงกัน
ไปๆด้วยกัน ไปจากมายานี่กันเสียที
ผู้ปฏิบัติมีสองแบบใหญ่ บางทีก็จะเถียงกันเอง โดยเฉพาะพวกปัญญาวิมุตติ รู้มากเห็นมาก555
2คนมีจริตต่างกัน
คนนึง เป็นพวกสมถะไม่เก่ง ใช้ปัญญานำ
สามี สมถะเก่ง ปัญญาตามมาทีหลัง
สิ่งที่ต่างกันคือ
-ตัวเราไม่เห็นกายเป็นธาตุ พิจารณาอสุภะไม่เป็น ทำได้แค่คิดตามแต่ไม่เห็นด้วยตาใน และไม่อินกับเรื่องความเป็นธาตุ เพราะทำได้แค่คิดตาม
แต่มันจะมีปัญญาเกิดแบบฟ้าแลบ เห็นแล้วมันเข้าใจหมดว่าทุกสิ่งล้วนเป็นเป็นมายา
ปัญญาของเราจะเกิดในตอนใช้ชีวิตประจำวัน เช่นระหว่างเดินแล้วรู้สึกตัวว่ากำลังทำสิ่งต่างๆ กำลังกวาดบ้าน อยู่ดีดีเห็นกายเรามันดีดออกมาอยู่ข้างหลังตัวเอง จึงเข้าใจแล้วว่ากายนี้ไม่ใช่เรา
-สามีนั่งสงบได้เร็ว เห็นกายแยกเป็นธาตุ สลายกองลงไปต่อหน้าต่อตา ถึงตรงนี้เค้าจะเห็นว่ากายนี้ไม่มีตรงไหนเป็นเราเลย มีแต่ธาตุล้วนๆ ส่วนตอนนี้ดูลมจนลมหายไปแล้ว(เราเดาว่าคงละเอียดมาก) และล่าสุดบอกว่าลมมันเข้าออกทางผิวหนังได้(เขาเล่าให้ฟัง) ปัญญาของสามีจะเกิดในณาน
คนแบบนี้เค้าเห็นความคิดคนอื่น เห็นจนเบื่อไม่เอามาเป็นสิ่งวิเศษเพราะมุ่งนิพพาน ไม่แวะแสดงฤทธิ์ เค้ารู้ว่ามันทำให้ช้า ดีไม่ดีพาลงต่ำกว่าที่เป็นอยู่อีก
ปัญญาขั้นต้นที่เกิด คือความเห็นว่ากายนี้ไม่เป็นเรา ไม่ใช่เรา มันเกิดต่างกัน
แต่สรุปเข้าใจเหมือนกันว่ามันไม่ใช่เรา
มีตอนที่พวกปัญญาอย่างเราจะเป็นห่วงพวกสมถะ
คือ มันมีช่วงนึงที่สามีเห็นดวงจิต เห็นมันแตกดับ ขยายเล็กใหญ่ ต่างไปในแต่ละวัน
5555ผู้มีปัญญาอย่างเรา รีบห้ามทันที บอกว่าเธอระวังจะเป็นพรหมลูกฝักนะ
เป็นห่วงอยู่นานมาก เพราะเค้ามีอาการตัดสัญญา
คือ จะขับรถเค้าต้องระลึกแป๊ปว่ามันขับยังไง ขนาดเปิดแอร์รถยังเปิดไม่เป็น (แต่เคยถามครูบาอาจารย์ท่านว่าดี) แต่ตอนนั้นเราก็ยังไม่วางใจ เพราะเข้าใจว่าเค้าต้องเกิดปัญญาเหมือนเราสิ มันต้องเกิดแบบเราเท่านั้นถึงจะถูก (ปัญญาเรามันก็เกิดบ่อยซะด้วยแต่มันเล่าแล้วต้องพิมพ์มาก ถึงมันเกิดแว่บเดียวแต่อธิบายเป็นคำพูดนี่มันเยอะสุดเลย)
พอปฏิบัติมาถึงวันนี้ต่างคนต่างเข้าใจกันและกันแล้ว เพราะฉะนั้นอย่างมัวแต่แวะเถียงกันเลย มันมีให้เรายึดตลอดสายนั่นแหละ รีบๆทำรีบๆไปกันเถอะ ผู้ปฏิบัติด้วยกันเองอย่ามัวแต่มาเถียงกัน
ขอบอก ตอนนี้ที่เราเข้ามาพิมพ์มากมายเวิ่นเว้อ เพราะอยู่ในช่วงปัญญามันล้ำหน้าสมาธิแล้ว(ไม่ดีนะ ไม่ใช่ดี ครูบาอาจารย์ท่านว่าเมาธรรม)
นี่กำลังพยายามกลับไปนั่งให้มันสงบๆลงหน่อย
จะได้ไปต่อ
แวะมาบอกเด้อ อย่าเอาแต่เถียงกัน
ไปๆด้วยกัน ไปจากมายานี่กันเสียที