ภิกษุที่เจริญอานาปานสติแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมบำเพ็ญสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ได้

พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “อานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้วย่อมมีผลมากมีอานิสงส์มาก
ภิกษุที่เจริญอานาปานสติแล้ว ทำให้มากแล้ว
ย่อมบำเพ็ญสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ได้”

เมื่อเจริญอานาปานสติจนถึงปฐมฌาน มีสติเห็นลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ลมหายใจสั้น ลมหายใจยาว ลมหายใจหยาบ ลมหายใจละเอียด ที่เข้ามากระทบกายชัดเจน นี่คือ ฐานกาย

เมื่อเจริญอานาปานสติจนถึงทุติยฌานและตติยฌาน มีสติเห็นปีติและสุขเกิดขึ้นแผ่ซ่านไปทั้งกายและใจชัดเจน นี่คือ ฐานเวทนา

เมื่อเจริญอานาปานสติจนถึงจตุถฌาน มีสติเห็นลมหายใจ กาย สุขและทุกข์ดับลง เหลือแต่จิตตั้งมั่น เห็นจิตตั้งมั่น ที่เรียกว่า จิตเห็นจิตอย่างชัดเจน นี่คือ ฐานจิต

เมื่อเจริญอานาปานสติเมื่อจิตหมุนเข้าสู่ภูมิวิปัสสนาด้วยกำลังของฌาน มีสติเห็นขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เป็นที่ประชุมของธาตุ 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และจิต คือ ธาตุรู้มาครองขันธ์ 5 นี้ เป็นตัวเรา ของเรา ขันธ์ 5 ไม่ใช่จิต จิตเบื่อหน่ายในขันธ์ 5 เห็นกิเลสอวิชชา และขันธ์ 5 ถูกทำลายลง เหลือแต่จิตและความว่างไร้สมมุติหรือสุญญตา นี่คือ ฐานธรรม

พระพุทธเจ้าทรงตรัสอีกว่า
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติว่า เป็นธรรมเครื่องอยู่ของพระอริยบ้าง...ของพรหมบ้าง....ของพระตถาคตบ้าง สมาธิอันประกอบด้วยอานาปานสติอันภิกษุนั้นเจริญแล้ว เพิ่มพูนแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นอาสวะ...ภิกษุเหล่าใดเป็นอรหันตขีณาสพ...สมาธิอันสมัปยุตด้วยอานาปานสติ...ย่อมเป็นไปเพื่อความอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน และเพื่อความมีสติสัมปชัญญะ....”

บางสำนัก ไปสอนดูฐานจิต โดยไม่เริ่มจากฐานกาย คือ การเจิญอานาปานสติดูลมหายใจเข้า-ออก กระโดดไปฐานจิตเลย เหมือนเด็กยังไม่จบ ป.1 กระโดดไปเรียน มหาวิทยาลัยเลย ไปนึกเอาเองว่าการเห็นอาการรู้ของจิต (วิญญาณขันธ์) เห็นการเกิดดับของวิญญาณขันธ์เป็น จิต จึงหลงว่า จิตเป็นวิญญาณขันธ์ ในขันธ์ 5 เป็นมิจฉาทิฏฐิ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่