สิบล้อทนไม่ไหว! ประกาศบุกทำเนียบ 11 มิ.ย.นี้ ร้องรัฐฯแก้ดีเซลแพง
https://ch3plus.com/news/economy/ruangden/402589
กลุ่มผู้ประกอบการรถสิบล้อ ทนไม่ไหว ประกาศบุกทำเนียบ 11 มิถุนายนนี้ เรียกร้องรัฐบาลแก้ปัยหาดีเซลแพง หลังยื่นหนังสือไป 2 รอบ ยังไม่ได้รับการตอบสนอง
วันนี้ (3 มิ.ย.) สหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย ได้มีการเรียกประชุมสมาชิกถึงแนวทางการแก้ปัญหาน้ำมันดีเซล ที่ล่าสุดพุ่งชนเพดาน 33 บาทต่อลิตร ภาคขนส่งแบกรับต้นทุนไม่ไหว และยังมีแนวโน้มว่าจะมีการขยายเพดานเป็น 35 บาทต่อลิตร ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการขนส่งอย่างหนัก เพราะทุกๆ 1 บาทที่ปรับขึ้น จะส่งผลต่อต้นทุนการขนส่ง 3 %
โดยที่ประชุมได้ข้อสรุปเบื้องต้น จะส่งตัวแทน 100 คน บุกทำเนียบรัฐบาล ในวันที่ 11 มิถุนายนนี้ เวลา 10.00 น. เพื่อยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเป็นครั้งที่ 3 หลังจากก่อนหน้านี้ยื่นไปแล้ว 2 ครั้ง แต่ยังไม่ได้รับการเหลียวแล แถมโยนกันไปโยนกันมาระหว่างหน่วยงานต่างๆ ส่วนข้อเรียกร้องนั้น จะมีการสรุปและประกาศกันอีกครั้ง เพื่อไม่ให้ภาระตกไปอยู่กับประชาชนผู้บริโภค ซึ่งถ้าเข้าไปดูข้อเรียกร้องที่ยื่นไปก่อนหน้านี้ เช่น การทวงสัญญาการปรับโครงสร้างราคาให้เป็นธรรม โดยให้ตัดไบโอดีเซล (B100) ออกจากสูตรน้ำมันดีเซล ซึ่งจะช่วยปรับลดราคาน้ำมันดีเชลได้ประมาณ 1.50 - 2 บาท เป็นระยะเวลา 1 ปี เลิกอ้างอิงราคาโรงกลั่นสิงคโปร์ เนื่องจากมีค่าขนส่งและค่าประกันภัยรวมอยู่ด้วย เป็นต้น
ขณะที่ราคาไข่เป็ดขึ้นไม่หยุด ล่าสุด พุ่งเเเตะฟองละ 5 บาทแล้ว โดยสมาคมผู้เลี้ยงเป็ดไข่ ได้ออกประกาศถึงสมาชิก แจ้งปรับขึ้นราคาไข่เป็ดหน้าฟาร์มเกษตรกรขึ้นอีก 10 สตางค์ เป็นฟองละ 5 บาท ตั้งแต่วันนี้ 3 มิ.ย. เป็นต้นไป ซึ่งการปรับราคาครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่ 4 หลังจากก่อนหน้านี้ ได้ปรับไปเมื่อวันที่ 22 เมษายน ฟองละ 20 สตางค์ / วันที่ 6 พฤษภาคม ฟองละ 20 สตางค์ / วันที่ 20 พฤษภาคม ขึ้นฟองละ 10 สตางค์ วันนี้ปรับขึ้นอีก ฟองละ 10 สต. ส่งผลราคาไข่เป็ด ใกล้ทุบสถิติ ที่ราคาเคยขึ้นไปถึงฟองละ 5.10 บาท เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ปี 65
ทั้งนี้เป็นผลจากอากาศร้อนจัด ทำให้เป็ดไม่ออกไข่ และยังทำให้เป็ดไม่กินอาหาร ไข่ไม่มีคุณภาพ พร้อมกันนี้ยังประสบปัญหาเรื่องภัยแล้งกระทบแหล่งน้ำ ทำให้แหล่งน้ำไม่เพียงพอด้วย ราคาไข่ที่สูงขึ้นซ้ำเติมวัตถุดิบอื่น ทั้งน้ำตาล แป้งสาลี ที่ขึ้นไปก่อนหน้านี้ ส่งผลกระทบต่อร้านขายขนมหวานไทย ต้องแบกภาระต้นทุนที่สูงขึ้น
ฐากร ปูดบิ๊กขรก.คมนาคมรีดส่วยหนัก เตรียมถลกกลางสภา วันอภิปรายงบฯ68
https://www.matichon.co.th/politics/news_4609287
ฐากร ปูดบิ๊กขรก.คมนาคมรีดส่วยหนัก เตรียมถลกกลางสภา วันอภิปรายงบฯ68
เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน นาย
ฐากร ตัณฑสิทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) เปิดเผยว่า ในการประชุมสมัยวิสามัญรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ระหว่างวันที่ 19-21 มิถุนายนนั้น ได้จัดเตรียมข้อมูลการอภิปรายไว้แล้ว โดยเฉพาะข้อมูลที่ได้รับจากประชาชนที่ร้องเรียนการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาลซึ่งมีข้อพิรุธส่อไปในทางไม่โปร่งใสในหลายกระทรวง
นาย
ฐากรกล่าวว่า โดยเฉพาะกระทรวงคมนาคม ได้รับข้อมูลความไม่โปร่งใสของผู้บริหารระดับกรมโดยมีพฤติกรรมเรียกรับผลประโยชน์หรือเรียกง่ายๆ ว่าส่วยจากผู้รับเหมาที่ชนะงานประมูล ผู้บริหารรายนี้สั่งให้เจ้าหน้าที่ระดับ ผู้อำนวยการ เป็นคนดำเนินการพร้อมกับตั้งเป้าให้ส่งส่วยในพื้นที่รับผิดชอบจากทั่วประเทศพื้นที่ละไม่น้อยกว่า 20 ล้านบาทตั้งแต่เดือนพฤษภาคมและขีดเส้นตายให้ผู้รับเหมาทั่วประเทศส่งให้เสร็จสิ้นภายในเดือนมิถุนายนนี้ คิดเป็นมูลค่าราว 800 – 1,000 ล้านบาท
“
ในงบประมาณปี 2567 บางโครงการจะยังไม่ได้ลงนามเซ็นสัญญา ผู้รับเหมาบางรายต้องกู้เงินมาเพื่อนำมาจ่ายให้กับกรม ทำให้ได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก จากการสอบถามข้าราชการในกรมดังกล่าวได้รับทราบข้อมูลว่า การเรียกรับเงินค่าโครงการของกรมนั้นมีมานานแล้ว แต่อัตราที่เรียกเก็บนั้น ขึ้นอยู่กับผู้บริหารในแต่ละยุคสมัย โดยที่ผ่านมา อัตราที่มีการเรียกเก็บในอัตราประมาณ 12 % ของมูลค่างาน” นาย
ฐากูรกล่าว และว่า
ล่าสุดผู้บริหารกรมคนนี้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เร่งเก็บเงินจากผู้รับเหมาทั่วประเทศ โดยตั้งเป้าว่า เดือนพฤษภาคม 2567 ทุกพื้นที่จะต้องส่งเงินพื้นที่ละ 20 ล้านบาทเป็นอย่างน้อยและต้องส่งเงินให้ได้โดยเฉลี่ยพื้นที่ละ 30 ล้านบาท คาดว่าภายในเดือนมิถุนายนนี้จะมีสะพัดในกรมฯไม่น้อยกว่า 800 ล้านบาท ผู้บริหารคนดังกล่าวยังกำชับเจ้าหน้าที่ให้โทรศัพท์ไปยังหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดเร่งส่งเงินตามเป้าหมาย มิฉะนั้นจะถูกโยกย้าย
“
ถ้าหากขบวนการคอร์รัปชั่นในวงราชการยังเป็นเช่นนี้อยู่ การผลักดันให้ประเทศขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยความสุจริตโปร่งใสเหมือนประเทศที่เจริญแล้วอย่างเช่น สิงคโปร์ คงเป็นแค่ความฝันลมๆแล้งๆ” นาย
ฐากรกล่าว
ชัชชาติเข้มห้ามบุหรี่ไฟฟ้า รอบและใน ร.ร.กทม.-ออกกฎ 5 ข้อทุก ร.ร.ปฏิบัติ
https://www.thairath.co.th/news/local/bangkok/2790454
นาย
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. เปิดเผยว่า กทม.ให้ความสำคัญกับการรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน เราเน้นการป้องกันไม่ให้เกี่ยวข้องกับบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า มีการรณรงค์อย่างต่อเนื่องทุกปี ซึ่งในสถานการณ์ปัจจุบันบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าผิดกฎหมาย แต่ผู้ผลิตบุหรี่ไฟฟ้ากลับมีเป้าหมายสร้างฐานลูกค้าที่เป็นเด็กและเยาวชน เพื่อให้เกิดการเสพติดในระยะยาวจึงต้องขอความร่วมมือกวาดล้างการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า โดยเฉพาะบริเวณใกล้เคียงสถานศึกษา
รายงานข่าวจากศาลาว่าการ กทม.แจ้งว่า เมื่อวันที่ 31 พ.ค.ที่ผ่านมา นาย
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ได้ลงนามในประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่องแนวทางปฏิบัติเพื่อการป้องกันและควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า น้ำยา หรืออุปกรณ์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับบุหรี่ไฟฟ้าในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร โดยมีแนวทางปฏิบัติ ดังนี้
1. ให้โรงเรียนสังกัด กทม.เป็นพื้นที่ “ปลอดบุหรี่ไฟฟ้า”
2. ให้โรงเรียนตรวจกระเป๋านักเรียน ตรวจตราบริเวณอาคารสถานที่ภายในโรงเรียนเป็นประจำ เพื่อเป็นการป้องกันการนำบุหรี่ไฟฟ้า น้ำยา หรืออุปกรณ์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาในโรงเรียน
3. ให้สำนักงานเขตและเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องตรวจตราไม่ให้มีการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าบริเวณรอบโรงเรียน ชุมชน และแหล่งต่างๆในพื้นที่
4. ให้โรงเรียนจัดทำ Dropbox สำหรับใส่บุหรี่ไฟฟ้า น้ำยา หรืออุปกรณ์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับบุหรี่ไฟฟ้า เมื่อตรวจพบการนำบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาในโรงเรียน ให้ริบใส่ไว้ใน Dropbox และจัดทำข้อมูลทะเบียน พร้อมแจ้งสำนักงานเขตดำเนินการต่อไป
5. ให้ศูนย์บริการสาธารณสุขให้ความรู้ ให้คำปรึกษา และตรวจเยี่ยมโรงเรียน ในกรณีที่มีเด็กและเยาวชนเข้าไปเกี่ยวข้องกับบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า หรือสิ่งเสพติดอื่นใด เพื่อปรับพฤติกรรมหรือนำเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษาต่อไป.
JJNY : สิบล้อทนไม่ไหว! ประกาศบุกทำเนียบ│ฐากรปูดบิ๊กขรก.รีดส่วยหนัก│ชัชชาติเข้มห้ามบุหรี่ไฟฟ้า│ภาคใต้เยอรมนีเผชิญน้ำท่วม
https://ch3plus.com/news/economy/ruangden/402589
กลุ่มผู้ประกอบการรถสิบล้อ ทนไม่ไหว ประกาศบุกทำเนียบ 11 มิถุนายนนี้ เรียกร้องรัฐบาลแก้ปัยหาดีเซลแพง หลังยื่นหนังสือไป 2 รอบ ยังไม่ได้รับการตอบสนอง
วันนี้ (3 มิ.ย.) สหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย ได้มีการเรียกประชุมสมาชิกถึงแนวทางการแก้ปัญหาน้ำมันดีเซล ที่ล่าสุดพุ่งชนเพดาน 33 บาทต่อลิตร ภาคขนส่งแบกรับต้นทุนไม่ไหว และยังมีแนวโน้มว่าจะมีการขยายเพดานเป็น 35 บาทต่อลิตร ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการขนส่งอย่างหนัก เพราะทุกๆ 1 บาทที่ปรับขึ้น จะส่งผลต่อต้นทุนการขนส่ง 3 %
โดยที่ประชุมได้ข้อสรุปเบื้องต้น จะส่งตัวแทน 100 คน บุกทำเนียบรัฐบาล ในวันที่ 11 มิถุนายนนี้ เวลา 10.00 น. เพื่อยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเป็นครั้งที่ 3 หลังจากก่อนหน้านี้ยื่นไปแล้ว 2 ครั้ง แต่ยังไม่ได้รับการเหลียวแล แถมโยนกันไปโยนกันมาระหว่างหน่วยงานต่างๆ ส่วนข้อเรียกร้องนั้น จะมีการสรุปและประกาศกันอีกครั้ง เพื่อไม่ให้ภาระตกไปอยู่กับประชาชนผู้บริโภค ซึ่งถ้าเข้าไปดูข้อเรียกร้องที่ยื่นไปก่อนหน้านี้ เช่น การทวงสัญญาการปรับโครงสร้างราคาให้เป็นธรรม โดยให้ตัดไบโอดีเซล (B100) ออกจากสูตรน้ำมันดีเซล ซึ่งจะช่วยปรับลดราคาน้ำมันดีเชลได้ประมาณ 1.50 - 2 บาท เป็นระยะเวลา 1 ปี เลิกอ้างอิงราคาโรงกลั่นสิงคโปร์ เนื่องจากมีค่าขนส่งและค่าประกันภัยรวมอยู่ด้วย เป็นต้น
ขณะที่ราคาไข่เป็ดขึ้นไม่หยุด ล่าสุด พุ่งเเเตะฟองละ 5 บาทแล้ว โดยสมาคมผู้เลี้ยงเป็ดไข่ ได้ออกประกาศถึงสมาชิก แจ้งปรับขึ้นราคาไข่เป็ดหน้าฟาร์มเกษตรกรขึ้นอีก 10 สตางค์ เป็นฟองละ 5 บาท ตั้งแต่วันนี้ 3 มิ.ย. เป็นต้นไป ซึ่งการปรับราคาครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่ 4 หลังจากก่อนหน้านี้ ได้ปรับไปเมื่อวันที่ 22 เมษายน ฟองละ 20 สตางค์ / วันที่ 6 พฤษภาคม ฟองละ 20 สตางค์ / วันที่ 20 พฤษภาคม ขึ้นฟองละ 10 สตางค์ วันนี้ปรับขึ้นอีก ฟองละ 10 สต. ส่งผลราคาไข่เป็ด ใกล้ทุบสถิติ ที่ราคาเคยขึ้นไปถึงฟองละ 5.10 บาท เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ปี 65
ทั้งนี้เป็นผลจากอากาศร้อนจัด ทำให้เป็ดไม่ออกไข่ และยังทำให้เป็ดไม่กินอาหาร ไข่ไม่มีคุณภาพ พร้อมกันนี้ยังประสบปัญหาเรื่องภัยแล้งกระทบแหล่งน้ำ ทำให้แหล่งน้ำไม่เพียงพอด้วย ราคาไข่ที่สูงขึ้นซ้ำเติมวัตถุดิบอื่น ทั้งน้ำตาล แป้งสาลี ที่ขึ้นไปก่อนหน้านี้ ส่งผลกระทบต่อร้านขายขนมหวานไทย ต้องแบกภาระต้นทุนที่สูงขึ้น
ฐากร ปูดบิ๊กขรก.คมนาคมรีดส่วยหนัก เตรียมถลกกลางสภา วันอภิปรายงบฯ68
https://www.matichon.co.th/politics/news_4609287
ฐากร ปูดบิ๊กขรก.คมนาคมรีดส่วยหนัก เตรียมถลกกลางสภา วันอภิปรายงบฯ68
เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) เปิดเผยว่า ในการประชุมสมัยวิสามัญรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ระหว่างวันที่ 19-21 มิถุนายนนั้น ได้จัดเตรียมข้อมูลการอภิปรายไว้แล้ว โดยเฉพาะข้อมูลที่ได้รับจากประชาชนที่ร้องเรียนการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาลซึ่งมีข้อพิรุธส่อไปในทางไม่โปร่งใสในหลายกระทรวง
นายฐากรกล่าวว่า โดยเฉพาะกระทรวงคมนาคม ได้รับข้อมูลความไม่โปร่งใสของผู้บริหารระดับกรมโดยมีพฤติกรรมเรียกรับผลประโยชน์หรือเรียกง่ายๆ ว่าส่วยจากผู้รับเหมาที่ชนะงานประมูล ผู้บริหารรายนี้สั่งให้เจ้าหน้าที่ระดับ ผู้อำนวยการ เป็นคนดำเนินการพร้อมกับตั้งเป้าให้ส่งส่วยในพื้นที่รับผิดชอบจากทั่วประเทศพื้นที่ละไม่น้อยกว่า 20 ล้านบาทตั้งแต่เดือนพฤษภาคมและขีดเส้นตายให้ผู้รับเหมาทั่วประเทศส่งให้เสร็จสิ้นภายในเดือนมิถุนายนนี้ คิดเป็นมูลค่าราว 800 – 1,000 ล้านบาท
“ในงบประมาณปี 2567 บางโครงการจะยังไม่ได้ลงนามเซ็นสัญญา ผู้รับเหมาบางรายต้องกู้เงินมาเพื่อนำมาจ่ายให้กับกรม ทำให้ได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก จากการสอบถามข้าราชการในกรมดังกล่าวได้รับทราบข้อมูลว่า การเรียกรับเงินค่าโครงการของกรมนั้นมีมานานแล้ว แต่อัตราที่เรียกเก็บนั้น ขึ้นอยู่กับผู้บริหารในแต่ละยุคสมัย โดยที่ผ่านมา อัตราที่มีการเรียกเก็บในอัตราประมาณ 12 % ของมูลค่างาน” นายฐากูรกล่าว และว่า
ล่าสุดผู้บริหารกรมคนนี้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เร่งเก็บเงินจากผู้รับเหมาทั่วประเทศ โดยตั้งเป้าว่า เดือนพฤษภาคม 2567 ทุกพื้นที่จะต้องส่งเงินพื้นที่ละ 20 ล้านบาทเป็นอย่างน้อยและต้องส่งเงินให้ได้โดยเฉลี่ยพื้นที่ละ 30 ล้านบาท คาดว่าภายในเดือนมิถุนายนนี้จะมีสะพัดในกรมฯไม่น้อยกว่า 800 ล้านบาท ผู้บริหารคนดังกล่าวยังกำชับเจ้าหน้าที่ให้โทรศัพท์ไปยังหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดเร่งส่งเงินตามเป้าหมาย มิฉะนั้นจะถูกโยกย้าย
“ถ้าหากขบวนการคอร์รัปชั่นในวงราชการยังเป็นเช่นนี้อยู่ การผลักดันให้ประเทศขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยความสุจริตโปร่งใสเหมือนประเทศที่เจริญแล้วอย่างเช่น สิงคโปร์ คงเป็นแค่ความฝันลมๆแล้งๆ” นายฐากรกล่าว
ชัชชาติเข้มห้ามบุหรี่ไฟฟ้า รอบและใน ร.ร.กทม.-ออกกฎ 5 ข้อทุก ร.ร.ปฏิบัติ
https://www.thairath.co.th/news/local/bangkok/2790454
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. เปิดเผยว่า กทม.ให้ความสำคัญกับการรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน เราเน้นการป้องกันไม่ให้เกี่ยวข้องกับบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า มีการรณรงค์อย่างต่อเนื่องทุกปี ซึ่งในสถานการณ์ปัจจุบันบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าผิดกฎหมาย แต่ผู้ผลิตบุหรี่ไฟฟ้ากลับมีเป้าหมายสร้างฐานลูกค้าที่เป็นเด็กและเยาวชน เพื่อให้เกิดการเสพติดในระยะยาวจึงต้องขอความร่วมมือกวาดล้างการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า โดยเฉพาะบริเวณใกล้เคียงสถานศึกษา
รายงานข่าวจากศาลาว่าการ กทม.แจ้งว่า เมื่อวันที่ 31 พ.ค.ที่ผ่านมา นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ได้ลงนามในประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่องแนวทางปฏิบัติเพื่อการป้องกันและควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า น้ำยา หรืออุปกรณ์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับบุหรี่ไฟฟ้าในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร โดยมีแนวทางปฏิบัติ ดังนี้
1. ให้โรงเรียนสังกัด กทม.เป็นพื้นที่ “ปลอดบุหรี่ไฟฟ้า”
2. ให้โรงเรียนตรวจกระเป๋านักเรียน ตรวจตราบริเวณอาคารสถานที่ภายในโรงเรียนเป็นประจำ เพื่อเป็นการป้องกันการนำบุหรี่ไฟฟ้า น้ำยา หรืออุปกรณ์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาในโรงเรียน
3. ให้สำนักงานเขตและเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องตรวจตราไม่ให้มีการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าบริเวณรอบโรงเรียน ชุมชน และแหล่งต่างๆในพื้นที่
4. ให้โรงเรียนจัดทำ Dropbox สำหรับใส่บุหรี่ไฟฟ้า น้ำยา หรืออุปกรณ์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับบุหรี่ไฟฟ้า เมื่อตรวจพบการนำบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาในโรงเรียน ให้ริบใส่ไว้ใน Dropbox และจัดทำข้อมูลทะเบียน พร้อมแจ้งสำนักงานเขตดำเนินการต่อไป
5. ให้ศูนย์บริการสาธารณสุขให้ความรู้ ให้คำปรึกษา และตรวจเยี่ยมโรงเรียน ในกรณีที่มีเด็กและเยาวชนเข้าไปเกี่ยวข้องกับบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า หรือสิ่งเสพติดอื่นใด เพื่อปรับพฤติกรรมหรือนำเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษาต่อไป.