คลัง ประกาศยอดหนี้สาธารณะไทยพุ่งกว่า 11 ล้านบาท คิดเป็น 63.67% ของ GDP
https://ch3plus.com/news/economy/morning/402218
เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง รายงานสถานะหนี้สาธารณะ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 และรายการการกู้เงินและค้ำประกัน ระหว่างเดือนตุลาคม 2566 ถึงเดือนมีนาคม 2567
ด้วยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2544 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 16 วรรคสอง กําหนดให้กระทรวงการคลังสรุปรายงานสถานะของหนี้สาธารณะและประกาศในราชกิจจานุเบกษาภายใน 60 วันหลังจากวันสิ้นเดือนมีนาคมและเดือนกันยายนของทุกปี
โดยรายงานดังกล่าว ต้องแสดงหนี้สาธารณะที่เกิดจากการกู้เงินและค้ำประกัน ณ วันสิ้นเดือนดังกล่าว รวมทั้งรายการการกู้เงิน และค้ำประกันที่เกิดขึ้นใหม่ในช่วงระยะเวลาระหว่างเดือนตุลาคม ถึง เดือนมีนาคม และเดือนเมษายน ถึง เดือนกันยายน ตามลําดับ
กระทรวงการคลังขอรายงานสถานะหนี้สาธารณะ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 และรายการการกู้เงินและค้ำประกัน ระหว่างเดือนตุลาคม 2566 ถึงเดือนมีนาคม 2567 ดังนี้
1.รายงานสถานะหนี้คงค้าง ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง มีจํานวน 11,474,153.99 ล้านบาท หรือคิดเป็น ร้อยละ 63.67 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP)
โดยเป็นหนี้รัฐบาล จํานวน 10,087,188.39 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจ จํานวน 1,072,821.61 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ทําธุรกิจในภาคการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) จํานวน 202,269.17 ล้านบาท และหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐ จํานวน 111,874.42 ล้านบาท
หนี้สาธารณะแบ่งตามอายุเงินกู้คงเหลือ จะเป็นหนี้ระยะยาวซึ่งเป็นหนี้ที่จะครบกําหนดชําระเกินกว่า 1 ปี จํานวน 9,695,775.49 ล้านบาท หรือร้อยละ 84.50 และหนี้ระยะสั้น ที่จะครบกําหนดชําระภายในไม่เกิน 1 ปี จํานวน 1,778,378.00 ล้านบาท หรือร้อยละ 15.50 ของยอดหนี้สาธารณะคงค้าง
ทั้งนี้ หนี้สาธารณะคงค้าง จํานวนทั้งสิ้น 11,474,,153.99 ล้านบาท ประกอบด้วย หนี้ต่างประเทศ (หนี้ที่เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศ) เทียบเท่าสกุลเงินบาท จํานวน 141,359.48 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.23 และหนี้ในประเทศ (หนี้ที่เป็นสกุลเงินบาท) จํานวน 11,332,794.51ล้านบาท หรือร้อยละ 98.77 ของยอดหนี้สาธารณะคงค้าง
ทั้งนี้ สถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ที่ประกาศล่าสุดก่อนหน้านี้ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2566 มีจำนวน 11,131,634.20 ล้านบาท หรือคิดเป็น 62.14% ของ GDP
ส.ส.ก้าวไกลอัดรัฐบาล แก้ปัญหาไฟไหม้ ‘วินโพรเสส’ ไม่คืบหน้าสักเรื่อง จี้นายกฯอนุมัติงบกลางแก้เร่งด่วน
https://www.matichon.co.th/politics/news_4604760
“ชุติพงศ์” ทวงการบ้านรัฐบาล 1 เดือนหลังโรงงานวินโพรเสสไฟไหม้ ตั้งคำถามข้อสั่งการนายกฯ เรื่องไหนคืบหน้า-สำเร็จบ้าง แนะเร่งอนุมัติงบกลาง-เยียวยาประชาชน-กวดขันผู้ประกอบการและโรงงาน
เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ที่อาคารอนาคตใหม่ นาย
ชุติพงศ์ พิภพภิญโญ ส.ส.ระยอง พรรคก้าวไกล แถลง Policy Watch หัวข้อ “
ถอดบทเรียน-ทวงการบ้านรัฐบาล 1 เดือนหลังโรงงานวินโพรเสสไฟไหม้” โดยกล่าวว่า 1 เดือนที่ผ่านมาหลังจากนายกฯ ลงพื้นที่โรงงานวินโพรเสสเมื่อ 27 เมษายน และมีข้อสั่งการ มีอะไรเป็นไปตามที่นายกฯ สั่งการบ้าง ไม่ว่าจะเป็น
(1) สั่งการให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดูแลควบคุมสถานการณ์การปะทุและเหตุเพลิงไหม้จนเข้าสู่ภาวะปกติ จัดทำแผนเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ แต่ต่อมา 12 พฤษภาคม เกิดเพลิงไหม้ซ้ำที่โกดัง 3 หลังจากดับไปแล้วกว่า 15 วัน เหตุผลในการปะทุอีกครั้งยังไม่มีใครตอบได้ ผ่านไป 1 เดือนสาเหตุเพลิงไหม้ก็ยังไม่รู้ ควันที่กองอะลูมิเนียมดรอสก็ยังมีออกมา ส่งกลิ่นเหม็นรบกวนประชาชนแทบทุกวัน เห็นได้ว่าการควบคุมสถานการณ์การปะทุยังไม่เข้าสู่สภาวะปกติ ไฟจะปะทุอีกเมื่อไรก็ไม่รู้
นาย
ชุติพงศ์ กล่าวว่า (2) ให้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ลงทะเบียนที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดระยอง ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอบ้านค่าย องค์การบริหารส่วนตำบลหนองบัว องค์การบริหารส่วนตำบลบางบุตร เพื่อเป็นข้อมูลในการชดเชยเยียวยา ตามระเบียบและกฎหมายที่กำหนดเกี่ยวข้อง ไม่แน่ใจว่าประชาสัมพันธ์มีประสิทธิภาพหรือไม่ แต่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดระยองกับศูนย์ดำรงธรรมอำเภอบ้านค่าย มีผู้มาลงทะเบียนรับเรื่องชดเชยเยียวยา รวมกันแล้ว 0 คน ที่ อบต.บางบุตร และ อบต.หนองบัว รวมกันประมาณ 700 คน จากประชากรทั้งพื้นที่ 4,000 กว่าคน ที่สำคัญเพิ่งจะแต่งตั้งคณะกรรมการเสร็จ และประชุมครั้งแรกไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ไม่แน่ใจว่าอีกนานแค่ไหนกว่าชาวบ้านจะได้รับเงินชดเชยเยียวยา
(3) ให้กรมควบคุมมลพิษ กรมโรงงานอุตสาหกรรม กำหนดจุดตรวจวัดคุณภาพชุมชนและรายงานผลให้ทราบ เพื่อเฝ้าระวังสุขภาพประชาชน เร่งนำกากอันตรายในพื้นที่ไปกำจัดให้ถูกต้องและเตรียมความพร้อมในการแก้ไขปัญหาในช่วงฤดูฝนที่อาจมีวัตถุอันตรายรั่วออกมา โดยให้กรมโรงงานฯ กำหนดแนวทางการแก้ปัญหาที่ชัดเจน รวมทั้งให้กรมโรงงานฯ และอุตสาหกรรมจังหวัดบูรณาการตรวจสอบโรงงานประเภทนี้ทั่วประเทศ จัดทำแนวทางและมาตรการไม่ให้เกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้นอีก
“
แต่ 1 เดือนผ่านไป สิ่งที่ดูเป็นรูปธรรมที่สุด น่าจะเป็นการขุดบ่อรับน้ำฝนที่ดำเนินงานโดย อบจ.ระยอง มีการขุดบ่อขนาดใหญ่เพื่อใช้สำหรับรับน้ำ แต่ก็กลายเป็นปัญหาใหม่ขึ้นมา เพราะดินที่กองไว้จากการขุดบ่อ กลายเป็นดินผสมสารเคมี พอฝนตกก็เกิดควันออกมาจากกองดิน ส่งกลิ่นเหม็นรบกวนชาวบ้าน รบกวนขนาดที่ว่าโรงเรียนบ้านหนองพะวาข้างๆ โรงงาน ยังไม่สามารถเปิดการเรียนการสอนได้เป็นปกติ เพราะทั้งเด็กและครูแสบจมูก เรียนไปก็ไม่รู้เรื่อง ต้องเรียนผ่านระบบออนไลน์” นาย
ชุติพงศ์ กล่าว
และว่า เรื่องมลพิษและคุณภาพอากาศ ยังขาดการประชาสัมพันธ์มาก ประชาชนจำนวนมากไม่รู้ว่ากลิ่นที่ดมนั้นอันตรายต่อตัวเองแค่ไหน ชาวบ้านเรียกร้องขอป้ายแสดงผลการตรวจคุณภาพอากาศ ก็ไม่มีวี่แววที่จะดำเนินการ การขนย้ายปัจจุบันขนไปได้เพียงไม่กี่ตัน โดยบริษัทเอกชน CSR ทยอยขนกรดกัดแก้วไปกำจัดให้ ซึ่งถ้าเทียบกับสารเคมีจำนวนมากในโรงงาน คงใช้เวลาอีกเป็นปีๆ กว่าจะขนหมด
(4) ขอให้กรมการปกครอง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งดำเนินการหาผู้กระทำผิด ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยเมื่อวานนี้ (30 พฤษภาคม) เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดตามจับกุมโอภาส บุญจันทร์ ประธานบริษัทวินโพรเสส นำตัวส่ง สภ.มาบตาพุด จ.ระยอง และ สภ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา
ได้ขออายัดตัวเพื่อดำเนินคดีเกี่ยวกับความผิดในข้อหาปลอมแปลงเอกสารสิทธิ์ในพื้นที่ สภ.ภาชี ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างสอบสวนและขยายผลเพื่อดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ นอกจากนั้นให้เจ้าหน้าที่เร่งตรวจสอบว่ามีสถานที่อื่นใดที่ใช้เก็บสารเคมีในลักษณะนี้อีกหรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชนในวงกว้าง
นาย
ชุติพงศ์ กล่าวว่า ดังนั้นเห็นได้ว่า 1 เดือนที่ผ่านมา คำสั่งการของนายกฯ มีความคืบหน้าค่อนข้างน้อยจนน่าผิดหวัง และแทบไม่เห็นการทำงานที่ชัดเจนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม การขนย้ายสารเคมีต้องใช้งบประมาณแต่กระทรวงอุตสาหกรรมกลับไม่มีงบประมาณสนับสนุน ทั้งๆ ที่เพิ่งอนุมัติงบ 67 จนต้องทำเอกสารไปของบกลางฯ ซึ่งเอกสารก็ยังไม่เรียบร้อย แผนการขนย้ายไปจัดการก็ยังไม่ชัดเจน ยังไม่รวมถึงการปล่อยปละละเลยให้โรงงานนี้เปิดกิจการถึง 10 กว่าปี และไม่ได้มีเพียงแห่งเดียว ยังมีอีกหลายที่ทั้งในเครือวินโพรเสสรวมถึงโรงงานประเภทอื่นๆ เช่น โรงงานเหล็กซินเคอหยวน ที่เพิ่งมีการอนุมัติให้โรงงานแบบนี้เกิดขึ้น จำเป็นที่ภาครัฐต้องตรวจสอบว่ามีการลดมาตรฐานความปลอดภัยในการปฏิบัติงานของโรงงานเพื่อลดต้นทุนหรือไม่ หากไม่ตรวจสอบเท่ากับจงใจละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ เนื่องจากเหตุการณ์เครนถล่มที่โรงงานดังกล่าว มีแรงงานเสียชีวิตถึง 7 ราย
นาย
ชุติพงศ์ กล่าวว่า ข้อเสนอที่ตนขอเรียกร้องต่อรัฐบาล เพื่อให้การแก้ไขปัญหามีประสิทธิภาพและป้องกันไม่ให้ปัญหานี้เกิดขึ้นอีก
(1) ถ้านายกฯ มองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญอย่างที่บอก ขอให้เร่งอนุมัติงบกลางในกรอบเวลาที่เร่งด่วน ให้มีการจัดการปัญหาที่สะสมมาเป็นสิบปีให้จบลงเสียที ไม่ใช่สั่งอย่างเดียว
(2) จริงอยู่ที่เรื่องวินโพรเสสไม่ได้เกิดในรัฐบาลชุดนี้ แต่ รมว.อุตสาหกรรม ก็ปฏิบัติตัวไม่ต่างจากรัฐบาลชุดที่แล้ว เป็นรัฐบาลมาครบปี ไฟไหม้ครบเดือน ไม่ทำอะไรเป็นรูปธรรม อยากให้เร่งพิจารณาสิ่งที่ทำได้ ภายใต้กรอบกฎหมาย และนำเสนอแผนเข้าสู่ ครม. เพื่อของบกลางในการแก้ปัญหา
(3) เร่งเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างเร่งด่วนกว่านี้ โดยเฉพาะปัญหาสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากควันพิษหรือผลกระทบจากสารพิษ ผ่านไป 1 เดือน เพิ่งตั้งคณะกรรมการเสร็จ แล้วเมื่อไรชาวบ้านจะได้การชดเชยเยียวยา
(4) รัฐบาลควรมีแนวทางและมาตรฐานรวมถึงแผนในการกวดขัดโรงงานในลักษณะนี้ได้แล้ว
นอกจากนี้ ขอเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งรัดการทำกฎหมาย PRTR เปิดเผยบัญชีผู้ครอบครองวัตถุอันตราย เพื่อให้ประชาชนรับทราบ นำไปสู่ความโปร่งใสและการตรวจสอบ กรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้จะรู้ได้ว่าสารเคมีใด ควรใช้สารตัวไหนดับ และขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและกรมโรงงาน เปิดเผยหลักฐานที่ยึดมาได้จากบริษัทวินโพรเสสว่ามีสารเคมีอะไรบ้าง ซื้อจากไหน ขนถ่ายได้อย่างไร ลักลอบเก็บได้อย่างไร ผ่านสายตาตำรวจมากมายได้อย่างไร มีปัญหาเรื่องส่วยเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่ ทำไมเรื่องนี้จึงเงียบมายาวนานนับ 10 ปี
ไทยสร้างไทย อัดรัฐบาล บริหารเกือบปีราคาสินค้าพุ่ง สวนทางคำโฆษณาหาเสียง
https://www.thairath.co.th/news/politic/2789770
รองโฆษกไทยสร้างไทย ชี้ สินค้าอุปโภคบริโภคราคาพุ่ง ต้นทุนพลังงานเพิ่ม ไข่ไก่ฟองละ 4 บาทแล้ว สวนทางคำโฆษณาหาเสียง “มีกินมีใช้ไปพร้อมๆ กัน” แนะเปลี่ยนเป็น “ประหยัดกินประหยัดใช้ไปพร้อมๆ กัน” แทน หลังผู้มีอำนาจบริหารเกือบปี ทั้งจนทั้งเจ๊งเพิ่มอื้อ
วันที่ 31 พ.ค. 2567 นาย
ทิวากร สุระชน รองโฆษกพรรคไทยสร้างไทย กล่าวถึงสถานการณ์ของราคาสินค้าที่พุ่งสูงขึ้น รวมถึงต้นทุนด้านพลังงานที่พุ่งสูง ซ้ำเติมความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ไม่ว่าจะเป็นราคาไข่ไก่ ที่ปรับขึ้นราคา 20 สตางค์ จาก 3.80 บาท เป็น 4 บาท หรือปรับขึ้นถึงแผงละ 6 บาท ซึ่งปัญหาไข่ไก่ที่ปรับราคาขึ้นในครั้งนี้ ไม่ได้เกิดจากปัจจัยสภาวะเศรษฐกิจ หรือการบริโภคไข่ไก่เพิ่มขึ้นหลังเปิดภาคเรียน แต่ก่อนที่จะมีการปรับราคาจากการตรวจสอบ พบว่าไข่ไก่ได้หายออกจากตลาดโดยไม่ทราบสาเหตุ ราคาไข่ที่พุ่งสูงขึ้น นอกจากจะส่งผลกระทบกับประชาชนซึ่งเป็นผู้บริโภคแล้ว
ยังมีร้านค้าขายไข่ไก่ทั่วประเทศต้องรับไข่ไก่มาในราคาที่สูงขึ้น แต่กำไรไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย อีกทั้งยังส่งผลทำให้ยอดการขายไข่ไก่ตกลง ทั้งการขายต่อให้กับลูกค้ารายย่อยและขายปลีกให้กับชาวบ้าน อันเนื่องมาจากราคาไข่ไก่ที่ปรับสูงขึ้น การที่ชาวบ้านไม่มีกำลังซื้อ สังเกตได้จากในปัจจุบัน กลุ่มลูกค้าที่มาซื้อไข่ไก่ เปลี่ยนพฤติกรรมการซื้อไข่ไก่จากที่เคยซื้อครั้งละ 1-2 แผง มาซื้อครั้งละ 5-10 ฟองแทน ส่วนยอดเป็นไปตามกำลังซื้อของผู้บริโภค ส่งผลกระทบไปทุกแห่ง โดยเฉพาะร้านอาหารที่ต้องปรับราคาให้สูงขึ้น เมื่อก่อนผัดกะเพราไข่ดาว อาจอยู่ในช่วงราคา 40-45 บาท ปัจจุบันต้องเพิ่มราคาขึ้นเป็น 50-55 บาท
JJNY : 5in1 หนี้สาธารณะไทยพุ่ง│ก้าวไกลอัดรัฐบาล│ไทยสร้างไทยอัดรัฐบาล│อดีตรองปธ.วุฒิฯยุฟ้องศาล│อียูเห็นชอบตั้งกำแพงภาษี
https://ch3plus.com/news/economy/morning/402218
เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง รายงานสถานะหนี้สาธารณะ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 และรายการการกู้เงินและค้ำประกัน ระหว่างเดือนตุลาคม 2566 ถึงเดือนมีนาคม 2567
ด้วยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2544 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 16 วรรคสอง กําหนดให้กระทรวงการคลังสรุปรายงานสถานะของหนี้สาธารณะและประกาศในราชกิจจานุเบกษาภายใน 60 วันหลังจากวันสิ้นเดือนมีนาคมและเดือนกันยายนของทุกปี
โดยรายงานดังกล่าว ต้องแสดงหนี้สาธารณะที่เกิดจากการกู้เงินและค้ำประกัน ณ วันสิ้นเดือนดังกล่าว รวมทั้งรายการการกู้เงิน และค้ำประกันที่เกิดขึ้นใหม่ในช่วงระยะเวลาระหว่างเดือนตุลาคม ถึง เดือนมีนาคม และเดือนเมษายน ถึง เดือนกันยายน ตามลําดับ
กระทรวงการคลังขอรายงานสถานะหนี้สาธารณะ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 และรายการการกู้เงินและค้ำประกัน ระหว่างเดือนตุลาคม 2566 ถึงเดือนมีนาคม 2567 ดังนี้
1.รายงานสถานะหนี้คงค้าง ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง มีจํานวน 11,474,153.99 ล้านบาท หรือคิดเป็น ร้อยละ 63.67 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP)
โดยเป็นหนี้รัฐบาล จํานวน 10,087,188.39 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจ จํานวน 1,072,821.61 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ทําธุรกิจในภาคการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) จํานวน 202,269.17 ล้านบาท และหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐ จํานวน 111,874.42 ล้านบาท
หนี้สาธารณะแบ่งตามอายุเงินกู้คงเหลือ จะเป็นหนี้ระยะยาวซึ่งเป็นหนี้ที่จะครบกําหนดชําระเกินกว่า 1 ปี จํานวน 9,695,775.49 ล้านบาท หรือร้อยละ 84.50 และหนี้ระยะสั้น ที่จะครบกําหนดชําระภายในไม่เกิน 1 ปี จํานวน 1,778,378.00 ล้านบาท หรือร้อยละ 15.50 ของยอดหนี้สาธารณะคงค้าง
ทั้งนี้ หนี้สาธารณะคงค้าง จํานวนทั้งสิ้น 11,474,,153.99 ล้านบาท ประกอบด้วย หนี้ต่างประเทศ (หนี้ที่เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศ) เทียบเท่าสกุลเงินบาท จํานวน 141,359.48 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.23 และหนี้ในประเทศ (หนี้ที่เป็นสกุลเงินบาท) จํานวน 11,332,794.51ล้านบาท หรือร้อยละ 98.77 ของยอดหนี้สาธารณะคงค้าง
ทั้งนี้ สถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ที่ประกาศล่าสุดก่อนหน้านี้ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2566 มีจำนวน 11,131,634.20 ล้านบาท หรือคิดเป็น 62.14% ของ GDP
ส.ส.ก้าวไกลอัดรัฐบาล แก้ปัญหาไฟไหม้ ‘วินโพรเสส’ ไม่คืบหน้าสักเรื่อง จี้นายกฯอนุมัติงบกลางแก้เร่งด่วน
https://www.matichon.co.th/politics/news_4604760
“ชุติพงศ์” ทวงการบ้านรัฐบาล 1 เดือนหลังโรงงานวินโพรเสสไฟไหม้ ตั้งคำถามข้อสั่งการนายกฯ เรื่องไหนคืบหน้า-สำเร็จบ้าง แนะเร่งอนุมัติงบกลาง-เยียวยาประชาชน-กวดขันผู้ประกอบการและโรงงาน
เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ที่อาคารอนาคตใหม่ นายชุติพงศ์ พิภพภิญโญ ส.ส.ระยอง พรรคก้าวไกล แถลง Policy Watch หัวข้อ “ถอดบทเรียน-ทวงการบ้านรัฐบาล 1 เดือนหลังโรงงานวินโพรเสสไฟไหม้” โดยกล่าวว่า 1 เดือนที่ผ่านมาหลังจากนายกฯ ลงพื้นที่โรงงานวินโพรเสสเมื่อ 27 เมษายน และมีข้อสั่งการ มีอะไรเป็นไปตามที่นายกฯ สั่งการบ้าง ไม่ว่าจะเป็น
(1) สั่งการให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดูแลควบคุมสถานการณ์การปะทุและเหตุเพลิงไหม้จนเข้าสู่ภาวะปกติ จัดทำแผนเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ แต่ต่อมา 12 พฤษภาคม เกิดเพลิงไหม้ซ้ำที่โกดัง 3 หลังจากดับไปแล้วกว่า 15 วัน เหตุผลในการปะทุอีกครั้งยังไม่มีใครตอบได้ ผ่านไป 1 เดือนสาเหตุเพลิงไหม้ก็ยังไม่รู้ ควันที่กองอะลูมิเนียมดรอสก็ยังมีออกมา ส่งกลิ่นเหม็นรบกวนประชาชนแทบทุกวัน เห็นได้ว่าการควบคุมสถานการณ์การปะทุยังไม่เข้าสู่สภาวะปกติ ไฟจะปะทุอีกเมื่อไรก็ไม่รู้
นายชุติพงศ์ กล่าวว่า (2) ให้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ลงทะเบียนที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดระยอง ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอบ้านค่าย องค์การบริหารส่วนตำบลหนองบัว องค์การบริหารส่วนตำบลบางบุตร เพื่อเป็นข้อมูลในการชดเชยเยียวยา ตามระเบียบและกฎหมายที่กำหนดเกี่ยวข้อง ไม่แน่ใจว่าประชาสัมพันธ์มีประสิทธิภาพหรือไม่ แต่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดระยองกับศูนย์ดำรงธรรมอำเภอบ้านค่าย มีผู้มาลงทะเบียนรับเรื่องชดเชยเยียวยา รวมกันแล้ว 0 คน ที่ อบต.บางบุตร และ อบต.หนองบัว รวมกันประมาณ 700 คน จากประชากรทั้งพื้นที่ 4,000 กว่าคน ที่สำคัญเพิ่งจะแต่งตั้งคณะกรรมการเสร็จ และประชุมครั้งแรกไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ไม่แน่ใจว่าอีกนานแค่ไหนกว่าชาวบ้านจะได้รับเงินชดเชยเยียวยา
(3) ให้กรมควบคุมมลพิษ กรมโรงงานอุตสาหกรรม กำหนดจุดตรวจวัดคุณภาพชุมชนและรายงานผลให้ทราบ เพื่อเฝ้าระวังสุขภาพประชาชน เร่งนำกากอันตรายในพื้นที่ไปกำจัดให้ถูกต้องและเตรียมความพร้อมในการแก้ไขปัญหาในช่วงฤดูฝนที่อาจมีวัตถุอันตรายรั่วออกมา โดยให้กรมโรงงานฯ กำหนดแนวทางการแก้ปัญหาที่ชัดเจน รวมทั้งให้กรมโรงงานฯ และอุตสาหกรรมจังหวัดบูรณาการตรวจสอบโรงงานประเภทนี้ทั่วประเทศ จัดทำแนวทางและมาตรการไม่ให้เกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้นอีก
“แต่ 1 เดือนผ่านไป สิ่งที่ดูเป็นรูปธรรมที่สุด น่าจะเป็นการขุดบ่อรับน้ำฝนที่ดำเนินงานโดย อบจ.ระยอง มีการขุดบ่อขนาดใหญ่เพื่อใช้สำหรับรับน้ำ แต่ก็กลายเป็นปัญหาใหม่ขึ้นมา เพราะดินที่กองไว้จากการขุดบ่อ กลายเป็นดินผสมสารเคมี พอฝนตกก็เกิดควันออกมาจากกองดิน ส่งกลิ่นเหม็นรบกวนชาวบ้าน รบกวนขนาดที่ว่าโรงเรียนบ้านหนองพะวาข้างๆ โรงงาน ยังไม่สามารถเปิดการเรียนการสอนได้เป็นปกติ เพราะทั้งเด็กและครูแสบจมูก เรียนไปก็ไม่รู้เรื่อง ต้องเรียนผ่านระบบออนไลน์” นายชุติพงศ์ กล่าว
และว่า เรื่องมลพิษและคุณภาพอากาศ ยังขาดการประชาสัมพันธ์มาก ประชาชนจำนวนมากไม่รู้ว่ากลิ่นที่ดมนั้นอันตรายต่อตัวเองแค่ไหน ชาวบ้านเรียกร้องขอป้ายแสดงผลการตรวจคุณภาพอากาศ ก็ไม่มีวี่แววที่จะดำเนินการ การขนย้ายปัจจุบันขนไปได้เพียงไม่กี่ตัน โดยบริษัทเอกชน CSR ทยอยขนกรดกัดแก้วไปกำจัดให้ ซึ่งถ้าเทียบกับสารเคมีจำนวนมากในโรงงาน คงใช้เวลาอีกเป็นปีๆ กว่าจะขนหมด
(4) ขอให้กรมการปกครอง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งดำเนินการหาผู้กระทำผิด ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยเมื่อวานนี้ (30 พฤษภาคม) เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดตามจับกุมโอภาส บุญจันทร์ ประธานบริษัทวินโพรเสส นำตัวส่ง สภ.มาบตาพุด จ.ระยอง และ สภ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา
ได้ขออายัดตัวเพื่อดำเนินคดีเกี่ยวกับความผิดในข้อหาปลอมแปลงเอกสารสิทธิ์ในพื้นที่ สภ.ภาชี ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างสอบสวนและขยายผลเพื่อดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ นอกจากนั้นให้เจ้าหน้าที่เร่งตรวจสอบว่ามีสถานที่อื่นใดที่ใช้เก็บสารเคมีในลักษณะนี้อีกหรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชนในวงกว้าง
นายชุติพงศ์ กล่าวว่า ดังนั้นเห็นได้ว่า 1 เดือนที่ผ่านมา คำสั่งการของนายกฯ มีความคืบหน้าค่อนข้างน้อยจนน่าผิดหวัง และแทบไม่เห็นการทำงานที่ชัดเจนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม การขนย้ายสารเคมีต้องใช้งบประมาณแต่กระทรวงอุตสาหกรรมกลับไม่มีงบประมาณสนับสนุน ทั้งๆ ที่เพิ่งอนุมัติงบ 67 จนต้องทำเอกสารไปของบกลางฯ ซึ่งเอกสารก็ยังไม่เรียบร้อย แผนการขนย้ายไปจัดการก็ยังไม่ชัดเจน ยังไม่รวมถึงการปล่อยปละละเลยให้โรงงานนี้เปิดกิจการถึง 10 กว่าปี และไม่ได้มีเพียงแห่งเดียว ยังมีอีกหลายที่ทั้งในเครือวินโพรเสสรวมถึงโรงงานประเภทอื่นๆ เช่น โรงงานเหล็กซินเคอหยวน ที่เพิ่งมีการอนุมัติให้โรงงานแบบนี้เกิดขึ้น จำเป็นที่ภาครัฐต้องตรวจสอบว่ามีการลดมาตรฐานความปลอดภัยในการปฏิบัติงานของโรงงานเพื่อลดต้นทุนหรือไม่ หากไม่ตรวจสอบเท่ากับจงใจละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ เนื่องจากเหตุการณ์เครนถล่มที่โรงงานดังกล่าว มีแรงงานเสียชีวิตถึง 7 ราย
นายชุติพงศ์ กล่าวว่า ข้อเสนอที่ตนขอเรียกร้องต่อรัฐบาล เพื่อให้การแก้ไขปัญหามีประสิทธิภาพและป้องกันไม่ให้ปัญหานี้เกิดขึ้นอีก
(1) ถ้านายกฯ มองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญอย่างที่บอก ขอให้เร่งอนุมัติงบกลางในกรอบเวลาที่เร่งด่วน ให้มีการจัดการปัญหาที่สะสมมาเป็นสิบปีให้จบลงเสียที ไม่ใช่สั่งอย่างเดียว
(2) จริงอยู่ที่เรื่องวินโพรเสสไม่ได้เกิดในรัฐบาลชุดนี้ แต่ รมว.อุตสาหกรรม ก็ปฏิบัติตัวไม่ต่างจากรัฐบาลชุดที่แล้ว เป็นรัฐบาลมาครบปี ไฟไหม้ครบเดือน ไม่ทำอะไรเป็นรูปธรรม อยากให้เร่งพิจารณาสิ่งที่ทำได้ ภายใต้กรอบกฎหมาย และนำเสนอแผนเข้าสู่ ครม. เพื่อของบกลางในการแก้ปัญหา
(3) เร่งเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างเร่งด่วนกว่านี้ โดยเฉพาะปัญหาสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากควันพิษหรือผลกระทบจากสารพิษ ผ่านไป 1 เดือน เพิ่งตั้งคณะกรรมการเสร็จ แล้วเมื่อไรชาวบ้านจะได้การชดเชยเยียวยา
(4) รัฐบาลควรมีแนวทางและมาตรฐานรวมถึงแผนในการกวดขัดโรงงานในลักษณะนี้ได้แล้ว
นอกจากนี้ ขอเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งรัดการทำกฎหมาย PRTR เปิดเผยบัญชีผู้ครอบครองวัตถุอันตราย เพื่อให้ประชาชนรับทราบ นำไปสู่ความโปร่งใสและการตรวจสอบ กรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้จะรู้ได้ว่าสารเคมีใด ควรใช้สารตัวไหนดับ และขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและกรมโรงงาน เปิดเผยหลักฐานที่ยึดมาได้จากบริษัทวินโพรเสสว่ามีสารเคมีอะไรบ้าง ซื้อจากไหน ขนถ่ายได้อย่างไร ลักลอบเก็บได้อย่างไร ผ่านสายตาตำรวจมากมายได้อย่างไร มีปัญหาเรื่องส่วยเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่ ทำไมเรื่องนี้จึงเงียบมายาวนานนับ 10 ปี
ไทยสร้างไทย อัดรัฐบาล บริหารเกือบปีราคาสินค้าพุ่ง สวนทางคำโฆษณาหาเสียง
https://www.thairath.co.th/news/politic/2789770
รองโฆษกไทยสร้างไทย ชี้ สินค้าอุปโภคบริโภคราคาพุ่ง ต้นทุนพลังงานเพิ่ม ไข่ไก่ฟองละ 4 บาทแล้ว สวนทางคำโฆษณาหาเสียง “มีกินมีใช้ไปพร้อมๆ กัน” แนะเปลี่ยนเป็น “ประหยัดกินประหยัดใช้ไปพร้อมๆ กัน” แทน หลังผู้มีอำนาจบริหารเกือบปี ทั้งจนทั้งเจ๊งเพิ่มอื้อ
วันที่ 31 พ.ค. 2567 นายทิวากร สุระชน รองโฆษกพรรคไทยสร้างไทย กล่าวถึงสถานการณ์ของราคาสินค้าที่พุ่งสูงขึ้น รวมถึงต้นทุนด้านพลังงานที่พุ่งสูง ซ้ำเติมความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ไม่ว่าจะเป็นราคาไข่ไก่ ที่ปรับขึ้นราคา 20 สตางค์ จาก 3.80 บาท เป็น 4 บาท หรือปรับขึ้นถึงแผงละ 6 บาท ซึ่งปัญหาไข่ไก่ที่ปรับราคาขึ้นในครั้งนี้ ไม่ได้เกิดจากปัจจัยสภาวะเศรษฐกิจ หรือการบริโภคไข่ไก่เพิ่มขึ้นหลังเปิดภาคเรียน แต่ก่อนที่จะมีการปรับราคาจากการตรวจสอบ พบว่าไข่ไก่ได้หายออกจากตลาดโดยไม่ทราบสาเหตุ ราคาไข่ที่พุ่งสูงขึ้น นอกจากจะส่งผลกระทบกับประชาชนซึ่งเป็นผู้บริโภคแล้ว
ยังมีร้านค้าขายไข่ไก่ทั่วประเทศต้องรับไข่ไก่มาในราคาที่สูงขึ้น แต่กำไรไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย อีกทั้งยังส่งผลทำให้ยอดการขายไข่ไก่ตกลง ทั้งการขายต่อให้กับลูกค้ารายย่อยและขายปลีกให้กับชาวบ้าน อันเนื่องมาจากราคาไข่ไก่ที่ปรับสูงขึ้น การที่ชาวบ้านไม่มีกำลังซื้อ สังเกตได้จากในปัจจุบัน กลุ่มลูกค้าที่มาซื้อไข่ไก่ เปลี่ยนพฤติกรรมการซื้อไข่ไก่จากที่เคยซื้อครั้งละ 1-2 แผง มาซื้อครั้งละ 5-10 ฟองแทน ส่วนยอดเป็นไปตามกำลังซื้อของผู้บริโภค ส่งผลกระทบไปทุกแห่ง โดยเฉพาะร้านอาหารที่ต้องปรับราคาให้สูงขึ้น เมื่อก่อนผัดกะเพราไข่ดาว อาจอยู่ในช่วงราคา 40-45 บาท ปัจจุบันต้องเพิ่มราคาขึ้นเป็น 50-55 บาท