ข้อเท็จจริง “ช็อตฟีล” นโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศ

กระทู้ข่าว
เครดิตแหล่งข่าว/เจ้าของบทความโดย ดร.ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์
https://www.bangkokbiznews.com/blogs/business/business/1127204

ติดตามข่าวสารน่าสนใจมากมายได้ที่
https://www.bangkokbiznews.com

การกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำสำหรับประเทศไทยถูกกำหนดครั้งแรกในปี 2516 และขยายพื้นที่บังคับใช้ให้ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศในปีต่อมา แต่ละจังหวัดค่อยๆ ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำมาอย่างต่อเนื่อง

การปรับค่าจ้างขั้นต่ำครั้งใหญ่เกิดขึ้นจนกระทั่ง เมื่อวันที่ 1 พ.ค.2567 รัฐบาลได้ประกาศแนวทางในการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 400 บาทต่อวัน ทุกประเภทกิจการทั่วประเทศ เพื่อที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ต.ค. 2567
 
ข้อเท็จจริงต่อการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศ จากข้อมูลประกันสังคมมาตรา 33 ในเดือน พ.ย.2566 พบว่า ลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้างต่ำกว่า 400 บาทต่อวัน ส่วนใหญ่อยู่ในภาคการผลิต การค้าปลีกค้าส่งและบริการเป็นหลัก แม้จำนวนผู้ประกอบการในภาคการค้าจะมากกว่าภาคการผลิต แต่จำนวนลูกจ้างที่อยู่ในภาคการผลิตนั้นมีมากกว่า โดยลูกจ้างเหล่านี้กระจายอยู่ในธุรกิจทั้งขนาดกลางและขนาดเล็ก

1.จากข้อมูลประกันสังคมมาตรา 33 ในเดือน พ.ย.2566 จำนวนผู้ประกอบการทั้งหมดอยู่ที่ 429,700 ราย โดย 88% ของธุรกิจทั้งหมด มีลูกจ้างไม่เกิน 5 คน และ ระหว่าง 6-29 คน ซึ่งก็คือ ผู้ประกอบการขนาดกลางขนาดเล็ก หรือ SMEs

2.จากข้อมูลประกันสังคมมาตรา 33 เดือน พ.ย.2566 ลูกจ้างทั้งหมด 11.9 ล้านคน ลูกจ้างส่วนใหญ่ของไทยอยู่ในภาคการผลิต 3.7 ล้านคน ภาคการค้า 2.2 ล้านคน ภาคบริการด้านอาหาร 80,000 คน และโรงแรม 40,000 คน ขณะที่ ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบุ การจ้างงานภาคค้าปลีกค้าส่งมากสุด 6.2 ล้านคน รองลงมา ภาคการผลิต 5.8 ล้านคน โรงแรม ภัตตาคาร ร้านอาหาร จ้างงานถึง 4 ล้านคน ตัวเลขที่แตกต่างสะท้อนถึงการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศ มีผลบังคับเพียง “หนึ่งในสาม” ของการจ้างงานทั้งประเทศ

3.อัตราค่าจ้างขั้นต่ำในปัจจุบันมีระดับต่างกันไปในแต่ละจังหวัด ตั้งแต่ 330 บาทต่อวัน ไปจนถึง 370 บาทต่อวัน หากมีการปรับค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทต่อวันเท่ากันทั่วประเทศ พบว่า จังหวัดภูเก็ตต้องปรับเพิ่ม 8.2% กรุงเทพฯ และปริมณฑล ปรับเพิ่มขึ้น 10% ขณะที่ จังหวัด น่าน ตรัง ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ต้องปรับเพิ่มขึ้นถึง 18-21%

4.จากการปรับค่าแรงขั้นต่ำ นอกจากนายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับค่าจ้างตามมาอีก คือ 1) เงินสมทบกองทุนประกันสังคม (นายจ้าง 5%)  2) เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (นายจ้าง 0.2-1%)  3) เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (นายจ้าง 3%) 4) ค่าล่วงเวลา และรายจ่ายอื่นๆ ที่คิดจากเงินเดือนเป็นฐาน เช่น ค่าคอมมิชชั่น โบนัส สวัสดิการ เป็นต้น

5.อัตราแรกจ้างรายเดือนตามวุฒิการศึกษาสำหรับพนักงานที่เพิ่งจบการศึกษา วุฒิปริญญาตรี ฐานเงินเดือน 15,000 บาท วุฒิ ปวส. 11,500 บาท วุฒิ ปวช. 9,400 บาท วุฒิ มัธยมศึกษาตอนปลาย 8,690 บาท ถ้าใช้สมมติฐานที่ว่าลูกจ้างรายวันทำงาน 26 วันต่อเดือน โดยหากค่าจ้างอยู่ที่ 400 บาทต่อวันจะคิดเป็น 10,400 บาทต่อเดือน ซึ่งก็จะมากกว่าและใกล้เคียงกับอัตราแรกจ้างรายเดือน ปวช. และ ปวส. ดังนั้น การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่ ส่งผลกระทบต่อกลุ่มค่าจ้างรายเดือน ซึ่งต้องพิจารณาปรับตามสัดส่วนตามลำดับขั้น ดังนั้น การปรับค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ ไม่ได้มีผลแค่ลูกจ้างที่รับค่าจ้างต่ำกว่า 400 บาท แต่ส่งผลโครงสร้างเงินเดือนค่าตอบแทนทั้งระบบ

6.จากการศึกษา พบว่า ธุรกิจจ้างงานลดลง โดยเฉพาะในตลาดที่มีการแข่งขันสูง หรือในธุรกิจที่สามารถนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ทดแทนแรงงานได้ โดยกลุ่มที่โดนให้ออกจากงาน มักจะเป็นกลุ่มทักษะต่ำ และกลุ่มประสบการณ์น้อยหางานได้ยากขึ้น Tawichsri et al. (2024)

7.จากการศึกษาการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำไม่ได้ส่งผลกระทบกับระดับการจ้างงานโดยรวม แต่พบว่ามีการเคลื่อนย้ายแรงงานจากบริษัทขนาดเล็กไปยังบริษัทขนาดใหญ่ที่มีผลิตภาพดีกว่า และธุรกิจขนาดเล็กปิดตัวลง ทั้งนี้ ธุรกิจขนาดเล็กและอายุน้อยมีแนวโน้มที่จะปิดตัวมากกว่าธุรกิจขนาดใหญ่อยู่แล้ว Tawichsri et al. (2024)

8. สมมติฐานธุรกิจที่มีการจ้างงาน 30 คน
ก่อนปรับค่าแรงขั้นต่ำเฉลี่ย 350 บาททั่วประเทศ
เงินเดือน (350 x 26 x 12) = 109,200 บาท + เงินสมทบประกันสังคม (5%) = 5,460 บาท+ เงินสมทบเงินทดแทน (0.6%) = 655 บาท + เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (3%) = 3,276 บาท รวมค่าใช้จ่ายนายจ้าง = 118,591 บาท

หลังปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาท
เงินเดือนใหม่ (400 x 26 x 12) = 124,800 บาท + เงินสมทบประกันสังคม (5%) = 6,240 บาท+ เงินสมทบเงินทดแทน (0.6%) = 749 บาท + เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (3%) = 3,744 บาท รวมค่าใช้จ่ายนายจ้างใหม่ = 135,533 บาท

เมื่อคิดจากวันทำงาน 26 วัน จะได้ว่า ค่าใช้จ่ายนายจ้างด้านแรงงานเพิ่มขึ้น 16,942 บาทต่อคนต่อปี หรือ 1,412 บาทต่อคนต่อเดือน หากสถานประกอบการจ้างงานต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำที่กำหนด 30 คน จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 4,065,990 บาท หากต้องคิดถึงการต้องปรับค่าจ้างตามลำดับขั้นสำหรับลูกจ้างที่ได้ค่าจ้างเกิน 400 บาท อีกหนึ่งก้อน ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น อาจถึง 5 ล้านบาทต่อปี

9.จากข้อมูล สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) วิสาหกิจขนาดย่อม จะมีเกณฑ์การแบ่ง กิจการที่เกี่ยวข้องกับการค้า ครอบคลุมธุรกิจด้านการค้าปลีก การค้าส่งดังนี้

- วิสาหกิจรายย่อย ธุรกิจที่มีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี และการจ้างงานไม่เกิน 5 คน
- วิสาหกิจขนาดย่อม ธุรกิจที่มีรายได้ไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อปี และการจ้างงานไม่เกิน 30 คน
- วิสาหกิจขนาดกลาง ธุรกิจที่มีรายได้ไม่เกิน 50-300 ล้านบาทต่อปี และการจ้างงานไม่เกิน 30-100 คน

สมมติฐาน วิสาหกิจขนาดกลาง ค้าปลีกค้าส่ง มีรายได้ไม่เกิน 50-300 ล้านบาทต่อปี และการจ้างงานไม่เกิน 30-100 คน โดยทั่วไป ผลประกอบการกำไรสุทธิธุรกิจค้าปลีกค้าส่งจะอยู่ราวร้อยละ 1-3 
- จากสมมติฐานข้อ 8 ข้างต้น ถ้าพิจารณาธุรกิจมียอดขาย 300 ล้าน กำไรสุทธิจะเป็น 3-9 ล้านบาท ขณะที่ค่าใช้จ่ายต่อการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ อาจถึง 5 ล้านบาทต่อปี (จากสมมติฐานข้อ 8) ธุรกิจส่วนใหญ่ระดับต่ำกว่า 300 ล้านบาทต่อปี คงอยู่ไม่ได้
- จากสมมติฐานข้อ 8 ข้างต้น ถ้าพิจารณาธุรกิจมียอดขาย 300 ล้าน จ้างงานเกินกว่า 30 คน กำไรสุทธิจะเปลี่ยนเป็นขาดทุนสุทธิทันที

จากผลของสมมติฐาน ก็ไม่มีความจำเป็นที่ถามว่า วิสาหกิจขนาดย่อยและขนาดย่อมจะเป็นอย่างไร ตัวเลขการปิดกิจการคงได้ช็อกฟีล! ทั่วประเทศดังหวัง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่