ปริญญา จี้กกต.รื้อระเบียบเลือกสว. ปชช.ต้องมีส่วนร่วม หวั่นร้องเรียนอื้อ ทำสว.ชุดเก่าอยู่ยาว
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_8223595
ซับซ้อนที่สุดในโลก! “อ.ปริญญา” จี้ กกต. รื้อระเบียบเลือก สว. ให้ประชาชนมีส่วนร่วม หวั่น เรื่องร้องเรียนอื้อ ทำ สว.ชุดเก่า รักษาการยาว
เมื่อเวลา 10.45 น. วันที่ 9 พ.ค. 2567 ที่ทำการชั่วคราวสมาคมนักข่าวฯ อาคารบางซื่อจังชั่น (ตึกแดง) นาย
ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้สัมภาษณ์กรณีสมาชิกวุฒิสภา (สว.) จะหมดวาระในวันที่ 11 พ.ค.นี้ว่า ผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ถือว่าเข้าเป้าของคสช. เพราะคสช.เป็นคนเลือกเข้ามา แต่ในแง่ของประชาชนอาจจะมีการตั้งคำถามขึ้นมามากหน่อย เพราะไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน
นาย
ปริญญา กล่าวว่า สำหรับกระบวนการคัดเลือกสมาชิกวุฒิสภาชุดใหม่ครั้งนี้ ถือว่าซับซ้อนที่สุดในโลก และไม่แน่ใจว่าจะบรรลุเป้าหมายในการได้ผู้แทนปวงชนอย่างแท้จริงหรือไม่ โดยซับซ้อนตั้งแต่ตัวระบบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยังออกกฎระเบียบที่ห้ามการแนะนำตัว ยิ่งจะสร้างปัญหา หากยังไม่ได้สว.ชุดใหม่ สว.ชุดเดิมก็จะรักษาการไปจนกว่าจะได้ชุดใหม่เข้ามา
กกต.ระบุชัดเจนว่าจะมีการประกาศสว.ชุดใหม่ ภายในวันที่ 2 ก.ค. แต่ปัญหาคือ พ.ร.ป. เปิดช่องให้ผู้สมัครทุกคนมีสิทธิ์ร้องคัดค้านได้ หากเห็นว่าการเลือกไม่ชอบมาพากล ทั้งนี้ หากมีผู้สมัครเป็นแสนคน ซึ่งแตกต่างจากสส. ที่มีการสมัครแค่ 6,000 กว่าคน
ดังนั้น หากมีการคัดค้าน จะทำให้การเลือกสว.ได้ประกาศผลตามที่วางไว้หรือไม่ ตนจึงเห็นว่ากกต.ควรจะแก้ไขระเบียบ และประกาศใช้พร้อมกับพระราชกฤษฎีกา สว. ที่ยังไม่ได้ออกมา
ขณะเดียวกัน การเลือกข้ามกลุ่มอาชีพ ในระดับอำเภอ ระดับจังหวัด และระดับประเทศ จะรู้จักกันได้อย่างไร หากมีการห้ามแนะนำตัว เมื่อขั้นตอนเป็นเช่นนี้คนที่ได้รับเลือกคงเป็นคนที่มีการจัดตั้ง มีการระดมคนหรือมีบ้านใหญ่ รวมถึงมีเครือข่าย ส่วนผู้สมัครอิสระที่ไม่รู้จักใครหรือมีพวกพ้องก็จะลำบากมาก
การเลือกสว. การเลือกผู้แทนปวงชนชาวไทย ไม่ได้เป็นการคัดเลือกบุคคลเข้าสู่สำนักงานหรือบริษัทของใคร จึงควรทำให้สาธารณชนได้มีส่วนร่วมในระดับที่เหมาะสม เพราะตามพ.ร.ป.กำหนดแล้วว่า ถ้าใครต้องการเลือกสว. ต้องสมัครสว. พร้อมค่าสมัคร 2,500 บาท โดยประเด็นนี้เท่ากับเป็นการกันคนส่วนใหญ่ออกไป
การที่กกต.มีท่าทีว่า คนที่มาชักชวนให้สมัครสว. ผิดกฎหมายอีก เรื่องนี้ตนมองว่าไม่จริง เพราะตามพ.ร.ป.กำหนดไว้ว่า การจูงใจให้เลือกสว. จะผิดก็ต่อเมื่อให้ผลประโยชน์หรือให้ทรัพย์สินตอบแทนเพื่อจูงใจ
ดังนั้น ถ้าไม่ได้จูงใจด้วยทรัพย์สินตอบแทนก็ถือว่าไม่มีความผิด และในทางกลับกันมองว่าเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ ถ้าประชาชนเป็นผู้สมัครอิสระจำนวนมาก ก็จะได้สว.ที่เป็นผู้แทนอิสระ และเป็นตัวแทนประชาชนชาวไทยมากขึ้น
นอกจากนี้ กกต.ควรอนุญาตให้มีผู้สังเกตการณ์จากสื่อมวลชนและประชาชน เพื่อให้การเลือกสว.มีปัญหาน้อยสุด มีความโปร่งใส สาธารณชนตรวจสอบได้ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะหากไม่โปร่งใสในขั้นตอน ข้อร้องเรียนก็จะมาก และจะประกาศผลในวันที่ 2 ก.ค.ไม่ได้ และสว.ชุดนี้ก็จะอยู่ต่อไปเรื่อยๆ
“
แม้จะมีบัญญัติในพ.ร.ป.ว่าห้ามให้ทรัพย์สินจูงใจ จึงตั้งคำถามว่า กกต.จะไปตรวจสอบอย่างไร หรือควบคุมอย่างไร ถ้าเขามีการชักชวนกันและให้ประโยชน์กัน ถือว่าเป็นปัญหามาก ยิ่งไปจำกัดการแนะนำตัว ผู้สมัครอิสระก็มีโอกาสน้อย เช่น ในรอบแรกทุกคนมี 2 คะแนน หนึ่งคะแนนเลือกตนเอง อีกหนึ่งคะแนนเลือกคนอื่น แต่อาจจะมีคนเลือกคนอื่น 2 คะแนนตั้งแต่รอบแรก เพราะไม่มีข้อห้าม” นาย
ปริญญา กล่าว
นาย
ปริญญา กล่าวว่า การออกระเบียบของกกต. ไม่ได้ฟังใครหรือถามใคร ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องมีการประชุมกกต.เพื่อออกระเบียบใหม่ ข้อไหนที่สังคมทักท้วงก็ปรับแก้ และประกาศพร้อมกับพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกสมาชิกวุฒิสภาไปได้เลย
นาย
ปริญญา กล่าวต่อว่า โดยเฉพาะระเบียบการแนะนำตัวด้วยเอกสารในวันเลือก เพราะคนที่สมัครจะรู้จักกันข้ามกลุ่มอำเภอ ข้ามกลุ่มอาชีพได้อย่างไร ดังนั้น กกต.ต้องหาวิธีการเพื่อให้ได้รู้จักกัน ทั้งนี้ สว.ชุดใหม่ถือว่ามีอิทธิพลต่อการเลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ เพราะที่ผ่านมามีการตั้งคำถามว่า องค์กรอิสระมีความเป็นอิสระจริงแค่ไหน
‘ครูจวง’ขำนายกฯ จะชิมข้าว 10 ปีโชว์บอกกินเข้าไปให้เยอะๆ อย่ากินแต่กับ
https://www.dailynews.co.th/news/3416329/
เหน็บถ้า 7 วันยังสบายดีจะพิจารณาลองกินดูบ้าง ชี้ยังต้องระวังอีกเยอะ เหตุมี ‘เชื้อรา’ ที่มองไม่เห็น จับตาหวั่นถูกประมูลให้ ‘นักโทษ-ทหารเกณฑ์’ ที่เลือกกินไม่ได้
เมื่อวันที่ 9 พ.ค. นาย
ปารมี ไวจงเจริญ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีจะชิมข้าว 10 ปี จากโกดังที่จ.สุรินทร์ ในเที่ยงวันนี้ โดยนาย
ปารมี หัวเราะ พร้อมกล่าวว่า ตนอยากให้นายกรัฐมนตรีและนาย
ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ทานข้าวที่บอกว่า 10 ปีแล้วปลอดภัย ขอให้ทานเยอะๆ อย่าทานกับข้าว ทานข้าวหลายๆ ช้อน 2 ทัพพียิ่งดี
“
ถ้าท่านทานแล้วหลังจากนี้ไป 7 วัน อาการท่านปกติแข็งแรง ดิฉันจะพิจารณาทานบ้าง แต่แค่พิจารณาก่อนนะ ยังไม่รับปากว่าจะทานจริง เพราะต่อให้ท่านทานหลายคำ แล้วผ่านไป 7 วัน ระหว่างนี้ท่านไปล้างท้องหรือไม่” นาย
ปารมี กล่าว
นาย
ปารมี กล่าวต่อว่า ข้าวเก่าก็มีข้อดี เม็ดจะเรียงเม็ด ข้าวหุงออกมาจะแข็งไม่แฉะ สามารถทำประกอบอาหารได้หลายอย่าง ผสมกับข้าวหอมมะลิทำข้าวมันไก่ได้ แต่ข้าวนี้เก่าถึง 10 ปี มีทั้งตัวมอด เชื้อราที่เรามองไม่เห็น แม้จะเอาไปร่อนตะแกรงเอามอดออกและอาจจะขัดให้ขาวขึ้น แต่เชื้อราหมดไปหรือไม่ ตนคิดว่าต้องระวัง พร้อมย้ำว่าให้ทานกับข้าวนิดเดียว ทานข้าวเยอะๆ แล้วเรามาดูอาการกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายหรือไม่
นาย
ปารมี ยังกล่าวว่า ให้ไปสืบสวนรัฐบาลก่อนหน้า ทำไมเก็บข้าวไว้ถึง 10 ปี เพิ่งจะระบายขายตอนนี้ ทั้งนายกรัฐมนตรีก่อนหน้า รวมถึง รมว.พาณิชย์คนก่อนหน้าเช่นกัน ว่าทำไมไม่ขายไปก่อน เก็บมาทำไมถึง 10 ปี ยิ่งเก็บไว้นานยิ่งมีความไม่ปลอดภัย
เมื่อถามถึงกรณีที่มีความกังวลว่า หากร้านค้าต้องการลดต้นทุนแล้วไปประมูลตามท้องตลาด นาย
ปารมี กล่าวว่า ถูก ไม่ใช่แค่ประชาชนทั่วไปกังวล ยังมีกลุ่มคนที่เรียกร้องสิทธิในการรับประทานอาหารไม่ได้ เช่น นักโทษในเรือนจำ รวมถึงทหารเกณฑ์ คน 2 กลุ่มนี้น่ากังวลใจ ต้องไปสอดส่องดูว่า ข้าวเหล่านี้จะถูกไปประมูลขายให้เรือนจำหรือกองทัพหรือไม่.
ฝนทิ้งช่วง แห้งแล้ง! ทำผักหลายชนิดพาเหรดขึ้นราคา "ขึ้นฉ่าย" แรงมาก จากกิโลกรัมละ 120 บาทปรับเป็น 200 บาท
https://ch3plus.com/news/economy/morning/399110
วันนี้ ( ที่ 9 พ.ค.67) ที่ตลาดทรัพย์สินพลาซ่า เขตเทศบาลนครสงขลา อ.เมือง จ.สงขลา ขณะนี้ผักหลายชนิดเริ่มปรับราคาสูงขึ้น เนื่องจากแหล่งปลูกผักในภาคกลาง สภาพอากาศร้อน หลายจังหวัดฝนทิ้งช่วง เริ่มขาดน้ำ ส่งผลกระทบให้ปริมาณผักที่ส่งให้ลูกค้าต่างจังหวัดเริ่มลดน้อยลง และเอเยนต์ที่ส่งผักมีการแจ้งล่วงหน้าว่า ผักยังมีแนวโน้มที่จะปรับราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากผลผลิตที่ออกมาในช่วงนี้ไม่เพียงพอกับความต้องการของลูกค้า ซึ่งเป็นเรื่องปรกติหากผลผลิตน้อย ราคาก็จะมีการฉวยโอกาสปรับราคาสูงขึ้นเป็นธรรมดาของการซื้อขาย
สำหรับผักที่มีการปรับราคาขึ้นแล้ว ประกอบด้วย ถั่วฝักยาว จากกิโลกรัมละ 60 บาท ขึ้นเป็น 90 บาท ผักกาดหอม จากกิโลกรัมละ 80 บาท ขึ้นเป็น 120 บาท ผักขึ้นฉ่าย จากกิโลกรัมละ 120 บาท ขึ้นเป็น 200 บาท ผักชี จากกิโลกรัมละ 200 บาท ขึ้นเป็น 250 บาท ต้นหอมจากกิโลกรัมละ 120 บาท ขึ้นเป็น 160 บาท ผักบุ้งจีนจากกิโลกรัมละ 30 บาท ขึ้นเป็น 50 บาท กะหล่ำปลีจากกิโลกรัมละ 35 บาท ขึ้นเป็น 50 บาท มะระ จากกิโลกรัมละ 50 บาท ขึ้นเป็น 70 บาท แตงกวา จากกิโลกรัมละ 30 บาท ขึ้นเป็น 40 บาท โดยเริ่มปรับขึ้นมาอย่างต่อเนื่องและคาดว่ายังมีแนวโน้มที่จะปรับราคาสูงขึ้นอีก หากสภาพอากาศบริเวณแหล่งปลูกในภาคกลางฝนยังทิ้งช่วงอยู่อีก
นาง
ประภา อายุ 45 ปี แม่ค้าขายผักเปิดเผยว่า วันนี้ผักแพงหลายอย่าง ทั้งผักกาดหอม ผักขึ่นฉ่าย ต้นหอมผักชี ผักบุ้งจีนและมะนาว เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวนในหลายพื้นที่เริ่มแห้งแล้ง ฝนทิ้งช่วง โดยเฉพาะในหลายจังหวัดของภาคกลาง ซึ่งเป็นแหล่งปลูกผัก ทำให้ผลผลิตที่ออกมาไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ส่งผลกระทบให้ปริมาณผักที่ส่งให้ลูกค้าต่างจังหวัดเริ่มลดน้อยลง และยังมีแนวโน้มที่จะปรับราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ผู้ปกครองกระอัก เหนื่อยขึ้น 43.1 % พิษของแพงเปิดเทอม จี้รัฐบาลลดเหลื่อมล้ำ
https://www.matichon.co.th/economy/news_4567309
ผู้ปกครองกระอัก เหนื่อยขึ้น 43.1 % พิษของแพงเปิดเทอม จี้รัฐบาลลดเหลื่อมล้ำ
วันที่ 9 พฤษภาคม 2567 นาย
ธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดผลการสำรวจผลกระทบของผู้ปกครองในช่วงเปิดเทอมปี 2567 สำรวจจำนวนตัวอย่าง 1,365 ตัวอย่างทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 1-6 พฤษภาคม 2567 พบว่าค่าใช้จ่ายสำหรับการเปิดเทอมครั้งนี้ เทียบปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 43.1% เนื่องจากราคาสินค้าแพงขึ้น มีจำนวนสินค้าที่ต้องซื้อมากขึ้น และมีจำนวนบุตรที่เริ่มเข้าโรงเรียนเพิ่ม
นาย
ธนวรรธน์ กล่าวว่า ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายในช่วงเปิดเทอมปี 2567 อยู่ที่ 6.03 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.2% จากปี 2566 ถือว่ามีมูลค่าการใช้จ่ายสูงสุด นับตั้งแต่ ม.หอการค้าสำรวจมาตั้งแต่ ปี 2553 หรือในรอบ 15 ปี ส่วนหนึ่งมาจากราคาสินค้าแพงขึ้น ขณะดียวกันประชาชนก็ยังใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง เนื่องจากเศรษฐกิจซบเซา เพราะงบประมาณปี 2567 เบิกจ่ายล้าช้า
“
ภาวะเศรษฐกิจไทยยังไม่ได้แย่ แต่ยังไม่คล่องตัว ไม่ฟื้นเต็มที่ โดยความเชื่อมั่นผู้บริโภคตกลงมาเมื่อเดือนที่แล้ว และบรรยากาศช่วงสงกรานต์เศรษฐกิจมีอาการช็อต ซึม ภาคธุรกิจบอกว่ายอดขายอืดๆ เนื่องจากงบประมาณแผ่นดินที่ไม่ได้ออกมา 1 ปี มีผลอย่างเต็มที่ตอนนี้ และงบประมาณที่ออกมาแล้วตอนนี้ รัฐบาลจำเป็นที่จะต้องเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ อัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจ เนื่องจากบรรยากาศช่วงเปิดเทอมสะท้อนว่า ผู้ปกครองยังระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย” นาย
ธนวรรธน์ กล่าว
นาย
ธนวรรธน์ กล่าวว่า สำหรับค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเล่าเรียนบุตร พบว่า 59.9% ค่าเทอมเพิ่มขึ้น ขณะที่งบค่าหนังสือ ค่าบำรุงโรงเรียน งบค่าบำรุงโรงเรียนแรกเข้า งบค่าเครื่องเขียน งบค่ารองเท้า ถุงเท้า เพิ่มขึ้น เป็นต้น ไม่เปลี่ยนแปลง ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 2.53 หมื่นบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่ 1.95 หมื่นบาท โดยส่วนใหญ่ 46% มองว่าค่าใช้จ่ายเท่าเดิม
นาย
ธนวรรธน์ กล่าวว่า นอกจากนี้การสำรวจก็ยังพบว่าผู้ปกครองมีเงินไม่พอใช้ 45.6% ซึ่งแก้ปัญหาโดยการผ่อนชำระผ่านบัตรเครดิต การจำนำทรัพย์สิน และการกู้เงินระบบ ทั้งนี้ ไม่ได้เกิดจากมองว่าเศรษฐกิจแย่ แต่เป็นลักษณะของการขาดสภาพคล่องทางการเงิน ขณะที่ฝั่งผู้ปกครองที่ตอบว่ามีเงินใช้เพียงพอ ระบุว่าต้องใช้เงินออมเพื่อใช้จ่ายในช่วงเปิดเทอม
JJNY : 5in1 ปริญญาจี้กกต.│‘ครูจวง’ขำนายกฯ│ผักหลายชนิดพาเหรดขึ้นราคา│ผู้ปกครองกระอัก│อุณหภูมิเม.ย.อินโดนีเซียร้อนสุด40ปี
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_8223595
ซับซ้อนที่สุดในโลก! “อ.ปริญญา” จี้ กกต. รื้อระเบียบเลือก สว. ให้ประชาชนมีส่วนร่วม หวั่น เรื่องร้องเรียนอื้อ ทำ สว.ชุดเก่า รักษาการยาว
เมื่อเวลา 10.45 น. วันที่ 9 พ.ค. 2567 ที่ทำการชั่วคราวสมาคมนักข่าวฯ อาคารบางซื่อจังชั่น (ตึกแดง) นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้สัมภาษณ์กรณีสมาชิกวุฒิสภา (สว.) จะหมดวาระในวันที่ 11 พ.ค.นี้ว่า ผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ถือว่าเข้าเป้าของคสช. เพราะคสช.เป็นคนเลือกเข้ามา แต่ในแง่ของประชาชนอาจจะมีการตั้งคำถามขึ้นมามากหน่อย เพราะไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน
นายปริญญา กล่าวว่า สำหรับกระบวนการคัดเลือกสมาชิกวุฒิสภาชุดใหม่ครั้งนี้ ถือว่าซับซ้อนที่สุดในโลก และไม่แน่ใจว่าจะบรรลุเป้าหมายในการได้ผู้แทนปวงชนอย่างแท้จริงหรือไม่ โดยซับซ้อนตั้งแต่ตัวระบบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยังออกกฎระเบียบที่ห้ามการแนะนำตัว ยิ่งจะสร้างปัญหา หากยังไม่ได้สว.ชุดใหม่ สว.ชุดเดิมก็จะรักษาการไปจนกว่าจะได้ชุดใหม่เข้ามา
กกต.ระบุชัดเจนว่าจะมีการประกาศสว.ชุดใหม่ ภายในวันที่ 2 ก.ค. แต่ปัญหาคือ พ.ร.ป. เปิดช่องให้ผู้สมัครทุกคนมีสิทธิ์ร้องคัดค้านได้ หากเห็นว่าการเลือกไม่ชอบมาพากล ทั้งนี้ หากมีผู้สมัครเป็นแสนคน ซึ่งแตกต่างจากสส. ที่มีการสมัครแค่ 6,000 กว่าคน
ดังนั้น หากมีการคัดค้าน จะทำให้การเลือกสว.ได้ประกาศผลตามที่วางไว้หรือไม่ ตนจึงเห็นว่ากกต.ควรจะแก้ไขระเบียบ และประกาศใช้พร้อมกับพระราชกฤษฎีกา สว. ที่ยังไม่ได้ออกมา
ขณะเดียวกัน การเลือกข้ามกลุ่มอาชีพ ในระดับอำเภอ ระดับจังหวัด และระดับประเทศ จะรู้จักกันได้อย่างไร หากมีการห้ามแนะนำตัว เมื่อขั้นตอนเป็นเช่นนี้คนที่ได้รับเลือกคงเป็นคนที่มีการจัดตั้ง มีการระดมคนหรือมีบ้านใหญ่ รวมถึงมีเครือข่าย ส่วนผู้สมัครอิสระที่ไม่รู้จักใครหรือมีพวกพ้องก็จะลำบากมาก
การเลือกสว. การเลือกผู้แทนปวงชนชาวไทย ไม่ได้เป็นการคัดเลือกบุคคลเข้าสู่สำนักงานหรือบริษัทของใคร จึงควรทำให้สาธารณชนได้มีส่วนร่วมในระดับที่เหมาะสม เพราะตามพ.ร.ป.กำหนดแล้วว่า ถ้าใครต้องการเลือกสว. ต้องสมัครสว. พร้อมค่าสมัคร 2,500 บาท โดยประเด็นนี้เท่ากับเป็นการกันคนส่วนใหญ่ออกไป
การที่กกต.มีท่าทีว่า คนที่มาชักชวนให้สมัครสว. ผิดกฎหมายอีก เรื่องนี้ตนมองว่าไม่จริง เพราะตามพ.ร.ป.กำหนดไว้ว่า การจูงใจให้เลือกสว. จะผิดก็ต่อเมื่อให้ผลประโยชน์หรือให้ทรัพย์สินตอบแทนเพื่อจูงใจ
ดังนั้น ถ้าไม่ได้จูงใจด้วยทรัพย์สินตอบแทนก็ถือว่าไม่มีความผิด และในทางกลับกันมองว่าเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ ถ้าประชาชนเป็นผู้สมัครอิสระจำนวนมาก ก็จะได้สว.ที่เป็นผู้แทนอิสระ และเป็นตัวแทนประชาชนชาวไทยมากขึ้น
นอกจากนี้ กกต.ควรอนุญาตให้มีผู้สังเกตการณ์จากสื่อมวลชนและประชาชน เพื่อให้การเลือกสว.มีปัญหาน้อยสุด มีความโปร่งใส สาธารณชนตรวจสอบได้ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะหากไม่โปร่งใสในขั้นตอน ข้อร้องเรียนก็จะมาก และจะประกาศผลในวันที่ 2 ก.ค.ไม่ได้ และสว.ชุดนี้ก็จะอยู่ต่อไปเรื่อยๆ
“แม้จะมีบัญญัติในพ.ร.ป.ว่าห้ามให้ทรัพย์สินจูงใจ จึงตั้งคำถามว่า กกต.จะไปตรวจสอบอย่างไร หรือควบคุมอย่างไร ถ้าเขามีการชักชวนกันและให้ประโยชน์กัน ถือว่าเป็นปัญหามาก ยิ่งไปจำกัดการแนะนำตัว ผู้สมัครอิสระก็มีโอกาสน้อย เช่น ในรอบแรกทุกคนมี 2 คะแนน หนึ่งคะแนนเลือกตนเอง อีกหนึ่งคะแนนเลือกคนอื่น แต่อาจจะมีคนเลือกคนอื่น 2 คะแนนตั้งแต่รอบแรก เพราะไม่มีข้อห้าม” นายปริญญา กล่าว
นายปริญญา กล่าวว่า การออกระเบียบของกกต. ไม่ได้ฟังใครหรือถามใคร ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องมีการประชุมกกต.เพื่อออกระเบียบใหม่ ข้อไหนที่สังคมทักท้วงก็ปรับแก้ และประกาศพร้อมกับพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกสมาชิกวุฒิสภาไปได้เลย
นายปริญญา กล่าวต่อว่า โดยเฉพาะระเบียบการแนะนำตัวด้วยเอกสารในวันเลือก เพราะคนที่สมัครจะรู้จักกันข้ามกลุ่มอำเภอ ข้ามกลุ่มอาชีพได้อย่างไร ดังนั้น กกต.ต้องหาวิธีการเพื่อให้ได้รู้จักกัน ทั้งนี้ สว.ชุดใหม่ถือว่ามีอิทธิพลต่อการเลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ เพราะที่ผ่านมามีการตั้งคำถามว่า องค์กรอิสระมีความเป็นอิสระจริงแค่ไหน
‘ครูจวง’ขำนายกฯ จะชิมข้าว 10 ปีโชว์บอกกินเข้าไปให้เยอะๆ อย่ากินแต่กับ
https://www.dailynews.co.th/news/3416329/
เหน็บถ้า 7 วันยังสบายดีจะพิจารณาลองกินดูบ้าง ชี้ยังต้องระวังอีกเยอะ เหตุมี ‘เชื้อรา’ ที่มองไม่เห็น จับตาหวั่นถูกประมูลให้ ‘นักโทษ-ทหารเกณฑ์’ ที่เลือกกินไม่ได้
เมื่อวันที่ 9 พ.ค. นายปารมี ไวจงเจริญ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีจะชิมข้าว 10 ปี จากโกดังที่จ.สุรินทร์ ในเที่ยงวันนี้ โดยนายปารมี หัวเราะ พร้อมกล่าวว่า ตนอยากให้นายกรัฐมนตรีและนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ทานข้าวที่บอกว่า 10 ปีแล้วปลอดภัย ขอให้ทานเยอะๆ อย่าทานกับข้าว ทานข้าวหลายๆ ช้อน 2 ทัพพียิ่งดี
“ถ้าท่านทานแล้วหลังจากนี้ไป 7 วัน อาการท่านปกติแข็งแรง ดิฉันจะพิจารณาทานบ้าง แต่แค่พิจารณาก่อนนะ ยังไม่รับปากว่าจะทานจริง เพราะต่อให้ท่านทานหลายคำ แล้วผ่านไป 7 วัน ระหว่างนี้ท่านไปล้างท้องหรือไม่” นายปารมี กล่าว
นายปารมี กล่าวต่อว่า ข้าวเก่าก็มีข้อดี เม็ดจะเรียงเม็ด ข้าวหุงออกมาจะแข็งไม่แฉะ สามารถทำประกอบอาหารได้หลายอย่าง ผสมกับข้าวหอมมะลิทำข้าวมันไก่ได้ แต่ข้าวนี้เก่าถึง 10 ปี มีทั้งตัวมอด เชื้อราที่เรามองไม่เห็น แม้จะเอาไปร่อนตะแกรงเอามอดออกและอาจจะขัดให้ขาวขึ้น แต่เชื้อราหมดไปหรือไม่ ตนคิดว่าต้องระวัง พร้อมย้ำว่าให้ทานกับข้าวนิดเดียว ทานข้าวเยอะๆ แล้วเรามาดูอาการกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายหรือไม่
นายปารมี ยังกล่าวว่า ให้ไปสืบสวนรัฐบาลก่อนหน้า ทำไมเก็บข้าวไว้ถึง 10 ปี เพิ่งจะระบายขายตอนนี้ ทั้งนายกรัฐมนตรีก่อนหน้า รวมถึง รมว.พาณิชย์คนก่อนหน้าเช่นกัน ว่าทำไมไม่ขายไปก่อน เก็บมาทำไมถึง 10 ปี ยิ่งเก็บไว้นานยิ่งมีความไม่ปลอดภัย
เมื่อถามถึงกรณีที่มีความกังวลว่า หากร้านค้าต้องการลดต้นทุนแล้วไปประมูลตามท้องตลาด นายปารมี กล่าวว่า ถูก ไม่ใช่แค่ประชาชนทั่วไปกังวล ยังมีกลุ่มคนที่เรียกร้องสิทธิในการรับประทานอาหารไม่ได้ เช่น นักโทษในเรือนจำ รวมถึงทหารเกณฑ์ คน 2 กลุ่มนี้น่ากังวลใจ ต้องไปสอดส่องดูว่า ข้าวเหล่านี้จะถูกไปประมูลขายให้เรือนจำหรือกองทัพหรือไม่.
ฝนทิ้งช่วง แห้งแล้ง! ทำผักหลายชนิดพาเหรดขึ้นราคา "ขึ้นฉ่าย" แรงมาก จากกิโลกรัมละ 120 บาทปรับเป็น 200 บาท
https://ch3plus.com/news/economy/morning/399110
วันนี้ ( ที่ 9 พ.ค.67) ที่ตลาดทรัพย์สินพลาซ่า เขตเทศบาลนครสงขลา อ.เมือง จ.สงขลา ขณะนี้ผักหลายชนิดเริ่มปรับราคาสูงขึ้น เนื่องจากแหล่งปลูกผักในภาคกลาง สภาพอากาศร้อน หลายจังหวัดฝนทิ้งช่วง เริ่มขาดน้ำ ส่งผลกระทบให้ปริมาณผักที่ส่งให้ลูกค้าต่างจังหวัดเริ่มลดน้อยลง และเอเยนต์ที่ส่งผักมีการแจ้งล่วงหน้าว่า ผักยังมีแนวโน้มที่จะปรับราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากผลผลิตที่ออกมาในช่วงนี้ไม่เพียงพอกับความต้องการของลูกค้า ซึ่งเป็นเรื่องปรกติหากผลผลิตน้อย ราคาก็จะมีการฉวยโอกาสปรับราคาสูงขึ้นเป็นธรรมดาของการซื้อขาย
สำหรับผักที่มีการปรับราคาขึ้นแล้ว ประกอบด้วย ถั่วฝักยาว จากกิโลกรัมละ 60 บาท ขึ้นเป็น 90 บาท ผักกาดหอม จากกิโลกรัมละ 80 บาท ขึ้นเป็น 120 บาท ผักขึ้นฉ่าย จากกิโลกรัมละ 120 บาท ขึ้นเป็น 200 บาท ผักชี จากกิโลกรัมละ 200 บาท ขึ้นเป็น 250 บาท ต้นหอมจากกิโลกรัมละ 120 บาท ขึ้นเป็น 160 บาท ผักบุ้งจีนจากกิโลกรัมละ 30 บาท ขึ้นเป็น 50 บาท กะหล่ำปลีจากกิโลกรัมละ 35 บาท ขึ้นเป็น 50 บาท มะระ จากกิโลกรัมละ 50 บาท ขึ้นเป็น 70 บาท แตงกวา จากกิโลกรัมละ 30 บาท ขึ้นเป็น 40 บาท โดยเริ่มปรับขึ้นมาอย่างต่อเนื่องและคาดว่ายังมีแนวโน้มที่จะปรับราคาสูงขึ้นอีก หากสภาพอากาศบริเวณแหล่งปลูกในภาคกลางฝนยังทิ้งช่วงอยู่อีก
นางประภา อายุ 45 ปี แม่ค้าขายผักเปิดเผยว่า วันนี้ผักแพงหลายอย่าง ทั้งผักกาดหอม ผักขึ่นฉ่าย ต้นหอมผักชี ผักบุ้งจีนและมะนาว เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวนในหลายพื้นที่เริ่มแห้งแล้ง ฝนทิ้งช่วง โดยเฉพาะในหลายจังหวัดของภาคกลาง ซึ่งเป็นแหล่งปลูกผัก ทำให้ผลผลิตที่ออกมาไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ส่งผลกระทบให้ปริมาณผักที่ส่งให้ลูกค้าต่างจังหวัดเริ่มลดน้อยลง และยังมีแนวโน้มที่จะปรับราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ผู้ปกครองกระอัก เหนื่อยขึ้น 43.1 % พิษของแพงเปิดเทอม จี้รัฐบาลลดเหลื่อมล้ำ
https://www.matichon.co.th/economy/news_4567309
ผู้ปกครองกระอัก เหนื่อยขึ้น 43.1 % พิษของแพงเปิดเทอม จี้รัฐบาลลดเหลื่อมล้ำ
วันที่ 9 พฤษภาคม 2567 นายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดผลการสำรวจผลกระทบของผู้ปกครองในช่วงเปิดเทอมปี 2567 สำรวจจำนวนตัวอย่าง 1,365 ตัวอย่างทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 1-6 พฤษภาคม 2567 พบว่าค่าใช้จ่ายสำหรับการเปิดเทอมครั้งนี้ เทียบปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 43.1% เนื่องจากราคาสินค้าแพงขึ้น มีจำนวนสินค้าที่ต้องซื้อมากขึ้น และมีจำนวนบุตรที่เริ่มเข้าโรงเรียนเพิ่ม
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายในช่วงเปิดเทอมปี 2567 อยู่ที่ 6.03 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.2% จากปี 2566 ถือว่ามีมูลค่าการใช้จ่ายสูงสุด นับตั้งแต่ ม.หอการค้าสำรวจมาตั้งแต่ ปี 2553 หรือในรอบ 15 ปี ส่วนหนึ่งมาจากราคาสินค้าแพงขึ้น ขณะดียวกันประชาชนก็ยังใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง เนื่องจากเศรษฐกิจซบเซา เพราะงบประมาณปี 2567 เบิกจ่ายล้าช้า
“ภาวะเศรษฐกิจไทยยังไม่ได้แย่ แต่ยังไม่คล่องตัว ไม่ฟื้นเต็มที่ โดยความเชื่อมั่นผู้บริโภคตกลงมาเมื่อเดือนที่แล้ว และบรรยากาศช่วงสงกรานต์เศรษฐกิจมีอาการช็อต ซึม ภาคธุรกิจบอกว่ายอดขายอืดๆ เนื่องจากงบประมาณแผ่นดินที่ไม่ได้ออกมา 1 ปี มีผลอย่างเต็มที่ตอนนี้ และงบประมาณที่ออกมาแล้วตอนนี้ รัฐบาลจำเป็นที่จะต้องเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ อัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจ เนื่องจากบรรยากาศช่วงเปิดเทอมสะท้อนว่า ผู้ปกครองยังระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย” นายธนวรรธน์ กล่าว
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า สำหรับค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเล่าเรียนบุตร พบว่า 59.9% ค่าเทอมเพิ่มขึ้น ขณะที่งบค่าหนังสือ ค่าบำรุงโรงเรียน งบค่าบำรุงโรงเรียนแรกเข้า งบค่าเครื่องเขียน งบค่ารองเท้า ถุงเท้า เพิ่มขึ้น เป็นต้น ไม่เปลี่ยนแปลง ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 2.53 หมื่นบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่ 1.95 หมื่นบาท โดยส่วนใหญ่ 46% มองว่าค่าใช้จ่ายเท่าเดิม
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า นอกจากนี้การสำรวจก็ยังพบว่าผู้ปกครองมีเงินไม่พอใช้ 45.6% ซึ่งแก้ปัญหาโดยการผ่อนชำระผ่านบัตรเครดิต การจำนำทรัพย์สิน และการกู้เงินระบบ ทั้งนี้ ไม่ได้เกิดจากมองว่าเศรษฐกิจแย่ แต่เป็นลักษณะของการขาดสภาพคล่องทางการเงิน ขณะที่ฝั่งผู้ปกครองที่ตอบว่ามีเงินใช้เพียงพอ ระบุว่าต้องใช้เงินออมเพื่อใช้จ่ายในช่วงเปิดเทอม