เกษตรกรโอดพันธุ์หัวหอมพุ่ง กก.ละ 130-150 บาท สวนทางกับราคาขาย ลดลงเหลือ กก.ละ 30 บาท
https://ch3plus.com/news/economy/morning/430658
เกษตรกรปลูกหอมโอด พันธุ์หัวหอมปรับราคา จาก กก.ละ 30-50 บาท เป็น 130-150 บาท ขณะที่อากาศหนาวต่อเนื่องผลผลิตดี ราคาขายลดลงจาก กก.ละ 90 บาท เป็น กก.ละ 30 บาท
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 13 ม.ค. 2568 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่สำรวจการเพาะปลูกในช่วงสภาพอากาศที่หนาวเย็นต่อเนื่อง ที่จะส่งผลที่ดีในการเพาะปลูกพืชผักสวนครัว โดยพบว่าที่แปลงปลูกหอมแบ่ง ในพื้นที่ บ้านเลิง ม.8 ต.โคกสี อ.เมือง จ.ขอนแก่น มีเกษตรกรปลูกหอมจำนวนหลายราย ซึ่งผลผลิตในปีนี้พบว่าให้ผลผลิตดีต่อเนื่องและไม่มีโรค โดยจะมีพ่อค้าแม่ค้าคนกลางมารับซื้อถึงที่ เพื่อนำไปส่งจำหน่ายตามตลาดรายใหญ่ในเมืองขอนแก่นและในพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งราคาจำหน่ายต้นหอมในตลาดเช้าวันนี้พบว่า ราคาส่งอยู่ที่ กก.ละ 40 บาท และราคาปลีกอยู่ที่ กก.ละ 50 บาท
นาง
รุ่งฤดี อายุ 52 ปี เจ้าของสวนเพาะปลูกหอมแบ่ง กล่าวว่า จากสภาพอากาศหนาวเย็นต่อเนื่อง ถือว่าให้ผลผลิตที่ดีและไม่เป็นโรคเหลืองเหมือนปีที่ผ่านมาในช่วงเวลาเดียวกัน แต่ราคาพันธุ์หัวหอมปรับขึ้นอย่างมากและเป็นครั้งแรกที่ราคาแพงขนาดนี้ จากปกติเคยซื้อพันธุ์หอมมา กก.ละ 30-50 บาท แต่ปีนี้ราคาพุ่งสูงเป็น 130-150 บาท โดยเหตุผลเพราะช่วงที่ผ่านมาน้ำท่วม และพอได้ผลผลิตมาก็นำมาขายได้ กก.ละ 20-30 บาทเท่านั้น แต่หากราคาขายต้นอยู่ที่ กก.ละ 50 บาทขึ้นไปก็จะถือว่าสร้างรายได้ที่คุ้มทุนและคุ้มค่าเหนื่อย แต่ ณ ขณะนี้ถือว่าราคาไม่สมดุลกัน แต่ก็เข้าใจว่าเป็นช่วงหน้าหนาวที่ผลผลิตหอมนั้นให้ผลผลิตดีในทุกๆ พื้นที่ที่มีการเพาะปลูก
แต่ละรอบการขายจะมีแม่ค้ามารับซื้อหอมที่ปลูกเอาไว้ถึงแปลง ซึ่งราคาก็แล้วแต่จะได้ โดยรอบที่ผ่านมาได้เคยได้สูงสุด กก.ละ 120-130 บาท แต่ราคาก็ปรับลงเรื่อยๆ มาเป็น กก.ละ 90 บาท แล้วลดลงเหลือ กก.ละ 40 บาท และล่าสุดที่ได้อยู่ที่ กก.ละ 20-30 บาทเท่านั้น และแต่ละรอบที่ปลูกก็จะได้ผลผลิตอยู่ประมาณ 5 ตัน และปีนี้เป็นปีแรกที่ราคาพันธุ์หัวหอมแพงมาก และฤดูหนาวนั้นเพาะปลูกง่ายกว่าทุกฤดู จะหนักสุดในช่วงฤดูฝนน้ำท่วมเพาะปลูกไม่ได้ และเป็นโรคเหลือง ช่วงตรุษจีนปีที่ผ่านมาเกิดโรคเหลืองไม่สามารถนำไปขายได้ แต่ปีนี้ดีขึ้นมาแล้วไม่มีโรค
สส.ปูอัด เผย ช่วยเด็กถูกหลอกเป็นแก๊งคอลฯ กลับไทยได้แล้ว จี้รัฐบาลแก้ปัญหา
https://www.khaosod.co.th/politics/news_9587076
สส.ปูอัด เผย ช่วยเด็กถูกหลอกเป็นแก๊งคอลฯ ที่ปอยเปต กลับไทยได้แล้ว ชี้เป็นปัญหาระดับชาติ จี้รัฐบาลแก้ปัญหา แนะ ธปท. ทบทวนใช้บัตรประชาชนใบเดียวเปิดบัญชี
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 13 ม.ค. 2568 ที่รัฐสภา นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ สส.กทม. พรรคไทยก้าวหน้า แถลงกรณีแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกเด็กจากเขตบางขุนเทียน จอมทอง ไปอยู่ที่ปอยเปต ประเทศกัมพูชาว่า วันนี้สามารถพาน้องที่ถูกหลอกไปเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ปอยเปต ประเทศกัมพูชา ออกมาได้อย่างปลอดภัยแล้ว และมีกำลังใจที่ดี
โดยน้อง
เอ (นามสมมติ) เล่าเหตุการณ์ตอนที่ถูกพาตัวออกมาให้ตนฟังว่า หลังจากมีการประสานงานกลุ่มจีนเทาไปเรียกน้องที่ห้อง และให้ออกมาเพื่อพาไปส่งที่ตึกคอลเซ็นเตอร์ ในเวลา 19.00 น. วันที่ 11 ม.ค.ที่ผ่านมา
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ทางกัมพูชามารับตัวและขี่รถมอเตอร์ไซค์พาน้องไปส่งที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งในประเทศกัมพูชา และบอกน้องว่า ให้หาทางกลับบ้านเอง ซึ่งทางเราได้เตรียมการกับเจ้าหน้าที่ไทยที่คอยประสานงานกับน้องตลอดเวลาไว้แล้ว จึงพาตัวออกมา ที่สภ.สระแก้ว โดยสน.บางมดไปรับน้องกลับมา และถึงบ้านเวลา 04.00 น. ของวันที่ 12 ม.ค.
นอกจากนี้ น้องเล่าให้ตนฟังอีกว่า หนึ่งวันน้องจะได้กินข้าววันละ 2 ครั้ง ถ้าอยากดื่มน้ำก็ให้สั่งขึ้นมา และให้นอนรวมกัน 4 คน เป็นเตียง 2 ชั้น ไม่สามารถมองออกไปเห็นวิวข้างนอกได้ เพราะมีกำแพงปิดกั้นสูง ซึ่งตึกที่น้องอยู่เป็นอาคาร 4 ชั้น ตนขอเรียกว่าจีนดำไม่ใช่จีนเทา เพราะหนักกว่า
โดยจีนดำเหล่านี้ ก่อนที่จะพาน้องไปยังประเทศกัมพูชาได้ให้น้องถ่ายรูปคู่กับบัตรประชาชน และนำโทรศัพท์น้องไปล้างข้อมูล มีบางคนที่ถูกหลอกให้ไปเปิดบัญชีที่ห้างดังในไทยย่านรามอินทรา บางคนก็ให้ใช้บัตรประชาชนเปิดที่หน้าตู้อัตโนมัติเอง จึงขอฝากถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่า การใช้บัตรประชาชนเปิดบัญชีเองก็เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ระบาดขึ้นมาได้ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยต้องพิจารณา
นาย
ไชยามพวาน กล่าวต่อว่า น้องฝากมาบอกถึงคนที่ถูกหลอกลวงว่า อย่าไปเลย เพราะมันทรมานและลำบากมากๆ ซึ่งเรื่องนี้ตนต้องขอบคุณทาง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ที่ทราบเรื่องและสั่งการลงมาถึงหน่วยงานโดยตรงให้พาน้องกลับมาให้ได้
ขอประณามจีนเทาทุกคนที่กล้าทำแบบนี้ว่า สักวันหนึ่งจะมีวิธีการสกัดไม่ให้พวกเขาใช้ประเทศไทยเป็นเส้นทางผ่าน และใช้เครือข่ายทำแบบนี้ในประเทศไทยได้อีก รวมถึงขอบคุณสื่อมวลชนที่ช่วยสับขาหลอกเรื่องนี้ และนำไปสู่การพาน้องออกมาได้
“
หวังว่าทางนายกฯ และคณะรัฐมนตรี จะเห็นว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาระดับชาติ และขอฝากเป็นการบ้านให้แก้ปัญหา ส่วนขณะนี้น้องเองยังคงกังวลใจว่า ใครบ้างที่เป็นเครือข่ายจีนเทา และใครบ้างที่อาจจะจ้างมาปิดปากอีกหรือไม่ รวมถึงยังมีเหยื่ออีกหลายคนที่ยังไม่ถูกพาออกมา ซึ่งก็ต้องฝากทางรัฐบาล” นาย
ไชยามพวาน กล่าว
ร้องรัฐบาลจริงจังแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์
https://tna.mcot.net/politics-1473662
รัฐสภา 13 ม.ค.- เลขานุการประธานสภา เรียกร้องรัฐบาลจริงจังแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ย้ำขณะนี้ไทยถูกมองเป็นศูนย์กลางความชั่วร้าย ระบุมีหลายประเทศขอความช่วยเหลือประธานสภาฯ และเข้าใจว่ามีเจ้าหน้าที่ไทยเกี่ยวข้องกับการลักพาตัว
นาย
มุข สุไลมาน เลขานุการประธานสภาผู้แทนราษฎร บอกถึงปัญหาแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ว่าขณะนี้ มีหลายประเทศเรียกร้อง และส่งข้อมูลไปยังประธานสภา เนื่องจากมีประชาชนในประเทศนั้นๆเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย แต่กลับถูกลักพาตัวไปที่เมียนมา และเข้าใจว่ามีเจ้าหน้าที่ของไทยเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ย้ำว่า มีหลายประเทศขอความช่วยเหลือ เช่น เคนยา ผู้ที่ถูกลักพาตัวออกมายอมรับว่า ระหว่างโดนลักพาตัวได้ถูกทำร้ายร่างกาย เพื่อให้ทำงานตามที่กลุ่มเหล่านั้นต้องการ ซึ่งเรื่องนี้ส่งผลกระทบกับประเทศไทย เพราะขณะนี้ ชาวโลกมองประเทศไทยว่าเป็นศูนย์กลางความชั่วร้าย เช่นเดียวกับจีน ที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวที่ถูกลักพาตัว มีมากกว่า 100 คน ทำให้สื่อของจีนออกข่าวเตือนนักท่องเที่ยวในประเทศของตัวเอง ส่งผลให้ขณะนี้ มีการยกเลิกไปแล้วประมาณ 70% ใน1 – 2 เดือนนี้ เชื่อว่านี่เป็นภาพที่ชัดเจนว่า ไทยได้รับผลกระทบด้านการท่องเที่ยว และจากนี้จะมีประเทศอื่นๆตามมา
เลขานุการประธานสภาผู้แทนราษฎร จึงได้ย้ำไปทางรัฐบาลว่า ให้ตระหนักและจริงจังในการแก้ไขปัญหา เพื่อให้ความมั่นใจกลับคืนมา และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวยังเป็นที่ยอมรับ เช่นหากเมียนมาไม่ดำเนินการ ไทยจะยกเลิกการขายไฟฟ้าให้ เพราะหากไม่มีไฟฟ้า ธุรกิจดังกล่าวก็ไม่สามารถดำเนินการต่อได้ และต้องปิดในที่สุด .312 .-สำนักข่าวไทย
JJNY : โอดพันธุ์หัวหอมพุ่งสวนทางกับราคาขาย│สส.ปูอัดจี้รบ.แก้ปัญหา│ร้องจริงจังแก้คอลเซ็นเตอร์│เวียดนามขึ้นแท่นทุเรียนโลก
https://ch3plus.com/news/economy/morning/430658
เกษตรกรปลูกหอมโอด พันธุ์หัวหอมปรับราคา จาก กก.ละ 30-50 บาท เป็น 130-150 บาท ขณะที่อากาศหนาวต่อเนื่องผลผลิตดี ราคาขายลดลงจาก กก.ละ 90 บาท เป็น กก.ละ 30 บาท
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 13 ม.ค. 2568 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่สำรวจการเพาะปลูกในช่วงสภาพอากาศที่หนาวเย็นต่อเนื่อง ที่จะส่งผลที่ดีในการเพาะปลูกพืชผักสวนครัว โดยพบว่าที่แปลงปลูกหอมแบ่ง ในพื้นที่ บ้านเลิง ม.8 ต.โคกสี อ.เมือง จ.ขอนแก่น มีเกษตรกรปลูกหอมจำนวนหลายราย ซึ่งผลผลิตในปีนี้พบว่าให้ผลผลิตดีต่อเนื่องและไม่มีโรค โดยจะมีพ่อค้าแม่ค้าคนกลางมารับซื้อถึงที่ เพื่อนำไปส่งจำหน่ายตามตลาดรายใหญ่ในเมืองขอนแก่นและในพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งราคาจำหน่ายต้นหอมในตลาดเช้าวันนี้พบว่า ราคาส่งอยู่ที่ กก.ละ 40 บาท และราคาปลีกอยู่ที่ กก.ละ 50 บาท
นางรุ่งฤดี อายุ 52 ปี เจ้าของสวนเพาะปลูกหอมแบ่ง กล่าวว่า จากสภาพอากาศหนาวเย็นต่อเนื่อง ถือว่าให้ผลผลิตที่ดีและไม่เป็นโรคเหลืองเหมือนปีที่ผ่านมาในช่วงเวลาเดียวกัน แต่ราคาพันธุ์หัวหอมปรับขึ้นอย่างมากและเป็นครั้งแรกที่ราคาแพงขนาดนี้ จากปกติเคยซื้อพันธุ์หอมมา กก.ละ 30-50 บาท แต่ปีนี้ราคาพุ่งสูงเป็น 130-150 บาท โดยเหตุผลเพราะช่วงที่ผ่านมาน้ำท่วม และพอได้ผลผลิตมาก็นำมาขายได้ กก.ละ 20-30 บาทเท่านั้น แต่หากราคาขายต้นอยู่ที่ กก.ละ 50 บาทขึ้นไปก็จะถือว่าสร้างรายได้ที่คุ้มทุนและคุ้มค่าเหนื่อย แต่ ณ ขณะนี้ถือว่าราคาไม่สมดุลกัน แต่ก็เข้าใจว่าเป็นช่วงหน้าหนาวที่ผลผลิตหอมนั้นให้ผลผลิตดีในทุกๆ พื้นที่ที่มีการเพาะปลูก
แต่ละรอบการขายจะมีแม่ค้ามารับซื้อหอมที่ปลูกเอาไว้ถึงแปลง ซึ่งราคาก็แล้วแต่จะได้ โดยรอบที่ผ่านมาได้เคยได้สูงสุด กก.ละ 120-130 บาท แต่ราคาก็ปรับลงเรื่อยๆ มาเป็น กก.ละ 90 บาท แล้วลดลงเหลือ กก.ละ 40 บาท และล่าสุดที่ได้อยู่ที่ กก.ละ 20-30 บาทเท่านั้น และแต่ละรอบที่ปลูกก็จะได้ผลผลิตอยู่ประมาณ 5 ตัน และปีนี้เป็นปีแรกที่ราคาพันธุ์หัวหอมแพงมาก และฤดูหนาวนั้นเพาะปลูกง่ายกว่าทุกฤดู จะหนักสุดในช่วงฤดูฝนน้ำท่วมเพาะปลูกไม่ได้ และเป็นโรคเหลือง ช่วงตรุษจีนปีที่ผ่านมาเกิดโรคเหลืองไม่สามารถนำไปขายได้ แต่ปีนี้ดีขึ้นมาแล้วไม่มีโรค
สส.ปูอัด เผย ช่วยเด็กถูกหลอกเป็นแก๊งคอลฯ กลับไทยได้แล้ว จี้รัฐบาลแก้ปัญหา
https://www.khaosod.co.th/politics/news_9587076
สส.ปูอัด เผย ช่วยเด็กถูกหลอกเป็นแก๊งคอลฯ ที่ปอยเปต กลับไทยได้แล้ว ชี้เป็นปัญหาระดับชาติ จี้รัฐบาลแก้ปัญหา แนะ ธปท. ทบทวนใช้บัตรประชาชนใบเดียวเปิดบัญชี
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 13 ม.ค. 2568 ที่รัฐสภา นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ สส.กทม. พรรคไทยก้าวหน้า แถลงกรณีแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกเด็กจากเขตบางขุนเทียน จอมทอง ไปอยู่ที่ปอยเปต ประเทศกัมพูชาว่า วันนี้สามารถพาน้องที่ถูกหลอกไปเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ปอยเปต ประเทศกัมพูชา ออกมาได้อย่างปลอดภัยแล้ว และมีกำลังใจที่ดี
โดยน้องเอ (นามสมมติ) เล่าเหตุการณ์ตอนที่ถูกพาตัวออกมาให้ตนฟังว่า หลังจากมีการประสานงานกลุ่มจีนเทาไปเรียกน้องที่ห้อง และให้ออกมาเพื่อพาไปส่งที่ตึกคอลเซ็นเตอร์ ในเวลา 19.00 น. วันที่ 11 ม.ค.ที่ผ่านมา
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ทางกัมพูชามารับตัวและขี่รถมอเตอร์ไซค์พาน้องไปส่งที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งในประเทศกัมพูชา และบอกน้องว่า ให้หาทางกลับบ้านเอง ซึ่งทางเราได้เตรียมการกับเจ้าหน้าที่ไทยที่คอยประสานงานกับน้องตลอดเวลาไว้แล้ว จึงพาตัวออกมา ที่สภ.สระแก้ว โดยสน.บางมดไปรับน้องกลับมา และถึงบ้านเวลา 04.00 น. ของวันที่ 12 ม.ค.
นอกจากนี้ น้องเล่าให้ตนฟังอีกว่า หนึ่งวันน้องจะได้กินข้าววันละ 2 ครั้ง ถ้าอยากดื่มน้ำก็ให้สั่งขึ้นมา และให้นอนรวมกัน 4 คน เป็นเตียง 2 ชั้น ไม่สามารถมองออกไปเห็นวิวข้างนอกได้ เพราะมีกำแพงปิดกั้นสูง ซึ่งตึกที่น้องอยู่เป็นอาคาร 4 ชั้น ตนขอเรียกว่าจีนดำไม่ใช่จีนเทา เพราะหนักกว่า
โดยจีนดำเหล่านี้ ก่อนที่จะพาน้องไปยังประเทศกัมพูชาได้ให้น้องถ่ายรูปคู่กับบัตรประชาชน และนำโทรศัพท์น้องไปล้างข้อมูล มีบางคนที่ถูกหลอกให้ไปเปิดบัญชีที่ห้างดังในไทยย่านรามอินทรา บางคนก็ให้ใช้บัตรประชาชนเปิดที่หน้าตู้อัตโนมัติเอง จึงขอฝากถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่า การใช้บัตรประชาชนเปิดบัญชีเองก็เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ระบาดขึ้นมาได้ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยต้องพิจารณา
นายไชยามพวาน กล่าวต่อว่า น้องฝากมาบอกถึงคนที่ถูกหลอกลวงว่า อย่าไปเลย เพราะมันทรมานและลำบากมากๆ ซึ่งเรื่องนี้ตนต้องขอบคุณทาง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ที่ทราบเรื่องและสั่งการลงมาถึงหน่วยงานโดยตรงให้พาน้องกลับมาให้ได้
ขอประณามจีนเทาทุกคนที่กล้าทำแบบนี้ว่า สักวันหนึ่งจะมีวิธีการสกัดไม่ให้พวกเขาใช้ประเทศไทยเป็นเส้นทางผ่าน และใช้เครือข่ายทำแบบนี้ในประเทศไทยได้อีก รวมถึงขอบคุณสื่อมวลชนที่ช่วยสับขาหลอกเรื่องนี้ และนำไปสู่การพาน้องออกมาได้
“หวังว่าทางนายกฯ และคณะรัฐมนตรี จะเห็นว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาระดับชาติ และขอฝากเป็นการบ้านให้แก้ปัญหา ส่วนขณะนี้น้องเองยังคงกังวลใจว่า ใครบ้างที่เป็นเครือข่ายจีนเทา และใครบ้างที่อาจจะจ้างมาปิดปากอีกหรือไม่ รวมถึงยังมีเหยื่ออีกหลายคนที่ยังไม่ถูกพาออกมา ซึ่งก็ต้องฝากทางรัฐบาล” นายไชยามพวาน กล่าว
ร้องรัฐบาลจริงจังแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์
https://tna.mcot.net/politics-1473662
รัฐสภา 13 ม.ค.- เลขานุการประธานสภา เรียกร้องรัฐบาลจริงจังแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ย้ำขณะนี้ไทยถูกมองเป็นศูนย์กลางความชั่วร้าย ระบุมีหลายประเทศขอความช่วยเหลือประธานสภาฯ และเข้าใจว่ามีเจ้าหน้าที่ไทยเกี่ยวข้องกับการลักพาตัว
นายมุข สุไลมาน เลขานุการประธานสภาผู้แทนราษฎร บอกถึงปัญหาแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ว่าขณะนี้ มีหลายประเทศเรียกร้อง และส่งข้อมูลไปยังประธานสภา เนื่องจากมีประชาชนในประเทศนั้นๆเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย แต่กลับถูกลักพาตัวไปที่เมียนมา และเข้าใจว่ามีเจ้าหน้าที่ของไทยเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ย้ำว่า มีหลายประเทศขอความช่วยเหลือ เช่น เคนยา ผู้ที่ถูกลักพาตัวออกมายอมรับว่า ระหว่างโดนลักพาตัวได้ถูกทำร้ายร่างกาย เพื่อให้ทำงานตามที่กลุ่มเหล่านั้นต้องการ ซึ่งเรื่องนี้ส่งผลกระทบกับประเทศไทย เพราะขณะนี้ ชาวโลกมองประเทศไทยว่าเป็นศูนย์กลางความชั่วร้าย เช่นเดียวกับจีน ที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวที่ถูกลักพาตัว มีมากกว่า 100 คน ทำให้สื่อของจีนออกข่าวเตือนนักท่องเที่ยวในประเทศของตัวเอง ส่งผลให้ขณะนี้ มีการยกเลิกไปแล้วประมาณ 70% ใน1 – 2 เดือนนี้ เชื่อว่านี่เป็นภาพที่ชัดเจนว่า ไทยได้รับผลกระทบด้านการท่องเที่ยว และจากนี้จะมีประเทศอื่นๆตามมา
เลขานุการประธานสภาผู้แทนราษฎร จึงได้ย้ำไปทางรัฐบาลว่า ให้ตระหนักและจริงจังในการแก้ไขปัญหา เพื่อให้ความมั่นใจกลับคืนมา และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวยังเป็นที่ยอมรับ เช่นหากเมียนมาไม่ดำเนินการ ไทยจะยกเลิกการขายไฟฟ้าให้ เพราะหากไม่มีไฟฟ้า ธุรกิจดังกล่าวก็ไม่สามารถดำเนินการต่อได้ และต้องปิดในที่สุด .312 .-สำนักข่าวไทย