เรื่อง : ชีวิตเปื้อนสุข
(ส่วนที่๑)
โดย : ละเว้
‘อีกาตัวหนึ่ง ร้อง กา กา เสียงดังทีเดียว มันบินวนเวียนไปมาหาน้ำดื่ม แต่ก็หาไม่ได้ เพราะห้วยหนองคลองบึงพากันแห้งแล้งกันดารไปหมด อีกามันจึงหิวน้ำมากเลย’
แม่เล่านิทานให้ผมฟังก่อนนอนเช่นทุกคืน นิทานของแม่มีหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นกระต่ายกับหอยโข่ง งูเก็งกอง กระต่ายกับปลาช่อน ศรีธนญชัย หรืออีกากับเหยือกน้ำที่ผมกำลังได้ฟังอยู่นี้
.
ผมชื่อ ‘โสะคา’ (สุขา) อายุสิบสองปี เป็นเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่สามของโรงเรียนเล็ก ๆ ในอำเภอแห่งนี้ ที่จริงบ้านของผมนั้นอยู่ห่างจากโรงเรียนมากเลยทีเดียว แต่ที่นี่นับว่าใกล้สุดแล้วสำหรับการเดินทางมาเรียนของผม
เมื่อชาวบ้านช่วยกันสร้างเรือนไม้หลังยาวเสร็จแล้ว หากว่าพอมีเวลาคุณครูจะพาพวกเราไปที่นั่นกัน ลำคลองซึ่งไม่มีน้ำแม้สักหยดนั่น มันอาจไม่เคยมีน้ำเลย หรือผมอาจไม่รู้ว่ามันเคยมี มันอยู่ตรงชายป่าโล่ง ๆ ไม่ห่างจากโรงเรียนมากนัก ท้องคลองที่ดูเหมือนกับรางน้ำแห้งขอดนั้นมีแต่หินก้อนกลมมน และกองกระดูกกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป มันดูขาวโพลนเต็มไปหมด คุณครูบอกให้พวกเราช่วยกันเก็บรวบรวมเศษซากเหล่านั้นขึ้นมา ผมไม่รู้หรอกว่าท่านให้เราทำอย่างนั้นกันทำไม แต่ถ้าคุณครูบอกว่าให้เก็บ ก็แสดงว่ามันต้องเก็บนั่นแหละ เราทำแบบนั้นกันทุกวันที่มีเวลา บางแห่งมีร่องรอยแทรกเตอร์ไถดินกลบ เราก็จะขุดคุ้ยขึ้นมาเท่าที่พอจะขุดหาได้ ไม่นานเรือนยาวหลังนั้นก็เต็มไปด้วยเศษซากกระดูกมนุษย์ โดยเราจะแยกกะโหลกกับแขนขาและส่วนอื่น ๆ ออกจากกัน กองกระดูกเหล่านี้มาจากไหน ทำไมผู้ฅนจึงมาตายที่นี่กันมากมายนัก หรือว่าเกิดโรคระบาด ผมอดสงสัยไม่ได้ขณะคอยช่วยส่งกะโหลกเหล่านั้นให้คุณครูจัดวางอีกที
“ทำไมจึงมีฅนตายเยอะจังครับ” ผมถามพลางมองหัวกะโหลกที่เหมือนกับอ้าปากแสยะยิ้มอยู่ในมือ “พวกเขาเป็นอะไรตาย”
“ถูกฆ่านะสิ” คุณครูตอบเรียบ ๆ พลางเอื้อมมือรับหัวกะโหลกจากผม
“ใครฆ่าพวกเขา” ผมยังคงสงสัย “เวียดนามหรือครับ”
“ฅนแขมร์ด้วยกันนี่แหละ”
“พวกอ็องการ์” ผมหลุดคำพูดออกมา คิดว่าต้องเป็นพวกเขา บางครั้งพวกนั้นก็ถูกเรียกว่าอีกา คุณครูพยักหน้าเงียบ ๆ
(อ็องการ์ = องค์การ : คำเต็มคือองค์การปฏิวัติ)
.
ปี 1975 ตอนอายุเจ็ดขวบ คืนนั้นผมต้องสะดุ้งตื่นจากเสียงปืนที่รัวลั่นกลางดึก พ่อพาผมกับแม่ไปหลบในป่า ท่ามกลางเสียงปืนเสียงสู้รบนั้น ผมหลับตาซุกหน้ากับอกแม่ที่กระชับผมไว้ในอ้อมกอดเช่นกัน ทั้งกลัวและสับสน ทั้งไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้ รู้แต่ว่าทหารในหมู่บ้านรวมถึงพวกอเมริกากำลังสู้รบอยู่กับใครสักกลุ่ม
ใกล้สางเสียงปืนจึงสงบลง เราออกมาจากป่าและได้รู้ว่า ทั้งทหารในหมู่บ้านและพวกต่างชาติถูกขับไล่ออกไปแล้ว สะพานเข้าออกหมู่บ้านถูกเผาทำลาย เราต้องอยู่แต่ในหมู่บ้านภายใต้การปกครองของพวกที่เข้ามาใหม่ ทหารชุดดำเหล่านั้น พวกอ็องการ์
ตอนนั้นผมยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจอะไร แต่ยังจำได้ดีถึงคำประกาศที่บอกว่าประเทศของเราเป็นอิสระแล้ว อิสระที่จะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จากนั้นชีวิตของผมก็เปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ โดยเริ่มจากสีของเสื้อผ้า
“เปลือกอะไรนะแม่”
แม่หยุดตำเปลือกไม้และหันมองเมื่อผมถาม แววตาของแม่ก็เปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน
“ถอดเสื้อผ้าออกมาจะได้ย้อม” แม่บอกกับผมพลางควักเปลือกไม้จากครกใส่อ่างน้ำ อ็องการ์ทำให้ผมได้รู้ว่า เปลือกไม้หรือเมล็ดของผลไม้บางชนิดก็ใช้ย้อมเสื้อผ้าได้เช่นกัน เวลานี้ผ้าทุกสีล้วนเป็นสิ่งต้องห้าม ฅนของอ็องการ์ต้องใส่ชุดดำล้วนเท่านั้น การทำให้เสื้อผ้าสีสว่างที่มีเปลี่ยนเป็นสีดำหรือคล้ำลงคือสิ่งที่เราต้องรู้จักทำ
เมื่อถอดผ้าออก เสื้อนักเรียนกับกางเกงของผมก็ถูกใส่ไปในน้ำข้นดำจากยางไม้นั้น มันค่อย ๆ เปลี่ยนสีในทันที
“ทำไมเราต้องใส่ชุดดำกันด้วยครับ” ผมถามพลางพลิกกลับเสื้อที่เคยเป็นสีขาวในอ่าง
“ไม่ต้องถามหรอก เขาบอกให้ใส่ก็ใส่เถอะ”
นั่นคือคำตอบของแม่ มันดูจะเป็นแบบนั้นทุกครั้งที่ผมถามไม่ว่าเรื่องอะไร จนผมเลิกที่จะสงสัยหรือมีคำถามอะไรแล้ว
.
ยังมีความเปลี่ยนแปลงอีกหลายอย่างที่เกิดขึ้น เช่นว่าเราไม่ต้องใช้เงิน ผมไม่ต้องไปเรียน ฅนเฒ่าฅนแก่ก็ไม่ต้องไปวัด ทุกฅนในหมู่บ้านไม่ว่าหนุ่มสาวหรือวัยไหนล้วนต้องทำงาน ไม่เว้นแม้แต่เด็กอย่างผม
งานหลักของเด็ก ๆ อย่างเราคือการหาเก็บขี้วัวขี้ควาย หาบมากองผสมกับใบไม้ใบหญ้าเพื่อให้กลายเป็นปุ๋ยหมัก มันเป็นงานที่ค่อนข้างหนัก แต่เราก็ทำกันโดยไม่มีเกี่ยงงอนหรือทักท้วง แม้จะเหนื่อยและหิวเพียงใดก็ตาม เราทำได้เพียงเชื่อฟัง ไม่เช่นนั้นเราจะกลายเป็นกบฏ ในที่สุดผมก็เริ่มชาชินกับการใช้ชีวิตตามคำสั่งไปแล้ว
.
วันนั้นอากาศร้อนอบอ้าวไม่ต่างจากทุกวัน ไอ้มณทรุดร่างผอมสูงของมันลงกับพื้นด้วยอาการเหนื่อยล้า ผมเองก็ไม่ต่างกันสักเท่าไรหรอก เราพากันนั่งหอบหลังจากช่วยกันนำขี้วัวขี้ควายสด ๆ มาใส่กองปุ๋ย สองฅนพ่นลมหายใจทางปากโดยไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา
พักกันไม่นานก็ต้องทำงานต่อ ท้องยังคอยร้องหิว แต่เราจะไม่ได้กินอะไรจนกว่าจะถึงมื้อเพล
.
ฝูงวัวเล็มหญ้ากลางทุ่ง เด็กเลี้ยงวัวแขนลีบนั่งเฝ้าพวกมันอยู่บนโคก ชาวบ้านทำงานอยู่ในไร่ไม่ไกลนัก ผมกับไอ้มณยังคงหาเก็บขี้วัวขี้ควายกันไป เราต่างทำหน้าที่ตามได้รับมอบหมายของแต่ละฅน
เสียงเคาะระฆังแว่วมา เด็ก ๆ รีบผละจากงาน ทุกมื้อเราจะได้กินอาหารก่อนฅนโต ผมวิ่งพลางคลำช้อนในกระเป๋ากางเกงไปด้วย มันไม่เคยห่างกายนับแต่วันที่ได้รับแจก แต่ผมทำชามแตกไปนานแล้ว ช้อนของไอ้มณก็หายไปแล้วเช่นกัน เราจึงต้องพึ่งพากันยามนี้เสมอ
เด็กหลายฅนนั่งกินข้าวกันก่อนแล้วตามสำรับที่ถูกวางเรียงไว้ให้ วันนี้เรามาช้านิดหน่อยเพราะมัวแต่อยู่ในทุ่งซึ่งอยู่ห่างออกไป ทุกมื้อกับการใช้ชามร่วมกันช้อนคันเดียวระหว่างผมกับไอ้มณนั้นทำให้เราต้องรีบ
เมื่อผมซดข้าวต้มเละ ๆ คำแรกเข้าปาก ไอ้มณก็รีบคว้าช้อนไปจากมือก่อนจะทันได้วางลงด้วยซ้ำ มันจ้วงน้ำปลาร้าใส่ชามข้าวต้มก่อนตักซด แล้ววางช้อนลงในชามเพื่อให้ผมได้หยิบมาใช้ต่อ
การกินอาหารแบบนี้ถือเป็นเรื่องปกติอีกอย่างสำหรับเราสองฅนเช่นกัน วันนี้ดีหน่อยที่นอกจากข้าวต้มเปื่อยๆ และปลาร้าที่มีแต่น้ำนั่นแล้ว เรายังมียอดกระถินพอให้ได้เคี้ยวผักกันบ้าง
.
อากาศยังคงร้อนอบอ้าว ผมยังคงช่วยคุณครูจัดวางกองกระดูกในเรือนยาวนั่น
“ทำไมอ็องการ์ถึงได้ฆ่าฅนมากมายขนาดนี้” ผมเอ่ยถามขึ้นอีก
“มันมีหลายเหตุผลที่เขาจะอ้าง เพราะฅนพวกนี้คือศัตรู เป็นกบฏ” ครูหันมองหน้า เหยียดยิ้มมุมปาก
“ที่น่าขันก็คือเพราะว่าพวกเขาเป็นหมอ เป็นพระ เป็นฅนรวย เป็นดารา นักร้อง หรือเป็นครูแบบครูนี่ไงล่ะ”
เรานิ่งกันชั่วขณะ ฅนเป็นหมอเป็นพระดารา หรือครูก็ต้องถูกฆ่าด้วยหรือ ผมนึกถึงไอ้นา เด็กเลี้ยงวัวแขนลีบคนนั้น พ่อของมันเป็นครู ซึ่งหายไปพร้อมกับการเข้ามาของพวกอ็องการ์ นั่นสินะ ในตอนนั้นผมจึงไม่ได้เรียนต่อ แต่ผมก็ยังไม่รู้เหตุผลว่าทำไมพวกเขาต้องฆ่าฅนมากมายขนาดนี้ คงได้แต่หาคำตอบและอดคิดย้อนไปอีกไม่ได้
.
ที่หมู่บ้านเก่าของผม หลังจากชาวบ้านโดนยึดสมบัติรวมถึงที่ดินเข้ากองกลางหมดแล้ว วันหนึ่งในที่ประชุมพวกเขาก็ถามหาฅนซึ่งเคยมีตำแหน่ง ไม่ว่าจะทหารหรือผู้นำในหมู่บ้าน ให้ทุกฅนลงชื่อไว้เพื่อจะได้มอบหมายงานในตำแหน่งเดิมให้ทำ พวกเขาบอกแบบนั้น ผมยังแปลกใจที่เห็นพ่อไปลงชื่อกับเขาด้วย พ่อของผมไม่ใช่ทหารไม่ใช่ครูหรืออะไรเลยนี่นา หรือว่าพ่อจะมีตำแหน่งอะไรที่ผมไม่เคยรู้ ผมได้แต่คิดแบบนั้นเพราะยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจอะไรได้มากกว่านี้
ธงชาติยังคงโบกสะบัดท่ามกลางอากาศอบอ้าว ผมแหงนมองยอดเสาพลางคิดไป จำได้ว่าแม่ไม่เคยตอบคำถามนอกจากสั่งห้าม ห้ามพูดห้ามถาม แต่ตอนนี้ผมพอเข้าใจได้แล้วว่าพ่อหายไปไหนหลังจากวันนั้น รวมถึงชาวบ้านหลายฅนที่มักถูกประกาศในที่ประชุมว่าพวกเขาเป็นกบฏนั่นด้วย
ขณะที่ช่วยคุณครูทำงานไป เมื่อมองกะโหลกชิ้นย่อมในมือก็ทำให้ผมอดคิดถึงมันขึ้นมาอีกไม่ได้
.
ที่ศาลารับประทานอาหารของเรา วงข้าวบางสำรับถูกเก็บไปแล้ว เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครเห็น ไอ้มณก็ใช้ความไวหย่อนบางอย่างที่มีสีออกดำลงชามข้าวต้มก่อนที่ผมจะตักขึ้นมา มันหลิ่วตาพยักหน้าแต่พอให้รู้ว่า เงียบไว้และรีบกินไป ผมตักข้าวต้มพร้อมชิ้นสีดำนั่นเข้าปาก รับรู้ได้ถึงความร้ายกาจของมัน มันแอบไปหาปลาและเผาซุกไว้ตั้งแต่เมื่อไร ท้องคลองเมื่อย่างเข้าหน้าแล้งแบบนี้จะมีน้ำขังเป็นแอ่ง และบางทีก็จะมีปลาที่เราเรียกว่าปลาตกคลักหลงเหลืออยู่ในแอ่งนั้น พวกฅนโตก็กำลังเผาป่าที่แผ้วถางเพื่อปลูกข้าว มันคงจะไปแอบเผาปลามาจากที่นั่น
ผมเหลือบมองไอ้มณที่ยังคงตีสีหน้านิ่งสนิท การแอบหาปลามากินเองแบบนี้ถือว่าเป็นกบฏได้เลยทีเดียว ตอนนี้สังคมของเราคือส่วนรวม ของทุกอย่างไม่ว่าจะได้มาอย่างไรล้วนต้องเข้ากองกลาง ผมเคยเห็นหลายฅนถูกเอามาประกาศในที่ประชุมว่าเป็นกบฏ ก่อนที่พวกเขาจะหายไป อันเนื่องมาจากการแอบซุกซ่อนสิ่งของไว้เป็นส่วนตัวอยู่เนือง ๆ แต่ผมคงไม่มีเวลามัวคิดอะไรมากกว่านี้ อีกอย่างก็คือผมไม่ได้กินปลาย่างมานานเท่าไรแล้ว ต้องขอบคุณไอ้มณนั่นแหละที่ทำให้ผมได้รู้รสชาติของมันอีกครั้ง
.
หลังเสร็จจากงาน เรา หรือผมกับคุณครูก็มีเวลานั่งคุยกัน ความโหดร้ายต่าง ๆ ถูกระบายออกมาจากปากของท่าน เรื่องราวการเข่นฆ่าทารุณอันเป็นที่มาของกองกระดูกตรงหน้าซึ่งผมไม่เคยได้รับรู้มาก่อน ช่างน่าอดสูนัก ความโหดร้ายเหล่านั้นผมอยู่กับมันมาตลอดด้วยซ้ำ แต่กลับไม่เคยสลดใจกระทั่งได้ฟังจากปากของคุณครูวันนี้เลย อาจเป็นเพราะตอนนั้นผมยังเด็กเกินไป ทั้งยังไม่เคยได้รับรู้เรื่องราวการเข่นฆ่าอันโหดร้ายด้วยกระมัง จะว่าไปแล้วท่ามกลางสงครามแบบนี้ ผมเคยเห็นฅนตายต่อหน้าต่อตาก็เพียงครั้งเดียวเท่านั้นจริง ๆ
.
ตอนอายุสิบเอ็ดขวบคือช่วงที่ผมต้องทำความเข้าใจกับความสับสนอีกครั้ง เมื่อเราต้องมาพัวพันกับทหารเวียดนามที่เข้ามาตีพวกอ็องการ์จนแตกพ่าย พวกเขาพาเราอพยพออกจากหมู่บ้าน เพื่อหลีกเลี่ยงจากการที่พวกอ็องการ์ชอบกลับเข้ามาปล้นเสบียงอาหาร ชาวบ้านไม่มีทางเลือกมากนักจึงต้องทิ้งหมู่บ้านตามทหารเวียดนามออกมา พวกเขาบอกว่าไม่นานหรอก เมื่อทุกอย่างคลี่คลายทุกฅนจะได้กลับมาที่หมู่บ้านแน่นอน แต่หลังจากวันนั้นผมก็ไม่เคยได้กลับบ้านเกิดอีกเลย... (มีต่อส่วนที่๒)
ชีวิตเปื้อนสุข (ส่วนที่๑)
(ส่วนที่๑)
โดย : ละเว้
‘อีกาตัวหนึ่ง ร้อง กา กา เสียงดังทีเดียว มันบินวนเวียนไปมาหาน้ำดื่ม แต่ก็หาไม่ได้ เพราะห้วยหนองคลองบึงพากันแห้งแล้งกันดารไปหมด อีกามันจึงหิวน้ำมากเลย’
แม่เล่านิทานให้ผมฟังก่อนนอนเช่นทุกคืน นิทานของแม่มีหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นกระต่ายกับหอยโข่ง งูเก็งกอง กระต่ายกับปลาช่อน ศรีธนญชัย หรืออีกากับเหยือกน้ำที่ผมกำลังได้ฟังอยู่นี้
.
ผมชื่อ ‘โสะคา’ (สุขา) อายุสิบสองปี เป็นเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่สามของโรงเรียนเล็ก ๆ ในอำเภอแห่งนี้ ที่จริงบ้านของผมนั้นอยู่ห่างจากโรงเรียนมากเลยทีเดียว แต่ที่นี่นับว่าใกล้สุดแล้วสำหรับการเดินทางมาเรียนของผม
เมื่อชาวบ้านช่วยกันสร้างเรือนไม้หลังยาวเสร็จแล้ว หากว่าพอมีเวลาคุณครูจะพาพวกเราไปที่นั่นกัน ลำคลองซึ่งไม่มีน้ำแม้สักหยดนั่น มันอาจไม่เคยมีน้ำเลย หรือผมอาจไม่รู้ว่ามันเคยมี มันอยู่ตรงชายป่าโล่ง ๆ ไม่ห่างจากโรงเรียนมากนัก ท้องคลองที่ดูเหมือนกับรางน้ำแห้งขอดนั้นมีแต่หินก้อนกลมมน และกองกระดูกกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป มันดูขาวโพลนเต็มไปหมด คุณครูบอกให้พวกเราช่วยกันเก็บรวบรวมเศษซากเหล่านั้นขึ้นมา ผมไม่รู้หรอกว่าท่านให้เราทำอย่างนั้นกันทำไม แต่ถ้าคุณครูบอกว่าให้เก็บ ก็แสดงว่ามันต้องเก็บนั่นแหละ เราทำแบบนั้นกันทุกวันที่มีเวลา บางแห่งมีร่องรอยแทรกเตอร์ไถดินกลบ เราก็จะขุดคุ้ยขึ้นมาเท่าที่พอจะขุดหาได้ ไม่นานเรือนยาวหลังนั้นก็เต็มไปด้วยเศษซากกระดูกมนุษย์ โดยเราจะแยกกะโหลกกับแขนขาและส่วนอื่น ๆ ออกจากกัน กองกระดูกเหล่านี้มาจากไหน ทำไมผู้ฅนจึงมาตายที่นี่กันมากมายนัก หรือว่าเกิดโรคระบาด ผมอดสงสัยไม่ได้ขณะคอยช่วยส่งกะโหลกเหล่านั้นให้คุณครูจัดวางอีกที
“ทำไมจึงมีฅนตายเยอะจังครับ” ผมถามพลางมองหัวกะโหลกที่เหมือนกับอ้าปากแสยะยิ้มอยู่ในมือ “พวกเขาเป็นอะไรตาย”
“ถูกฆ่านะสิ” คุณครูตอบเรียบ ๆ พลางเอื้อมมือรับหัวกะโหลกจากผม
“ใครฆ่าพวกเขา” ผมยังคงสงสัย “เวียดนามหรือครับ”
“ฅนแขมร์ด้วยกันนี่แหละ”
“พวกอ็องการ์” ผมหลุดคำพูดออกมา คิดว่าต้องเป็นพวกเขา บางครั้งพวกนั้นก็ถูกเรียกว่าอีกา คุณครูพยักหน้าเงียบ ๆ
(อ็องการ์ = องค์การ : คำเต็มคือองค์การปฏิวัติ)
.
ปี 1975 ตอนอายุเจ็ดขวบ คืนนั้นผมต้องสะดุ้งตื่นจากเสียงปืนที่รัวลั่นกลางดึก พ่อพาผมกับแม่ไปหลบในป่า ท่ามกลางเสียงปืนเสียงสู้รบนั้น ผมหลับตาซุกหน้ากับอกแม่ที่กระชับผมไว้ในอ้อมกอดเช่นกัน ทั้งกลัวและสับสน ทั้งไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้ รู้แต่ว่าทหารในหมู่บ้านรวมถึงพวกอเมริกากำลังสู้รบอยู่กับใครสักกลุ่ม
ใกล้สางเสียงปืนจึงสงบลง เราออกมาจากป่าและได้รู้ว่า ทั้งทหารในหมู่บ้านและพวกต่างชาติถูกขับไล่ออกไปแล้ว สะพานเข้าออกหมู่บ้านถูกเผาทำลาย เราต้องอยู่แต่ในหมู่บ้านภายใต้การปกครองของพวกที่เข้ามาใหม่ ทหารชุดดำเหล่านั้น พวกอ็องการ์
ตอนนั้นผมยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจอะไร แต่ยังจำได้ดีถึงคำประกาศที่บอกว่าประเทศของเราเป็นอิสระแล้ว อิสระที่จะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จากนั้นชีวิตของผมก็เปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ โดยเริ่มจากสีของเสื้อผ้า
“เปลือกอะไรนะแม่”
แม่หยุดตำเปลือกไม้และหันมองเมื่อผมถาม แววตาของแม่ก็เปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน
“ถอดเสื้อผ้าออกมาจะได้ย้อม” แม่บอกกับผมพลางควักเปลือกไม้จากครกใส่อ่างน้ำ อ็องการ์ทำให้ผมได้รู้ว่า เปลือกไม้หรือเมล็ดของผลไม้บางชนิดก็ใช้ย้อมเสื้อผ้าได้เช่นกัน เวลานี้ผ้าทุกสีล้วนเป็นสิ่งต้องห้าม ฅนของอ็องการ์ต้องใส่ชุดดำล้วนเท่านั้น การทำให้เสื้อผ้าสีสว่างที่มีเปลี่ยนเป็นสีดำหรือคล้ำลงคือสิ่งที่เราต้องรู้จักทำ
เมื่อถอดผ้าออก เสื้อนักเรียนกับกางเกงของผมก็ถูกใส่ไปในน้ำข้นดำจากยางไม้นั้น มันค่อย ๆ เปลี่ยนสีในทันที
“ทำไมเราต้องใส่ชุดดำกันด้วยครับ” ผมถามพลางพลิกกลับเสื้อที่เคยเป็นสีขาวในอ่าง
“ไม่ต้องถามหรอก เขาบอกให้ใส่ก็ใส่เถอะ”
นั่นคือคำตอบของแม่ มันดูจะเป็นแบบนั้นทุกครั้งที่ผมถามไม่ว่าเรื่องอะไร จนผมเลิกที่จะสงสัยหรือมีคำถามอะไรแล้ว
.
ยังมีความเปลี่ยนแปลงอีกหลายอย่างที่เกิดขึ้น เช่นว่าเราไม่ต้องใช้เงิน ผมไม่ต้องไปเรียน ฅนเฒ่าฅนแก่ก็ไม่ต้องไปวัด ทุกฅนในหมู่บ้านไม่ว่าหนุ่มสาวหรือวัยไหนล้วนต้องทำงาน ไม่เว้นแม้แต่เด็กอย่างผม
งานหลักของเด็ก ๆ อย่างเราคือการหาเก็บขี้วัวขี้ควาย หาบมากองผสมกับใบไม้ใบหญ้าเพื่อให้กลายเป็นปุ๋ยหมัก มันเป็นงานที่ค่อนข้างหนัก แต่เราก็ทำกันโดยไม่มีเกี่ยงงอนหรือทักท้วง แม้จะเหนื่อยและหิวเพียงใดก็ตาม เราทำได้เพียงเชื่อฟัง ไม่เช่นนั้นเราจะกลายเป็นกบฏ ในที่สุดผมก็เริ่มชาชินกับการใช้ชีวิตตามคำสั่งไปแล้ว
.
วันนั้นอากาศร้อนอบอ้าวไม่ต่างจากทุกวัน ไอ้มณทรุดร่างผอมสูงของมันลงกับพื้นด้วยอาการเหนื่อยล้า ผมเองก็ไม่ต่างกันสักเท่าไรหรอก เราพากันนั่งหอบหลังจากช่วยกันนำขี้วัวขี้ควายสด ๆ มาใส่กองปุ๋ย สองฅนพ่นลมหายใจทางปากโดยไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา
พักกันไม่นานก็ต้องทำงานต่อ ท้องยังคอยร้องหิว แต่เราจะไม่ได้กินอะไรจนกว่าจะถึงมื้อเพล
.
ฝูงวัวเล็มหญ้ากลางทุ่ง เด็กเลี้ยงวัวแขนลีบนั่งเฝ้าพวกมันอยู่บนโคก ชาวบ้านทำงานอยู่ในไร่ไม่ไกลนัก ผมกับไอ้มณยังคงหาเก็บขี้วัวขี้ควายกันไป เราต่างทำหน้าที่ตามได้รับมอบหมายของแต่ละฅน
เสียงเคาะระฆังแว่วมา เด็ก ๆ รีบผละจากงาน ทุกมื้อเราจะได้กินอาหารก่อนฅนโต ผมวิ่งพลางคลำช้อนในกระเป๋ากางเกงไปด้วย มันไม่เคยห่างกายนับแต่วันที่ได้รับแจก แต่ผมทำชามแตกไปนานแล้ว ช้อนของไอ้มณก็หายไปแล้วเช่นกัน เราจึงต้องพึ่งพากันยามนี้เสมอ
เด็กหลายฅนนั่งกินข้าวกันก่อนแล้วตามสำรับที่ถูกวางเรียงไว้ให้ วันนี้เรามาช้านิดหน่อยเพราะมัวแต่อยู่ในทุ่งซึ่งอยู่ห่างออกไป ทุกมื้อกับการใช้ชามร่วมกันช้อนคันเดียวระหว่างผมกับไอ้มณนั้นทำให้เราต้องรีบ
เมื่อผมซดข้าวต้มเละ ๆ คำแรกเข้าปาก ไอ้มณก็รีบคว้าช้อนไปจากมือก่อนจะทันได้วางลงด้วยซ้ำ มันจ้วงน้ำปลาร้าใส่ชามข้าวต้มก่อนตักซด แล้ววางช้อนลงในชามเพื่อให้ผมได้หยิบมาใช้ต่อ
การกินอาหารแบบนี้ถือเป็นเรื่องปกติอีกอย่างสำหรับเราสองฅนเช่นกัน วันนี้ดีหน่อยที่นอกจากข้าวต้มเปื่อยๆ และปลาร้าที่มีแต่น้ำนั่นแล้ว เรายังมียอดกระถินพอให้ได้เคี้ยวผักกันบ้าง
.
อากาศยังคงร้อนอบอ้าว ผมยังคงช่วยคุณครูจัดวางกองกระดูกในเรือนยาวนั่น
“ทำไมอ็องการ์ถึงได้ฆ่าฅนมากมายขนาดนี้” ผมเอ่ยถามขึ้นอีก
“มันมีหลายเหตุผลที่เขาจะอ้าง เพราะฅนพวกนี้คือศัตรู เป็นกบฏ” ครูหันมองหน้า เหยียดยิ้มมุมปาก
“ที่น่าขันก็คือเพราะว่าพวกเขาเป็นหมอ เป็นพระ เป็นฅนรวย เป็นดารา นักร้อง หรือเป็นครูแบบครูนี่ไงล่ะ”
เรานิ่งกันชั่วขณะ ฅนเป็นหมอเป็นพระดารา หรือครูก็ต้องถูกฆ่าด้วยหรือ ผมนึกถึงไอ้นา เด็กเลี้ยงวัวแขนลีบคนนั้น พ่อของมันเป็นครู ซึ่งหายไปพร้อมกับการเข้ามาของพวกอ็องการ์ นั่นสินะ ในตอนนั้นผมจึงไม่ได้เรียนต่อ แต่ผมก็ยังไม่รู้เหตุผลว่าทำไมพวกเขาต้องฆ่าฅนมากมายขนาดนี้ คงได้แต่หาคำตอบและอดคิดย้อนไปอีกไม่ได้
.
ที่หมู่บ้านเก่าของผม หลังจากชาวบ้านโดนยึดสมบัติรวมถึงที่ดินเข้ากองกลางหมดแล้ว วันหนึ่งในที่ประชุมพวกเขาก็ถามหาฅนซึ่งเคยมีตำแหน่ง ไม่ว่าจะทหารหรือผู้นำในหมู่บ้าน ให้ทุกฅนลงชื่อไว้เพื่อจะได้มอบหมายงานในตำแหน่งเดิมให้ทำ พวกเขาบอกแบบนั้น ผมยังแปลกใจที่เห็นพ่อไปลงชื่อกับเขาด้วย พ่อของผมไม่ใช่ทหารไม่ใช่ครูหรืออะไรเลยนี่นา หรือว่าพ่อจะมีตำแหน่งอะไรที่ผมไม่เคยรู้ ผมได้แต่คิดแบบนั้นเพราะยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจอะไรได้มากกว่านี้
ธงชาติยังคงโบกสะบัดท่ามกลางอากาศอบอ้าว ผมแหงนมองยอดเสาพลางคิดไป จำได้ว่าแม่ไม่เคยตอบคำถามนอกจากสั่งห้าม ห้ามพูดห้ามถาม แต่ตอนนี้ผมพอเข้าใจได้แล้วว่าพ่อหายไปไหนหลังจากวันนั้น รวมถึงชาวบ้านหลายฅนที่มักถูกประกาศในที่ประชุมว่าพวกเขาเป็นกบฏนั่นด้วย
ขณะที่ช่วยคุณครูทำงานไป เมื่อมองกะโหลกชิ้นย่อมในมือก็ทำให้ผมอดคิดถึงมันขึ้นมาอีกไม่ได้
.
ที่ศาลารับประทานอาหารของเรา วงข้าวบางสำรับถูกเก็บไปแล้ว เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครเห็น ไอ้มณก็ใช้ความไวหย่อนบางอย่างที่มีสีออกดำลงชามข้าวต้มก่อนที่ผมจะตักขึ้นมา มันหลิ่วตาพยักหน้าแต่พอให้รู้ว่า เงียบไว้และรีบกินไป ผมตักข้าวต้มพร้อมชิ้นสีดำนั่นเข้าปาก รับรู้ได้ถึงความร้ายกาจของมัน มันแอบไปหาปลาและเผาซุกไว้ตั้งแต่เมื่อไร ท้องคลองเมื่อย่างเข้าหน้าแล้งแบบนี้จะมีน้ำขังเป็นแอ่ง และบางทีก็จะมีปลาที่เราเรียกว่าปลาตกคลักหลงเหลืออยู่ในแอ่งนั้น พวกฅนโตก็กำลังเผาป่าที่แผ้วถางเพื่อปลูกข้าว มันคงจะไปแอบเผาปลามาจากที่นั่น
ผมเหลือบมองไอ้มณที่ยังคงตีสีหน้านิ่งสนิท การแอบหาปลามากินเองแบบนี้ถือว่าเป็นกบฏได้เลยทีเดียว ตอนนี้สังคมของเราคือส่วนรวม ของทุกอย่างไม่ว่าจะได้มาอย่างไรล้วนต้องเข้ากองกลาง ผมเคยเห็นหลายฅนถูกเอามาประกาศในที่ประชุมว่าเป็นกบฏ ก่อนที่พวกเขาจะหายไป อันเนื่องมาจากการแอบซุกซ่อนสิ่งของไว้เป็นส่วนตัวอยู่เนือง ๆ แต่ผมคงไม่มีเวลามัวคิดอะไรมากกว่านี้ อีกอย่างก็คือผมไม่ได้กินปลาย่างมานานเท่าไรแล้ว ต้องขอบคุณไอ้มณนั่นแหละที่ทำให้ผมได้รู้รสชาติของมันอีกครั้ง
.
หลังเสร็จจากงาน เรา หรือผมกับคุณครูก็มีเวลานั่งคุยกัน ความโหดร้ายต่าง ๆ ถูกระบายออกมาจากปากของท่าน เรื่องราวการเข่นฆ่าทารุณอันเป็นที่มาของกองกระดูกตรงหน้าซึ่งผมไม่เคยได้รับรู้มาก่อน ช่างน่าอดสูนัก ความโหดร้ายเหล่านั้นผมอยู่กับมันมาตลอดด้วยซ้ำ แต่กลับไม่เคยสลดใจกระทั่งได้ฟังจากปากของคุณครูวันนี้เลย อาจเป็นเพราะตอนนั้นผมยังเด็กเกินไป ทั้งยังไม่เคยได้รับรู้เรื่องราวการเข่นฆ่าอันโหดร้ายด้วยกระมัง จะว่าไปแล้วท่ามกลางสงครามแบบนี้ ผมเคยเห็นฅนตายต่อหน้าต่อตาก็เพียงครั้งเดียวเท่านั้นจริง ๆ
.
ตอนอายุสิบเอ็ดขวบคือช่วงที่ผมต้องทำความเข้าใจกับความสับสนอีกครั้ง เมื่อเราต้องมาพัวพันกับทหารเวียดนามที่เข้ามาตีพวกอ็องการ์จนแตกพ่าย พวกเขาพาเราอพยพออกจากหมู่บ้าน เพื่อหลีกเลี่ยงจากการที่พวกอ็องการ์ชอบกลับเข้ามาปล้นเสบียงอาหาร ชาวบ้านไม่มีทางเลือกมากนักจึงต้องทิ้งหมู่บ้านตามทหารเวียดนามออกมา พวกเขาบอกว่าไม่นานหรอก เมื่อทุกอย่างคลี่คลายทุกฅนจะได้กลับมาที่หมู่บ้านแน่นอน แต่หลังจากวันนั้นผมก็ไม่เคยได้กลับบ้านเกิดอีกเลย... (มีต่อส่วนที่๒)