งานหนักไม่เคยฆ่าคนหรอก : งานแค่นี้เอง ช่วยกันหน่อย เพื่อนๆคิดยังไงกัยคำพูดนี้
หลายคนน่าจะเคยได้ยินวลีที่ว่า ‘งานหนักไม่เคยฆ่าคน’ แต่ว่ามันจริงหรือ ในเมื่อมีข่าวคนเสียชีวิตเพราะทำงานหนักเกินทุกปี
อ้างอิงข้อมูลจากวารสาร Environment International ที่ตีพิมพ์โดย WHO คนที่ทำงานกว่า 55 ชั่วโมงขึ้นไปต่อสัปดาห์ มีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้น 35% และความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตจากโรคหัวใจเพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบกับคนที่มีชั่วโมงการทำงานมาตรฐานที่ 35-40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
นอกจากนี้ WHO ยังเปิดเผยว่า จากการสำรวจทั่วโลกในปี 2016 มีคนกว่า 488 ล้านคนที่มีความเสี่ยงว่าจะมีชั่วโมงการทำงานที่มากกว่าปกติ และในปีนั้นมีผู้เสียชีวิตกว่า 745,000 คนจากการทำงานหนักเกินไป ซึ่งส่งผลให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองและโรคหัวใจ และผู้คนวัยทำงานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และภูมิภาคแปซิฟิกตะวันตกยังมีความเสี่ยงมากที่สุดอีกด้วย
และผลการศึกษานั้นก็ทำให้มีการกำหนดให้
‘ชั่วโมงการทำงานที่มากกว่าปกติ’ กลายเป็น
สาเหตุการเสียชีวิตเป็นครั้งแรก ประชากรจำนวน 1 ใน 3 ของยอดผู้เสียชีวิตทั่วโลกล้วนเสียชีวิตเพราะ ‘ทำงานหนักเกินไป’
นอกจากนี้ในภาษาญี่ปุ่นยังมีคำว่า ‘คาโรชิ’ หรือที่แปลว่า ‘ความตายจากการทำงานหนักเกินไป’ หลังจากวิกฤตการณ์น้ำมันในปี 1973 ทำให้องค์กรหลายองค์กรในญี่ปุ่นต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้าง นั่นส่งผลให้ผู้คนต้องทำงานหนักมากขึ้น
จากการรายงานการเสียชีวิตของพนักงาน ส่วนใหญ่มักเกิดจากภาวะหัวใจล้มเหลว โรคหลอดเลือดสมอง หรือฆ่าตัวตายทั้งสิ้น สิ่งผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีชั่วโมงการทำงานมากกว่าปกติ โดยชั่วโมงการทำงานของพวกเขาสูงถึง 60-70 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เลยทีเดียว ซึ่งนั่นมากกว่าชั่วโมงการทำงานมาตรฐานถึงเท่าตัว
ด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ล่าสุดบริษัทญี่ปุ่นจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ได้เปิดประตูให้พนักงานทำงานได้ 4 วันต่อสัปดาห์ แทนที่จะเป็น 5 วัน ทำให้พนักงานมีความยืดหยุ่นมากขึ้น เพื่อปรับปรุงสมดุลชีวิตการทำงานและการทำงานเพื่อตอบสนองความรับผิดชอบที่บ้านหรือเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ นอกที่ทำงาน
โดยบริษัทที่ปรับปรุงนโยบายดังกล่าวมีทั้ง Panasonic, Hitachi, Mizuho Financial Group และ Fast Retailing ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Uniqlo
อย่างไรก็ตามหลายคนคิดว่าการเข้ามาของการทำงานจากที่บ้าน หรือการทำงานแบบผสมผสานที่เป็นผลมาจากการปรับตัวขององค์กรในยุคโควิด อาจแก้ปัญหาการทำงานหนักมากเกินไปได้ แต่ไม่เลย นักวิจัยพบว่ามีคนกว่า 3.1 ล้านคนในอเมริกาเหนือ ยุโรป และตะวันออกกลาง มีชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยเพิ่มขึ้นอีก 48 นาที จากการทำงานจากที่บ้านหรือการทำงานแบบผสมผสาน
ทั่วโลกต่างมองเห็นปัญหานี้ แต่ไม่มีใครสนใจจะแก้มันอย่างจริงจัง เมื่อองค์กรยังมองพนักงานของพวกเขาเป็นแค่เฟืองตัวหนึ่ง ไม่ได้มองว่าพวกเขาเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตเป็นของตัวเอง มีครอบครัว มีกิจกรรมยามว่างที่อยากทำ ปัญหานี้ก็จะยังคงไม่ถูกแก้เสียที
รู้แบบนี้แล้วยังจะกล้าพูดอีกหรือว่า ‘งานหนักไม่เคยฆ่าคน’ จะต้องรอให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีกสักกี่คนถึงจะเริ่มปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
ที่มา : THE STANDARD WEALTH
https://thestandard.co/overwork-killed-more-than-745000-people-in-a-year/?fbclid=IwAR38NpmLZ_Vv4iOI6hVYn7_Hni--hA-D6GQsDN6O1tY0-iwFF_gDq_woSMQ
งานหนักไม่เคยฆ่าคนหรอก : งานแค่นี้เอง ช่วยกันหน่อย
หลายคนน่าจะเคยได้ยินวลีที่ว่า ‘งานหนักไม่เคยฆ่าคน’ แต่ว่ามันจริงหรือ ในเมื่อมีข่าวคนเสียชีวิตเพราะทำงานหนักเกินทุกปี
อ้างอิงข้อมูลจากวารสาร Environment International ที่ตีพิมพ์โดย WHO คนที่ทำงานกว่า 55 ชั่วโมงขึ้นไปต่อสัปดาห์ มีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้น 35% และความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตจากโรคหัวใจเพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบกับคนที่มีชั่วโมงการทำงานมาตรฐานที่ 35-40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
นอกจากนี้ WHO ยังเปิดเผยว่า จากการสำรวจทั่วโลกในปี 2016 มีคนกว่า 488 ล้านคนที่มีความเสี่ยงว่าจะมีชั่วโมงการทำงานที่มากกว่าปกติ และในปีนั้นมีผู้เสียชีวิตกว่า 745,000 คนจากการทำงานหนักเกินไป ซึ่งส่งผลให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองและโรคหัวใจ และผู้คนวัยทำงานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และภูมิภาคแปซิฟิกตะวันตกยังมีความเสี่ยงมากที่สุดอีกด้วย
และผลการศึกษานั้นก็ทำให้มีการกำหนดให้ ‘ชั่วโมงการทำงานที่มากกว่าปกติ’ กลายเป็นสาเหตุการเสียชีวิตเป็นครั้งแรก ประชากรจำนวน 1 ใน 3 ของยอดผู้เสียชีวิตทั่วโลกล้วนเสียชีวิตเพราะ ‘ทำงานหนักเกินไป’
นอกจากนี้ในภาษาญี่ปุ่นยังมีคำว่า ‘คาโรชิ’ หรือที่แปลว่า ‘ความตายจากการทำงานหนักเกินไป’ หลังจากวิกฤตการณ์น้ำมันในปี 1973 ทำให้องค์กรหลายองค์กรในญี่ปุ่นต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้าง นั่นส่งผลให้ผู้คนต้องทำงานหนักมากขึ้น
จากการรายงานการเสียชีวิตของพนักงาน ส่วนใหญ่มักเกิดจากภาวะหัวใจล้มเหลว โรคหลอดเลือดสมอง หรือฆ่าตัวตายทั้งสิ้น สิ่งผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีชั่วโมงการทำงานมากกว่าปกติ โดยชั่วโมงการทำงานของพวกเขาสูงถึง 60-70 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เลยทีเดียว ซึ่งนั่นมากกว่าชั่วโมงการทำงานมาตรฐานถึงเท่าตัว
ด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ล่าสุดบริษัทญี่ปุ่นจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ได้เปิดประตูให้พนักงานทำงานได้ 4 วันต่อสัปดาห์ แทนที่จะเป็น 5 วัน ทำให้พนักงานมีความยืดหยุ่นมากขึ้น เพื่อปรับปรุงสมดุลชีวิตการทำงานและการทำงานเพื่อตอบสนองความรับผิดชอบที่บ้านหรือเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ นอกที่ทำงาน
โดยบริษัทที่ปรับปรุงนโยบายดังกล่าวมีทั้ง Panasonic, Hitachi, Mizuho Financial Group และ Fast Retailing ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Uniqlo
อย่างไรก็ตามหลายคนคิดว่าการเข้ามาของการทำงานจากที่บ้าน หรือการทำงานแบบผสมผสานที่เป็นผลมาจากการปรับตัวขององค์กรในยุคโควิด อาจแก้ปัญหาการทำงานหนักมากเกินไปได้ แต่ไม่เลย นักวิจัยพบว่ามีคนกว่า 3.1 ล้านคนในอเมริกาเหนือ ยุโรป และตะวันออกกลาง มีชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยเพิ่มขึ้นอีก 48 นาที จากการทำงานจากที่บ้านหรือการทำงานแบบผสมผสาน
ทั่วโลกต่างมองเห็นปัญหานี้ แต่ไม่มีใครสนใจจะแก้มันอย่างจริงจัง เมื่อองค์กรยังมองพนักงานของพวกเขาเป็นแค่เฟืองตัวหนึ่ง ไม่ได้มองว่าพวกเขาเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตเป็นของตัวเอง มีครอบครัว มีกิจกรรมยามว่างที่อยากทำ ปัญหานี้ก็จะยังคงไม่ถูกแก้เสียที
รู้แบบนี้แล้วยังจะกล้าพูดอีกหรือว่า ‘งานหนักไม่เคยฆ่าคน’ จะต้องรอให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีกสักกี่คนถึงจะเริ่มปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
ที่มา : THE STANDARD WEALTH
https://thestandard.co/overwork-killed-more-than-745000-people-in-a-year/?fbclid=IwAR38NpmLZ_Vv4iOI6hVYn7_Hni--hA-D6GQsDN6O1tY0-iwFF_gDq_woSMQ