เครดิตแหล่งข่าว/เจ้าของบทความโดย
https://www.matichon.co.th/economy/news_4464093#google_vignette
ดีลเลอร์รถรายเล็กยอดขายวูบ 15% หลังค่ายใหญ่หั่นราคาอีวีตีตลาด
เมื่อวันที่ 10 มีนาคม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย โดยธนาคารกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ปี 2567 รายได้ธุรกิจดีลเลอร์รถยนต์มีแนวโน้มลดลง เนื่องจากรายได้หลักจากการขายรถมีโอกาสจะหดตัวค่อนข้างมาก นำโดยยอดขายรถปิกอัพที่ลดลง ตามด้วยรถยนต์นั่งใช้น้ำมันที่ดีลเลอร์อาจต้องเผชิญยอดขายที่ลดลงหลังต้องแข่งขันกับรถยนต์ BEV มากขึ้น
ขณะที่กลุ่มดีลเลอร์ค่ายรถที่มี Market Share ต่ำในตลาดอาจได้รับผลกระทบมากกว่ากลุ่มที่มี Market Share สูง ซึ่งการปรับตัวนอกจากเพิ่มรายได้การซ่อมบำรุงแล้ว คือการหันทำธุรกิจดีลเลอร์รถยนต์ BEV
ศูนย์วิจัยระบุว่า รายได้ธุรกิจดีลเลอร์รถยนต์พึ่งพิงรายได้หลักจากการขายรถยนต์ถึงราว 90% ขณะที่รายได้เสริมจากธุรกิจซ่อมบำรุงอยู่ที่ราว 10% ดังนั้น ทิศทางยอดขายรถยนต์ในประเทศจึงมีผลโดยตรงอย่างมากต่อทิศทางรายได้รวมของธุรกิจดีลเลอร์รถยนต์
และในปี 2567 จากทิศทางยอดขายรถยนต์ในประเทศที่เริ่มบ่งชี้ให้เห็นว่าน่าจะหดตัว ประกอบกับค่ายรถหันใช้กลยุทธ์แข่งขันกันด้านราคาด้วยการปรับสเปกและราคาของรถยนต์ใหม่ลง จึงมีโอกาสที่ดีลเลอร์จะทำรายได้หลักจากการขายรถยนต์ลดลง ซึ่งก็จะทำให้รายได้รวมของธุรกิจดีลเลอร์รถยนต์ในปีนี้อาจหดตัวลงตามไปได้ถึงประมาณ 15%
โดยยอดขายรถยนต์รวมปี 2567 ที่หดตัวลง ซึ่งนำมาสู่รายได้หลักที่ลดลงของดีลเลอร์ดังกล่าว มาจากการที่รถปิกอัพน่าจะขายได้น้อยลงมากต่อเนื่องจากปีที่แล้ว อันจะส่งผลให้สัดส่วนยอดขายรถปิกอัพในปีนี้น่าจะลดเหลือเพียง 31% ของยอดขายรถยนต์รวมในประเทศ ปรับลงต่อเนื่องจากที่เคยมีสัดส่วนสูงถึง 46% ในปี 2565
ศูนย์วิจัยระบุว่า สำหรับปัจจัยลบหลักที่ฉุดรั้งการเติบโตของตลาดรถปิกอัพไทยในปีนี้มาจาก แนวทางการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินที่ระมัดระวังขึ้นมาก หลังต้องเผชิญกับการกำกับดูแลที่เข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะการประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เรื่องหลักการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) ที่เริ่มตั้งแต่ต้นปีนี้ ทำให้การพิจารณาปล่อยสินเชื่อลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงสูงต้องเพิ่มความระมัดระวังขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าหลักของรถปิกอัพที่เป็นกลุ่มเกษตรกร และธุรกิจ SME ที่มีรายได้ไม่แน่นอน
ส่วนรถยนต์นั่ง แม้ยอดขายจะมีโอกาสหดตัวเล็กน้อย จึงไม่มีผลทำให้รายได้หลักจากการขายรถยนต์ของดีลเลอร์ลดลงมากเท่ารถปิกอัพ แต่กลับพบความท้าทายที่ต้องเผชิญเช่นกัน เมื่อดีลเลอร์รถยนต์นั่งใช้น้ำมันอาจทำยอดขายได้น้อยลง เพราะต้องแข่งขันกับรถยนต์ BEV ที่กำลังขยายตัวสูงขึ้นในประเทศ จากสัดส่วนเพียง 4% ของยอดขายรถยนต์นั่งรวมในปี 2565 จนในปี 2567 นี้ คาดว่าจะมาอยู่ที่ระดับ 27% ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวย่อมมีผลโดยตรงทำให้รายได้หลักจากการขายรถยนต์ของดีลเลอร์ที่ขายรถยนต์นั่งใช้น้ำมันลดลงพอสมควร
ดังนั้น จึงอยากฝากหากรัฐบาลไทยควรมีการจูงใจต่างชาติ หากไม่สามารถทำทางตรง ต้องทำทางอ้อม เพื่อให้นักลงทุนต่างชาติซื้อขายสินค้าของคนท้องถิ่น หรือร่วมทุนกับคนไทย ไม่ใช่บังคับเขา ไม่จำเป็นต้องให้สิทธิประโยชน์กับนักธุรกิจต่างชาติตรง ๆ อาจจะให้ในลักษณะอ้อม ๆ ก็ได้
ดีลเลอร์รถรายเล็กยอดขายวูบ 15% หลังค่ายใหญ่หั่นราคาอีวีตีตลาด
https://www.matichon.co.th/economy/news_4464093#google_vignette
ดีลเลอร์รถรายเล็กยอดขายวูบ 15% หลังค่ายใหญ่หั่นราคาอีวีตีตลาด
เมื่อวันที่ 10 มีนาคม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย โดยธนาคารกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ปี 2567 รายได้ธุรกิจดีลเลอร์รถยนต์มีแนวโน้มลดลง เนื่องจากรายได้หลักจากการขายรถมีโอกาสจะหดตัวค่อนข้างมาก นำโดยยอดขายรถปิกอัพที่ลดลง ตามด้วยรถยนต์นั่งใช้น้ำมันที่ดีลเลอร์อาจต้องเผชิญยอดขายที่ลดลงหลังต้องแข่งขันกับรถยนต์ BEV มากขึ้น
ขณะที่กลุ่มดีลเลอร์ค่ายรถที่มี Market Share ต่ำในตลาดอาจได้รับผลกระทบมากกว่ากลุ่มที่มี Market Share สูง ซึ่งการปรับตัวนอกจากเพิ่มรายได้การซ่อมบำรุงแล้ว คือการหันทำธุรกิจดีลเลอร์รถยนต์ BEV
ศูนย์วิจัยระบุว่า รายได้ธุรกิจดีลเลอร์รถยนต์พึ่งพิงรายได้หลักจากการขายรถยนต์ถึงราว 90% ขณะที่รายได้เสริมจากธุรกิจซ่อมบำรุงอยู่ที่ราว 10% ดังนั้น ทิศทางยอดขายรถยนต์ในประเทศจึงมีผลโดยตรงอย่างมากต่อทิศทางรายได้รวมของธุรกิจดีลเลอร์รถยนต์
และในปี 2567 จากทิศทางยอดขายรถยนต์ในประเทศที่เริ่มบ่งชี้ให้เห็นว่าน่าจะหดตัว ประกอบกับค่ายรถหันใช้กลยุทธ์แข่งขันกันด้านราคาด้วยการปรับสเปกและราคาของรถยนต์ใหม่ลง จึงมีโอกาสที่ดีลเลอร์จะทำรายได้หลักจากการขายรถยนต์ลดลง ซึ่งก็จะทำให้รายได้รวมของธุรกิจดีลเลอร์รถยนต์ในปีนี้อาจหดตัวลงตามไปได้ถึงประมาณ 15%
โดยยอดขายรถยนต์รวมปี 2567 ที่หดตัวลง ซึ่งนำมาสู่รายได้หลักที่ลดลงของดีลเลอร์ดังกล่าว มาจากการที่รถปิกอัพน่าจะขายได้น้อยลงมากต่อเนื่องจากปีที่แล้ว อันจะส่งผลให้สัดส่วนยอดขายรถปิกอัพในปีนี้น่าจะลดเหลือเพียง 31% ของยอดขายรถยนต์รวมในประเทศ ปรับลงต่อเนื่องจากที่เคยมีสัดส่วนสูงถึง 46% ในปี 2565
ศูนย์วิจัยระบุว่า สำหรับปัจจัยลบหลักที่ฉุดรั้งการเติบโตของตลาดรถปิกอัพไทยในปีนี้มาจาก แนวทางการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินที่ระมัดระวังขึ้นมาก หลังต้องเผชิญกับการกำกับดูแลที่เข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะการประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เรื่องหลักการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) ที่เริ่มตั้งแต่ต้นปีนี้ ทำให้การพิจารณาปล่อยสินเชื่อลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงสูงต้องเพิ่มความระมัดระวังขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าหลักของรถปิกอัพที่เป็นกลุ่มเกษตรกร และธุรกิจ SME ที่มีรายได้ไม่แน่นอน
ส่วนรถยนต์นั่ง แม้ยอดขายจะมีโอกาสหดตัวเล็กน้อย จึงไม่มีผลทำให้รายได้หลักจากการขายรถยนต์ของดีลเลอร์ลดลงมากเท่ารถปิกอัพ แต่กลับพบความท้าทายที่ต้องเผชิญเช่นกัน เมื่อดีลเลอร์รถยนต์นั่งใช้น้ำมันอาจทำยอดขายได้น้อยลง เพราะต้องแข่งขันกับรถยนต์ BEV ที่กำลังขยายตัวสูงขึ้นในประเทศ จากสัดส่วนเพียง 4% ของยอดขายรถยนต์นั่งรวมในปี 2565 จนในปี 2567 นี้ คาดว่าจะมาอยู่ที่ระดับ 27% ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวย่อมมีผลโดยตรงทำให้รายได้หลักจากการขายรถยนต์ของดีลเลอร์ที่ขายรถยนต์นั่งใช้น้ำมันลดลงพอสมควร
ดังนั้น จึงอยากฝากหากรัฐบาลไทยควรมีการจูงใจต่างชาติ หากไม่สามารถทำทางตรง ต้องทำทางอ้อม เพื่อให้นักลงทุนต่างชาติซื้อขายสินค้าของคนท้องถิ่น หรือร่วมทุนกับคนไทย ไม่ใช่บังคับเขา ไม่จำเป็นต้องให้สิทธิประโยชน์กับนักธุรกิจต่างชาติตรง ๆ อาจจะให้ในลักษณะอ้อม ๆ ก็ได้