เครดิตแหล่งข่าว/เจ้าของบทความโดย
https://www.sanook.com/money/923379/
ติดตามข่าวสารน่าสนใจมากมายได้ที่
https://www.sanook.com
เปิดผลประกอบการ CARS24 แพลตฟอร์มขายรถมือสองในไทย หลังประกาศปิดกิจการทั่วประเทศ
จากกรณีที่บริษัทขายรถมือสองชื่อดังในไทยอย่าง CARS24 ประกาศปิดกิจการทุกสาขาทั่วประเทศ ในวันที่ 25 เม.ย. 67 ส่งผลให้พนักงานหลายชีวิตตกงานทันที ซึ่งทางบริษัท CARS24 ก็มีการจ่ายค่าชดเชยให้กับพนักงาน ส่วนสาเหตุที่บริษัท CAR24 ประกาศยุติธุรกิจเนื่องมาจากราคารถมือสองร่วงลงอย่างหนัก อีกทั้งจำนวนรถถูกยึดเข้าลานประมูลจนล้นลาน ระบายออกได้ยาก จนผู้บริหาร (บริษัทสัญชาติอินเดีย) ประเมินถึงการดำเนินธุรกิจในอนาคตว่าอาจสุ่มเสี่ยงที่จะขาดทุนหนักไป จึงเป็นเหตุให้ต้องตัดสินใจปิดกิจการทันที
สำหรับ ผลประกอบการธุรกิจของบริษัท CARS24 จากการตรวจสอบข้อมูล จากฐานข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ผ่านระบบวิเคราะห์ข้อมูลบริษัทครบวงจรของ Creden Data พบว่า บริษัท CARS24 หรือ บริษัท คาร์ส24 กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 2 เม.ย. 64 พบรายชื่อคณะกรรมการบริษัท เป็นชาวต่างชาติ แจ้งดำเนินธุรกิจการขายยานยนต์เก่าชนิดรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถกระบะ รถตู้ และรถขนาดเล็กที่คล้ายกัน ปัจจุบันทุนจดทะเบียน 920,339,700 บาท โดยมีผลประกอบการย้อนหลังดังนี้
ปี 2565 รายได้ 487,864,098 บาท ขาดทุน 1,300,900 บาท
ปี 2566 รายได้ 1,704,697,783 บาท ขาดทุน 940,048,740 บาท
ปี 2566 มีสินทรัพย์รวม 812,469,865 บาท หนี้สินรวม 180,720,134 บาท
ขณะที่ ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ปี 2567 ตลาดรถยนต์ในไทยยังต้องเผชิญปัจจัยท้าทายด้านเศรษฐกิจและกำลังซื้อ ทำให้กลยุทธ์ลดราคาอาจทำได้เพียงพยุงตลาดให้ติดลบ 3% ปัจจัยมาจากยอดขายโดยรวมหดตัวลงอันเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว รวมถึงการขยายตัวของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) ที่ดึงดูดให้ผู้บริโภคหันไปตามเทรนด์นั้นเมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา
เมื่อเข้าสู่ปี 2567 เริ่มต้นด้วยบรรยากาศ "ตึงเครียด" ของตลาดรถยนต์ ค่ายรถต่างงัดกลยุทธ์ "ลดราคา" กระตุ้นยอดขายและชิงส่วนแบ่งตลาด ดุเดือดเป็นพิเศษสำหรับกลุ่มรถที่ยอดขายหดตัวในปีที่แล้ว และกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า BEV ที่ต้องการขยายฐานลูกค้า แต่ทว่า กลยุทธ์ "ลดราคา" อาจไม่เพียงพอที่จะพลิกชะตาตลาดปีนี้ เพราะต้องเผชิญกับ "อุปสรรค" 2 ประการ
ภาวะเศรษฐกิจ ยังไม่ฟื้นตัว กำลังซื้อของผู้บริโภคอ่อนแอ ประกอบกับปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง ส่งผลกระทบต่อ "กลุ่มรถราคาประหยัด" มากที่สุด
การแข่งขัน ที่เข้มข้นขึ้น ทั้งจำนวนค่ายรถและรุ่นรถที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะค่ายรถจากจีนที่รุกตลาดรถยนต์นั่งอย่างรวดเร็ว นำเสนอรถ BEV ในราคาที่ดึงดูดใจ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่า ปี 2567 ยอดขายรถยนต์ในประเทศไทยน่าจะอยู่ที่ 750,000 คัน หดตัว 3% จากปี 2566 สำหรับ รถยนต์นั่ง มีโอกาสขยายตัวเล็กน้อย 1% จากแรงกระตุ้นของราคาที่ปรับลดลง แต่หากแยกเฉพาะรถยนต์นั่งใช้น้ำมัน คาดว่าจะหดตัว 13% เพราะมีรถยนต์นั่ง BEV ที่ขยายตัว 63% มาชิงส่วนแบ่งตลาด ส่วนรถเพื่อการพาณิชย์ ส่วนใหญ่เป็นรถปิกอัพ คาดว่าจะหดตัว 8% เพราะมีการปรับลดราคาไม่มาก สำหรับปัจจัยอื่นๆ นอกจากราคาแล้ว ผู้บริโภคยังพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ในการตัดสินใจซื้อ เช่น ความน่าเชื่อถือ คุณภาพ หาอะไหล่ทดแทนง่าย และราคาขายต่อที่ดี
ส่องรายได้-กำไร CARS24 แพลตฟอร์มขายรถมือสองในไทย หลังเลิกกิจการ
https://www.sanook.com/money/923379/
ติดตามข่าวสารน่าสนใจมากมายได้ที่
https://www.sanook.com
เปิดผลประกอบการ CARS24 แพลตฟอร์มขายรถมือสองในไทย หลังประกาศปิดกิจการทั่วประเทศ
จากกรณีที่บริษัทขายรถมือสองชื่อดังในไทยอย่าง CARS24 ประกาศปิดกิจการทุกสาขาทั่วประเทศ ในวันที่ 25 เม.ย. 67 ส่งผลให้พนักงานหลายชีวิตตกงานทันที ซึ่งทางบริษัท CARS24 ก็มีการจ่ายค่าชดเชยให้กับพนักงาน ส่วนสาเหตุที่บริษัท CAR24 ประกาศยุติธุรกิจเนื่องมาจากราคารถมือสองร่วงลงอย่างหนัก อีกทั้งจำนวนรถถูกยึดเข้าลานประมูลจนล้นลาน ระบายออกได้ยาก จนผู้บริหาร (บริษัทสัญชาติอินเดีย) ประเมินถึงการดำเนินธุรกิจในอนาคตว่าอาจสุ่มเสี่ยงที่จะขาดทุนหนักไป จึงเป็นเหตุให้ต้องตัดสินใจปิดกิจการทันที
สำหรับ ผลประกอบการธุรกิจของบริษัท CARS24 จากการตรวจสอบข้อมูล จากฐานข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ผ่านระบบวิเคราะห์ข้อมูลบริษัทครบวงจรของ Creden Data พบว่า บริษัท CARS24 หรือ บริษัท คาร์ส24 กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 2 เม.ย. 64 พบรายชื่อคณะกรรมการบริษัท เป็นชาวต่างชาติ แจ้งดำเนินธุรกิจการขายยานยนต์เก่าชนิดรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถกระบะ รถตู้ และรถขนาดเล็กที่คล้ายกัน ปัจจุบันทุนจดทะเบียน 920,339,700 บาท โดยมีผลประกอบการย้อนหลังดังนี้
ปี 2565 รายได้ 487,864,098 บาท ขาดทุน 1,300,900 บาท
ปี 2566 รายได้ 1,704,697,783 บาท ขาดทุน 940,048,740 บาท
ปี 2566 มีสินทรัพย์รวม 812,469,865 บาท หนี้สินรวม 180,720,134 บาท
ขณะที่ ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ปี 2567 ตลาดรถยนต์ในไทยยังต้องเผชิญปัจจัยท้าทายด้านเศรษฐกิจและกำลังซื้อ ทำให้กลยุทธ์ลดราคาอาจทำได้เพียงพยุงตลาดให้ติดลบ 3% ปัจจัยมาจากยอดขายโดยรวมหดตัวลงอันเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว รวมถึงการขยายตัวของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) ที่ดึงดูดให้ผู้บริโภคหันไปตามเทรนด์นั้นเมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา
เมื่อเข้าสู่ปี 2567 เริ่มต้นด้วยบรรยากาศ "ตึงเครียด" ของตลาดรถยนต์ ค่ายรถต่างงัดกลยุทธ์ "ลดราคา" กระตุ้นยอดขายและชิงส่วนแบ่งตลาด ดุเดือดเป็นพิเศษสำหรับกลุ่มรถที่ยอดขายหดตัวในปีที่แล้ว และกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า BEV ที่ต้องการขยายฐานลูกค้า แต่ทว่า กลยุทธ์ "ลดราคา" อาจไม่เพียงพอที่จะพลิกชะตาตลาดปีนี้ เพราะต้องเผชิญกับ "อุปสรรค" 2 ประการ
ภาวะเศรษฐกิจ ยังไม่ฟื้นตัว กำลังซื้อของผู้บริโภคอ่อนแอ ประกอบกับปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง ส่งผลกระทบต่อ "กลุ่มรถราคาประหยัด" มากที่สุด
การแข่งขัน ที่เข้มข้นขึ้น ทั้งจำนวนค่ายรถและรุ่นรถที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะค่ายรถจากจีนที่รุกตลาดรถยนต์นั่งอย่างรวดเร็ว นำเสนอรถ BEV ในราคาที่ดึงดูดใจ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่า ปี 2567 ยอดขายรถยนต์ในประเทศไทยน่าจะอยู่ที่ 750,000 คัน หดตัว 3% จากปี 2566 สำหรับ รถยนต์นั่ง มีโอกาสขยายตัวเล็กน้อย 1% จากแรงกระตุ้นของราคาที่ปรับลดลง แต่หากแยกเฉพาะรถยนต์นั่งใช้น้ำมัน คาดว่าจะหดตัว 13% เพราะมีรถยนต์นั่ง BEV ที่ขยายตัว 63% มาชิงส่วนแบ่งตลาด ส่วนรถเพื่อการพาณิชย์ ส่วนใหญ่เป็นรถปิกอัพ คาดว่าจะหดตัว 8% เพราะมีการปรับลดราคาไม่มาก สำหรับปัจจัยอื่นๆ นอกจากราคาแล้ว ผู้บริโภคยังพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ในการตัดสินใจซื้อ เช่น ความน่าเชื่อถือ คุณภาพ หาอะไหล่ทดแทนง่าย และราคาขายต่อที่ดี