JJNY : 5in1 ชัยธวัชคุยณัฐวุฒิ│ณัฐวุฒิห่วงใยปมขบวนเสด็จฯ│2 สื่อมวลชน เปิดใจ│ตะวันยันไม่ได้นัดพ่นสี│เตือนสงครามคุกคามศก.

ชัยธวัช คุย ณัฐวุฒิ ร่วมดันกม. 2 ฉบับผ่านประชุมรัฐสภา เชื่อประชาชนได้ประโยชน์
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_8094802
 
 
ชัยธวัช เผยคุย ‘ณัฐวุฒิ’ ความเห็นตรงกัน ดันร่างพ.ร.ป. 2 ฉบับ มองเป็นประโยชน์ประชาชน ไร้ประเด็นการเมือง จ่อหารือฝ่ายค้านเคาะวันสัญจร
 
เมื่อวันที่ 13 ก.พ. 2567 ที่รัฐสภา นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า ตนได้พูดคุยกับ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย เพื่อผลักดัน ร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ของนายชูศักดิ์ ศิรินิล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็นผู้เสนอ
 
นายชัยธวัช กล่าวว่า เราจะร่วมกันผลักดัน เพื่อให้ร่างทั้งสอง ผ่านสภาไปให้ได้ ในการประชุมร่วมรัฐสภาในวันที่ 16 ก.พ. นี้ และเนื้อหาที่เสนอมาก็ตรงกันกับร่างของพรรคก้าวไกล โดยหลักการคือ การแก้กฎหมายเพื่อให้ ผู้เสียหายสามารถฟ้องร้องคดีได้เอง ซึ่งเหมือนหลักการของศาลยุติธรรม ในกรณีอัยการสั่งไม่ฟ้อง ประชาชนสามารถฟ้องโดยตรงต่อศาลได้
 
ส่วนที่ สว. ห่วงว่าจะทำให้เกิดความขัดแย้ง และเรื่องจะไปจบที่ศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงอาจไม่สามารถเข้าสู่การประชุมร่วมรัฐสภาได้นั้น นายชัยธวัช ระบุว่า ต้องลองดู ซึ่งพูดคุยกันว่าจะทำอย่างไรที่จะรวบรวมเสียงสนับสนุนร่างกฎหมาย หลักการเป็นประโยชน์ต่อประชาชน ไม่ได้เป็นเรื่องของการเมือง ไม่ใช่เฉพาะคดีของปี 53 เพียงอย่างเดียว
 
หากร่างกฎหมายของพรรคก้าวไกล สามารถเสนอกับประธานวุฒิสภาได้ทันวันนี้ จะเป็นร่างประกบเพิ่มเติมเนื้อหาบางประเด็นที่อาจตกหล่นไป แต่โดยรวม เราเห็นว่าเป็นประโยชน์ ทำให้ประชาชน ตรวจสอบผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี เป็นการเพิ่มอำนาจให้กับประชาชน
 
เมื่อถามว่าการพูดคุยมีการหยิบยกประเด็นสถานการณ์ปัจจุบันมาพูดคุยกันหรือไม่ นายชัยธวัชกล่าวว่า คุยกันเกือบชั่วโมง เรารู้เนื้อหาอยู่แล้ว ไม่ได้คุยกันเยอะ แค่คุยกันว่ามีประเด็นอะไรที่พรรคก้าวไกลจะเสนอเพิ่มเติมเข้าไปประกบด้วย และความเป็นไปได้ที่จะช่วยกันสนับสนุนให้ร่างผ่าน
 
เมื่อถามว่าเนื้อหาของฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน เนื้อหาตรงกันการพิจารณาจะเป็นไปได้ด้วยดีหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า ต้องดูเป็นส่วนๆ และดูเป็นรายพรรค ไม่ได้เป็นมติฝ่ายค้านหรือมติรัฐบาล และหวังว่าหากเสียงของรัฐบาลเป็นเอกภาพ และได้เสียงฝ่ายค้านไปบางส่วน โดยเฉพาะฝั่งก้าวไกล ก็จะทำให้ร่างผ่านไปได้ ยืนยันว่า อันไหนเป็นสิ่งที่รัฐบาลเสนอ เป็นผลประโยชน์ประชาชน เราก็พร้อมสนับสนุน
 
ส่วนที่พรรครัฐบาลนัดดินเนอร์ สส. 314 คน เพื่อความเป็นเอกภาพ ทางฝ่ายค้านจะนัดหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่มีหมาย เพราะ สส.ยุ่งมากโดยเฉพาะอยู่ในช่วงพิจารณา ร่างพ.ร.บ.งบประมาณประจำปีรายจ่ายงบประมาณ 2567 คงไม่ใช่ในช่วงนี้ อาจจะหลังปิดสมัยประชุม ส่วนเรื่องฝ่ายค้านสัญจร จะหารือกันในวันที่ 15 ก.พ.นี้ ส่วนจะไปจังหวัดไหนยังไม่มีข้อสรุป
 


ณัฐวุฒิ ห่วงใยปมขบวนเสด็จฯ วอนทุกฝ่ายอย่าใช้ความรุนแรง เห็นด้วย สส.ยื่นญัตติด่วนถกในสภาฯ
https://www.khaosod.co.th/politics/news_8094363

ณัฐวุฒิ ห่วงใยปมขบวนเสด็จฯ วอนทุกฝ่ายอย่าใช้ความรุนแรง เห็นด้วย สส.จ่อยื่นญัตติด่วนถกในสภาฯ แนะตร.แจงข้อเท็จจริงเพิ่มปมจับนักข่าวประชาไท
 
เมื่อเวลา 10.55 น. วันที่ 13 ก.พ. ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ฐานะตัวแทนภาคประชาชน กล่าวกรณีกลุ่มทะลุวังป่วนขบวนเสด็จฯ จนนำมาสู่การใช้ความรุนแรงว่า

ข้อเท็จจริงของสังคมวันนี้ คือมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันในหลายประเด็น ทั้งมิติการเมืองเศรษฐกิจ สังคม โดยเฉพาะทางการเมืองที่มีความเห็นที่แตกต่าง มีการต่อสู้กันทางความคิดมายาวนานในสังคมไทย เพียงแต่ประเด็นคือรูปแบบวิธีการแสดงออกจำเป็นที่จะต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย ข้อเท็จจริง เหตุผลและวุฒิภาวะ ในทัศนะส่วนตัวเห็นว่ากรณีที่เกิดขึ้นกับขบวนเสด็จฯ นั้นเป็นเรื่องที่น่าห่วงใยอย่างยิ่ง จะบอกว่าเห็นด้วยคงพูดไม่ได้ แต่หวังว่าผู้ที่เคลื่อนไหวต่อสู้ต่างๆ ต้องใช้วุฒิภาวะศึกษาเรียนรู้ เก็บประสบการณ์ เพื่อที่จะทำให้รูปแบบและวิธีการของแต่ละคนของแต่ละกลุ่มไม่เป็นเงื่อนไข ที่จะทำให้สถานการณ์อันไม่พึงประสงค์ลุกลามบานปลายออกไป
 
การใช้ความรุนแรง การใช้กำลังของทุกฝ่ายเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ และต้องเรียกร้องให้ทุกฝ่ายตั้งสติ ใช้เหตุผล อย่าใช้อารมณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้กำลังในการแสดงออกหรือเอาชนะกันทางการเมือง เพราะสถานการณ์ดังกล่าวไม่นำผลบวกมาสู่บุคคล องค์กรหรือสถาบันใดๆ มีแต่จะทำให้สถานการณ์ตึงเครียดหรือเลวร้ายลง
 
ผมอยากให้ทุกอย่างเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ เป็นเรื่องของกฎหมายบ้านเมืองและเป็นเรื่องของวุฒิภาวะของผู้คนในสังคม ที่จะวิเคราะห์ แยกแยะและทำความเข้าใจกับความคิดเห็นที่แตกต่างในการอยู่ร่วมกันได้ ทราบว่าจะมี สส.ยื่นญัตติด่วนเรื่องดังกล่าวนี้เข้าสู่ที่ประชุมสภาฯ ในวันที่ 14 ก.พ.นี้ ซึ่งก็เป็นสถาบันหลักแห่งหนึ่งที่ต้องมีการอภิปราย ขบคิดหาวิธีการระวังป้องกัน หรือแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น” นายณัฐวุฒิ กล่าว
 
เมื่อถามว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวได้หรือไม่ เนื่องจากสังคมส่วนใหญ่รับไม่ได้กับเรื่องที่เกิดขึ้น นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า อย่าให้เป็นถึงขนาดนั้นเพราะประวัติศาสตร์ของประเทศไทย เราบอบช้ำสูญเสียกับความขัดแย้งทางการเมืองมามากแล้ว แม้กรณีที่เกิดขึ้นจะนำความไม่พอใจมาสู่หลายคนหลายฝ่าย แต่เท่าที่ทราบมีการแสดงออกอย่างสันติวิธีหลากหลายรูปแบบ ซึ่งตนมองว่ายอมรับได้ สิ่งที่จะป้องกันระวังยับยั้งยังไม่ให้เกิดขึ้น คือการใช้ความรุนแรง ตราบใดที่ความคิดเห็นแตกต่างยังสามารถอยู่ร่วมกันในสังคม โดยไม่มีการประทุษร้ายต่อกัน ตนมองว่าอย่างมีความหวังสำหรับการเดินไปข้างหน้าของประชาธิปไตยแม้ว่าจะยากเย็นและยาวนานก็ตาม
 
เมื่อถามถึงกรณีตำรวจ สน.พระราชวัง จับกุมตัวผู้สื่อข่าวภาคสนามสำนักข่าวประชาไทและช่างภาพอิสระในข้อกล่าวหาว่า “เป็นผู้สนับสนุนทำให้โบราณสถานเสียหายจากการขีดเขียนข้อความ” นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ตอนนี้ไม่แน่ใจในรายละเอียดของกรณีดังกล่าว แต่หลักการและจุดยืนทุกสังคมเสรีภาพของสื่อมวลชนต้องได้รับการคุ้มครองโดยรัฐและกลไกของบ้านเมือง ตราบใดก็ตามที่สื่อมวลชนปฏิบัติหน้าที่ พวกเขาไม่ได้ถึงมีอภิสิทธิ์แต่มีสิทธิและเสรีภาพโดยชอบ ที่จะนำเสนอรายงานข้อเท็จจริง
 
แต่กรณีการควบคุมตัวสื่อมวลชนที่เกิดขึ้น เรายังมีข้อมูลน้อยมากจากฝ่ายเจ้าหน้าที่ว่าข้อเท็จจริงคืออะไร เหตุผลที่ไปที่มาของการจับกลุ่มในคราวนี้เป็นอย่างไร หวังใจว่าเพื่อให้สังคมคลายความกังวล และลดอุณหภูมิความร้อนแรงของสถานการณ์ในขณะนี้ เจ้าหน้าที่น่าจะมีคำอธิบายเพิ่มเติมว่ากรณีดังกล่าวเกิดขึ้นจากอะไร ข้อหาคืออะไร กระบวนการขั้นตอนดำเนินการถูกต้องชอบด้วยหลักนิติธรรมหรือไม่ คิดว่าในเร็วๆ นี้ควรจะมีคำอธิบายออกมา
 


2 สื่อมวลชน เปิดใจหลังได้ประกัน ยืนยันไปทำข่าว ไม่ได้สนับสนุน ลั่น ยังคงทำงานเหมือนเดิม
https://www.matichon.co.th/politics/news_4423096

2 สื่อมวลชน เปิดใจหลังได้ประกัน ยืนยันไปทำข่าว ไม่ได้สนับสนุน ลั่น ยังคงทำงานเหมือนเดิม
 
เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ภายหลังพนักงานสอบสวน สน.พระราชวัง ยื่นคำร้องฝากขัง นายณัฐพล เมฆโสภณ ผู้สื่อข่าวประชาไท และ นายณัฐพล พันธ์พงษ์สานนท์ นักข่าวและช่างภาพอิสระ สเปซ บาร์ ถูกจับกุมตามหมายจับของศาลอาญา ลงวันที่ 22 พ.ค.2566 โดยตำรวจจาก สน.พระราชวัง ในคดีตาม พ.ร.บ.โบราณสถาน ต่อมาศาลอาญาให้ประกันตัวทั้ง 2 คน วางเงินคนละ 35,000 บาท ไม่มีเงื่อนไขอื่น

ทั้งนี้ ภายหลังจากประกัน ทั้ง 2 คน ได้ใส่เสื้อ Journalism is not a crime พร้อมให้สัมภาษณ์สื่อ
 
นายณัฐพล พันธ์พงษ์สานนท์ กล่าวว่า ตอนนั้นเป็นช่วงกิจกรรมยืนหยุดขัง หน้าศาลฎีกา จำไม่ได้ว่าเป็นวันก่อนมีเหตุหรือไม่ ตนไปถ่ายยืนหยุดขังที่ศาลฎีกาอยู่แล้ว ก็มีการพูดคุยกันปกติ การคุยกับแหล่งข่าวเป็นเรื่องปกติ ได้รู้ก่อนทำกิจกรรม 10 นาที ตนมั่นใจว่าไปรายงานสถานการณ์ สังเกตการณ์ ไม่ได้ไปขัดขวางการทำงานเจ้าหน้าที่ เราวางตัวหน้างานว่าทำงาน แค่นั้นก็น่าจะชัดเจนว่าเรามาทำงานจริง
 
ขณะที่นายณัฐพล เมฆโสภณ กล่าวว่า ยืนยันว่าไปทำข่าว ไม่ได้มีส่วนร่วมกับกิจกรรม เหมือนการแจ้งหมายให้ไปทำข่าว เรามีหมายก็เลือกว่าทำ หรือไม่ทำก็ได้ ยืนยันว่าตนไปทำข่าว ไม่ได้ไปส่งเสริม หรือสนับสนุนใดๆ
 
ทั้งนี้ ระบุด้วยว่า ก็คงทำงานเหมือนเดิม ไม่ได้มีปัญหาอะไร คนที่อยู่หน้างาน ก็ได้เจอตนในที่ชุมนุม


 
ตะวัน ยันไม่ได้นัดพ่นสี ชี้ไม่แปลก นักข่าวคุยด้วยตามหน้าที่ เพราะตอนนั้นมี ‘ยืน-หยุด-ขัง’
https://www.matichon.co.th/local/crime/news_4423247

ตะวัน ชี้อย่าเป็นเหยื่อไอโอ ปมตำรวจแจงนักข่าว-ช่างภาพ ร่วมวางแผนพ่นสีกำแพงวัง ยันนักข่าวจะพูดคุยกับนักกิจกรรมก่อนวันเกิดเหตุไม่แปลก เพราะช่วงนั้นมี ‘ยืน-หยุด-ขัง’
 
เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง เปิดเผยหลังตำรวจเปิดหลักฐานสาเหตุแจ้งจับนักข่าวร่วมสนับสนุนการทำลายโบราณสถาน เพราะมีการวางแผนและดูสถานที่วันก่อนเกิดเหตุนั้น ยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะมีภาพนักกิจกรรมพูดคุยกับนักข่าวในวันดังกล่าว เพราะช่วงนั้นมีกิจกรรม “ยืน-หยุด-ขัง” มีนักข่าวและช่างภาพมาทำข่าวกิจกรรมตามปกติ พร้อมบอกว่าอย่าตกเป็นเหยื่อไอโอที่พยายามจะบอกว่าเป็นการพูดคุยวางแผนกัน
 
อย่างไรก็ตาม เมื่อถามต่อว่า น.ส.ทานตะวัน ยืนยันใช่หรือไม่ ว่าภาพที่นักข่าวและนักกิจกรรมมีการพูดคุยกันวันก่อนเกิดเหตุ ไม่ใช่การวางแผนนัดแนะ
 
น.ส.ทานตะวัน กล่าวว่า ตนเองไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ จึงไม่ทราบว่ามีการพูดคุยอะไรกัน แต่ก็มองว่าการที่มีเพียงภาพวงจรปิดว่ามีการยืนพูดคุยกัน ไม่น่าจะเป็นหลักฐานว่าเป็นการนัดแนะวางแผนก่อเหตุได้ เพราะดูแค่จากภาพ ตำรวจก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นการพูดคุยอะไรกัน ในช่วงที่จัดกิจกรรม ยืน หยุด ขัง ซึ่งผู้สื่อข่าว และนักกิจกรรมไปทำตามหน้าที่ตนเองตามปกติ ไม่มีเบื้องหลัง ไม่มีการนัดแนะสนับสนุนใดๆทั้งสิ้น ส่วนหลักฐานที่ที่ตำรวจได้แสดงมายืนยัน

ส่วนกรณีเรื่องที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เตรียมแจ้งข้อหาน.ส.ตะวัน ตามมาตรา 116 นั้น น.ส. ทานตะวัน มองว่าไม่มีส่วนใดเข้าองค์ประกอบ โดยในวันนั้นเป็นการถามในสิ่งที่ตนสงสัย จึงอยากให้เจ้าหน้าที่ตอบว่า การกระทำวันดั่งกล่าว เข้าข่ายความผิดมาตรา 116 อย่างไร ตนยืนยันไม่หลบหนีและจะรอให้เจ้าหน้าที่มาคุมตัว
 
นอกจากนี้ น.ส.ตะวัน ยืนยันว่าในวันเกิดเหตุ ตนจะมุ่งหน้าไปอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ซึ่งมีขบวนเสด็จ โดยวันดั่งกล่าวตนไม่ทราบว่าเป็นขบวนของใคร ตนไม่ได้ขัดขวางขบวน แต่เป็นการตั้งคำถามกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและยอมรับผิดว่า มีการขับรถหวาดเสียวเท่านั้น
 
ส่วนเส้นทางการเงิน ตนยืนยันได้ว่าไม่มีใครอยู่เบื้องหลัง และพร้อมให้ตรวจสอบ
 
กรณีที่เมื่อวานนี้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ให้สัมภาษณ์ว่า น่าจะมีบุคคลให้คำแนะนำในการกระทำและเคลื่อนไหว นางสาวตะวันตอบว่า อย่าเพ้อเจ้อ เพราะที่ตนออกมาแสดงออกเป็นการทำเพื่ออุดมการณ์อย่างแท้จริง ส่วนการตั้งคำถามในทุกกิจกรรม ที่ผ่านมาไม่เคยมีผู้ใหญ่คนไหนมาตอบคำถาม มีแต่ออกหมายจับและนำตัวเข้าคุก
 
โดย น.ส.ตะวัน ทิ้งท้ายว่า หากผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองรับฟังข้อเรียกร้องและคำถามของตน ก็พร้อมพร้อมยินดีที่จะหันหน้าเข้ามาคุยกันโดยสันติ พร้อมที่จะยกมือไหว้และแก้ปัญหาเพื่อประโยชน์ของประชาชน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่