ก้าวไกล ซัดรัฐบาล ทำงานเช้าชามเย็นชาม ไม่ชงร่างกม.ประมง แถมอุ้มร่างกม.ของพรรคอื่นๆ ไปอีก 15 วัน
https://www.matichon.co.th/politics/news_4414786
ก้าวไกล ซัดรัฐบาล ทำงานเช้าชามเย็นชาม ไม่ชงร่าง กม.ประมง แถมอุ้มร่าง กม.ของพรรคอื่นๆ ไปอีก 15 วัน
เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ เพจ “
พรรคก้าวไกล – Move Forward Party” โพสต์ข้อความระบุว่า อุ้มอีกแล้ว! ครม. ทำงานไม่รอบคอบ ไม่เสนอกฎหมายของตัวเองทั้งที่รู้ล่วงหน้า แถมขออุ้มร่างกฎหมายประมงของทุกพรรคไปอีก 15 วัน ทำงานแบบนี้ ควรเลิกเรียกตัวเองเป็นรัฐบาลมืออาชีพ เพราะเป็นได้แค่ “รัฐบาลเช้าชามเย็นชาม” หรือไม่?
โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันนี้ (7 ก.พ.) เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 หลังจาก ส.ส. ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านอภิปรายตลอดวัน เข้าสู่ช่วงการลงมติ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม จึงแจ้งว่าคณะรัฐมนตรีขอรับร่างกฎหมายทั้ง 7 ฉบับไปพิจารณาไม่เกิน 60 วัน ก่อนให้สภาลงมติวาระที่ 1
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล จึงลุกขึ้นประท้วงว่า กฎหมายประมงฉบับนี้ สภา ชุดที่แล้วมีการตั้งคณะกรรมการวิสามัญ มีรายงานออกมาชัดเจนแล้ว สมัยนี้ก็มีการตั้ง กมธ.วิสามัญอีก 7 ร่างที่เสนอผ่านพรรคการเมืองทุกพรรค มีความปรารถนาดีต่อพี่น้องชาวประมง มีหลักการสำคัญตรงกัน ดังนั้นต้องถามว่าเกิดอะไรขึ้น รัฐมนตรีไม่ได้ชี้แจงเลย
“ที่สำคัญที่สุด มีชาวประมงกี่คนที่ต้องสิ้นเนื้อประดาตัว ครอบครัวชาวประมงอีกกี่แสนกี่ล้านชีวิตที่เขารอกฎหมายฉบับนี้ เพราะความเกียจคร้านของรัฐบาลหรือ ที่เขาต้องรออีก 60 วัน ท่านจะตอบแทนชีวิตของชาวประมงที่ล่วงลับไปแล้วและชีวิตของชาวประมงที่รอกฎหมายฉบับนี้อย่างไร ขอคัดค้านไม่ให้รัฐบาลอุ้มร่างนี้ ถ้ารัฐบาลจะอุ้ม ต้องตอบชาวประมงให้ได้” นายวิโรจน์กล่าว
ด้านนายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า ตกลงว่าอำนาจนิติบัญญัติหรือการออกกฎหมายเป็นของคณะรัฐมนตรีฝ่ายเดียวอย่างนั้นหรือ ส.ส. เสนอมากี่ร่างถ้าไม่มีร่างของ ครม. แปลว่าสุกเอาเผากินหรือ
การเริ่มคุยเรื่อง พ.ร.ก.ประมงฯ ไม่ได้เริ่มคุยวันนี้ แต่คุยตั้งแต่ 2 สัปดาห์ก่อน รัฐบาลรับรู้ว่าวันนี้ ร่างกฎหมายประมงทุกร่างของ ส.ส. จะเข้ามา และรัฐบาลก็มีร่างอยู่แล้ว แต่ปรากฏว่าเพิ่งส่งให้กฤษฎีกาไปเมื่อ 4-5 วันก่อน จึงต้องตั้งคำถามว่าทำงานกันแบบไหน นี่คือการทำงานของคณะรัฐมนตรีที่ไม่ละเอียดรอบคอบ
“เจตนาของคณะรัฐมนตรีตอนนี้ คือรอให้สภาพิจารณากฎหมาย แล้วก็มาขออุ้มไป 60 วัน ร่างไหนเข้าสภาเมื่อไหร่ค่อยเริ่มทำงาน เลิกเรียกตัวเองว่าเป็นรัฐบาลมืออาชีพ แบบนี้เป็นได้แค่รัฐบาลเช้าชามเย็นชาม งานมาถึงมือเมื่อไหร่ค่อยทำ ระเบียบวาระระบุมา 3-4 เดือน ไม่เคยเอาไปศึกษา ขอร้องให้คณะรัฐมนตรีตั้งใจทำงานมากกว่านี้ ให้เกียรติอำนาจนิติบัญญัติที่เป็นอำนาจระนาบเดียวกับท่าน ให้เกียรติประชาชนที่เลือกท่านมาใช้อำนาจให้มากกว่านี้” นายปกรณ์วุฒิกล่าว
ในที่สุด ที่ประชุมมีมติอนุมัติให้ ครม. รับร่างไปพิจารณาเป็นเวลา 15 วัน ก่อนนำกลับเข้าสภา เพื่อลงมติวาระที่ 1 ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2567
https://www.facebook.com/MoveForwardPartyThailand/posts/962974058725280?ref=embed_post
สมชัย ยุเดินหน้า ดิจิทัล วอลเล็ต ยกความเห็น ป.ป.ช. แค่ข้อเสนอแนะ ไม่ต้องปฏิบัติตาม
https://www.matichon.co.th/politics/news_4414935
“สมชัย” ยุส่ง เดินหน้า “ดิจิทัล วอลเล็ต” ได้เลย ยกความเห็น ป.ป.ช. แค่เพียงข้อเสนอแนะ ไม่ต้องปฏิบัติตาม
เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ นาย
สมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต. กล่าวถึงข้อเสนอของคณะกรรมการ ป.ป.ช. กับโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ว่า ป.ป.ช.ไม่ได้ทำเกินหน้าที่ เพราะ พ.ร.ป. ว่าด้วยคณะกรรมการ ป.ป.ช. มาตรา 32 เขียนไว้ว่า ป.ป.ช. มีหน้าที่และอำนาจเสนอ มาตรการ ความเห็นและข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อป้องกันหรือปราบปรามการทุจริต แม้โครงการยังไม่เกิด ก็เสนอเพื่อป้องกันได้ และเห็นว่าข้อเสนอที่ให้ กกต. ไปดูนโยบายในการหาเสียงของพรรคเพื่อไทย ว่า มีการปฏิบัติต่างจากการหาเสียงหรือไม่นั้น ไม่เป็นการก้าวก่ายหน้าที่ กกต. เพราะมาตรา 221 ของรัฐธรรมนูญ กำหนดให้องค์กรอิสระร่วมมือและช่วยเหลือกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการปฏิบัติหน้าที่
ทั้งนี้ ครม.ไม่ต้องปฏิบัติตามข้อเสนอของ ป.ป.ช. ก็ได้ เพราะข้อเสนอของ ป.ป.ช. เป็นเพียงการให้ข้อคิดเห็น รัฐบาลไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตาม หากรัฐบาลเห็นว่า เป็นสถานการณ์จำเป็นเร่งด่วน ก็ออกเป็นพระราชกำหนด แต่หากอยากให้รัฐสภามีส่วนรับผิดชอบ ก็ออกเป็นพระราชบัญญัติ ครม. จะกล้าลงมติส่งร่าง พ.ร.บ. กู้เงิน 500,000 ล้านบาท เข้าสภาหรือไม่ และจะมีผลอย่างไรตามมา อยากรู้ก็ทำเลย
เปิด 5 จุดสลบข้าวไทย ปี 67 คาดส่งออกลด-ข้าวเปลือกราคาตก-ถูกญวนแซง
https://www.dailynews.co.th/news/3154257/
สมาคมผู้ส่งออกข้าว เปิด 5 จุดสลบข้าวไทย ปี 67 คาดส่งออกลด ราคาข้าวเปลือกตก ชี้ไทยต้นทุนผลิตสูง ขาดการพัฒนา แข่งขันยาก แถมอัตราแลกเปลี่ยนผันผวน ห่วงโดนเวียดนามแซงหน้า
นาย
ชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์ข้าวไทยในปี 67 คาดว่าจะเผชิญปัญหามากกว่าปีที่แล้ว หลังจากปีที่ผ่านมาทำได้ดีกว่าที่คาดไว้ ดังนั้นหน่วยงานภาครัฐจึงห้ามวางใจ และควรหาทางรับมือ โดยในปี 67 สมาคมประเมินว่าไทยจะส่งออกที่ 7.5 ล้านตัน ลดลงกว่า 1 ล้านตัน จากปีก่อนที่ 8.76 ล้านตัน และมูลค่าจากลดลงจากปีก่อน 1.78 แสนล้านบาท เหลือ 1.5 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ ในปี 67 มีปัจจัยที่กระทบต่อข้าวไทยอยู่ 5 เรื่องสำคัญ และอยากให้รัฐเข้ามาดูแลได้แก่ 1.ความผันผวนอัตราแลกเปลี่ยน ต้องมีเสถียรภาพ เพราะมีผลต่อการกำหนดราคาขาย 2.การเพิ่มขีดความสามารถแข่งขันของไทย ที่ขณะนี้ไทยเป็นรองทั้งปริมาณผลผลิต สามารถผลิตได้เพียงไร่ละ 450 กิโลกรัม ตามหลังเวียดนามที่มีผลผลิตได้มากกว่าไร่ละ 900 กิโลกรัม และยังขาดสายพันธุ์ใหม่ๆ เข้ามาแข่งขันในตลาด เช่น ข้าวพื้นนุ่ม
3.นโยบายแข่งขันด้านราคา ซึ่งไทยมีราคาและต้นทุนสูงกว่าคู่แข่งไม่ว่าจะเป็นอินเดีย เวียดนาม หรือแม้แต่ปากีสถาน ตลอดจนต้องดูแลเรื่องค่าขนส่ง จากค่าระวางเรือที่กำลังปรับเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว 4.นโยบายการกลับมาส่งออกข้าวของประเทศอินเดีย ซึ่งคาดว่าในปีนี้จะมีการผ่อนคลาย กลับมาส่งออกได้อีกครั้ง และ 5.ผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ที่จะกระทบต่อการผลิตเข้าไทยให้ลดน้อยลง
“
ในปี 67 การส่งออกข้าวไทยมีโอกาส ที่จะถูกเวียดนามแซงหน้าได้ เพราะเริ่มเห็นตัวเลขการส่งออกข้าว เวียดนาม เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากปกติการส่งออกจะเฉลี่ยเพียง 6 ล้านตันต่อปี แต่มาปี 66 เวียดนามส่งออกได้ถึง 8.1 ล้านตัน และต้นปี 67 ก็เริ่มเห็นสัญญาณไม่ดี โดยการเปิดประมูลนำเข้าข้าวของอินโดนีเซีย เมื่อปลายเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา ปริมาณ 5 แสนนั้น เวียดนาม ชนะประมูลไปกว่า 4 แสนตัน ที่เหลือเป็นของปากีสถาน และเมียนมา โดยที่ไทย ไม่สามารถประมูลได้เลย เนื่องจากราคาข้าวสูงกว่าคู่แข่งถึง 40 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะเดียวกันภาครัฐควรปรับแนวมางการทำตลาดข้าวเพราะการเจรจาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ สมัยนี้เกิดได้ยากมากขึ้น เพราะแต่ละประเทศปรับเปลี่ยนการซื้อข้าว โดยใช้เอกชน เป็นผู้นำเข้าแทน“
ร้อยตำรวจโท
เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า แนวโน้มราคาข้าวเปลือกในปีนี้ คาดว่าจะลดลงจากปีก่อนแน่ ซึ่งเป็นไปตามสถานการณ์การส่งออกโดย ปี 66 ที่ผ่านมา เคยเห็นข้าวเปลือกขาวขึ้นไปถึงตันละ 12,000 บาท แต่ปีนี้ไม่น่าจะถึงขนาดนั้น แต่เชื่อว่าจะทรงตัวไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท ซึ่งถือเป็นราคาที่ชาวนารับได้ เพราะเทียบกับต้นทุนการผลิตจะอยู่แค่ 4-5 พันบาทต่อตัน
”
สถานการณ์ราคาข้าวไทย จะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทั้งการผลิต การส่งออก ไตรมาสแรกปีนี้ยังน่าจะดีอยู่มียอดเฉลี่ย 800,000 ตันต่อเดือน เนื่องจากมีออเดอร์ค้างส่งมาจากปีก่อน แต่ห่วงว่าตั้งแต่ไตรมาสสองยังไม่รู้จะเป็นอย่างไร หลังจากไทยไม่สามารถประมูลขายข้าวให้อินโดนีเซียได้เลย“
JJNY : ก้าวไกลซัดรบ. ไม่ชงร่างกม.ประมง│สมชัยยุเดินหน้า ดิจิทัลวอลเล็ต│เปิด 5 จุดสลบข้าวไทย│ราคาโกโก้โลกพุ่ง ผลจากเอลนีโญ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4414786
ก้าวไกล ซัดรัฐบาล ทำงานเช้าชามเย็นชาม ไม่ชงร่าง กม.ประมง แถมอุ้มร่าง กม.ของพรรคอื่นๆ ไปอีก 15 วัน
เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ เพจ “พรรคก้าวไกล – Move Forward Party” โพสต์ข้อความระบุว่า อุ้มอีกแล้ว! ครม. ทำงานไม่รอบคอบ ไม่เสนอกฎหมายของตัวเองทั้งที่รู้ล่วงหน้า แถมขออุ้มร่างกฎหมายประมงของทุกพรรคไปอีก 15 วัน ทำงานแบบนี้ ควรเลิกเรียกตัวเองเป็นรัฐบาลมืออาชีพ เพราะเป็นได้แค่ “รัฐบาลเช้าชามเย็นชาม” หรือไม่?
โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันนี้ (7 ก.พ.) เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 หลังจาก ส.ส. ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านอภิปรายตลอดวัน เข้าสู่ช่วงการลงมติ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม จึงแจ้งว่าคณะรัฐมนตรีขอรับร่างกฎหมายทั้ง 7 ฉบับไปพิจารณาไม่เกิน 60 วัน ก่อนให้สภาลงมติวาระที่ 1
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล จึงลุกขึ้นประท้วงว่า กฎหมายประมงฉบับนี้ สภา ชุดที่แล้วมีการตั้งคณะกรรมการวิสามัญ มีรายงานออกมาชัดเจนแล้ว สมัยนี้ก็มีการตั้ง กมธ.วิสามัญอีก 7 ร่างที่เสนอผ่านพรรคการเมืองทุกพรรค มีความปรารถนาดีต่อพี่น้องชาวประมง มีหลักการสำคัญตรงกัน ดังนั้นต้องถามว่าเกิดอะไรขึ้น รัฐมนตรีไม่ได้ชี้แจงเลย
“ที่สำคัญที่สุด มีชาวประมงกี่คนที่ต้องสิ้นเนื้อประดาตัว ครอบครัวชาวประมงอีกกี่แสนกี่ล้านชีวิตที่เขารอกฎหมายฉบับนี้ เพราะความเกียจคร้านของรัฐบาลหรือ ที่เขาต้องรออีก 60 วัน ท่านจะตอบแทนชีวิตของชาวประมงที่ล่วงลับไปแล้วและชีวิตของชาวประมงที่รอกฎหมายฉบับนี้อย่างไร ขอคัดค้านไม่ให้รัฐบาลอุ้มร่างนี้ ถ้ารัฐบาลจะอุ้ม ต้องตอบชาวประมงให้ได้” นายวิโรจน์กล่าว
ด้านนายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า ตกลงว่าอำนาจนิติบัญญัติหรือการออกกฎหมายเป็นของคณะรัฐมนตรีฝ่ายเดียวอย่างนั้นหรือ ส.ส. เสนอมากี่ร่างถ้าไม่มีร่างของ ครม. แปลว่าสุกเอาเผากินหรือ
การเริ่มคุยเรื่อง พ.ร.ก.ประมงฯ ไม่ได้เริ่มคุยวันนี้ แต่คุยตั้งแต่ 2 สัปดาห์ก่อน รัฐบาลรับรู้ว่าวันนี้ ร่างกฎหมายประมงทุกร่างของ ส.ส. จะเข้ามา และรัฐบาลก็มีร่างอยู่แล้ว แต่ปรากฏว่าเพิ่งส่งให้กฤษฎีกาไปเมื่อ 4-5 วันก่อน จึงต้องตั้งคำถามว่าทำงานกันแบบไหน นี่คือการทำงานของคณะรัฐมนตรีที่ไม่ละเอียดรอบคอบ
“เจตนาของคณะรัฐมนตรีตอนนี้ คือรอให้สภาพิจารณากฎหมาย แล้วก็มาขออุ้มไป 60 วัน ร่างไหนเข้าสภาเมื่อไหร่ค่อยเริ่มทำงาน เลิกเรียกตัวเองว่าเป็นรัฐบาลมืออาชีพ แบบนี้เป็นได้แค่รัฐบาลเช้าชามเย็นชาม งานมาถึงมือเมื่อไหร่ค่อยทำ ระเบียบวาระระบุมา 3-4 เดือน ไม่เคยเอาไปศึกษา ขอร้องให้คณะรัฐมนตรีตั้งใจทำงานมากกว่านี้ ให้เกียรติอำนาจนิติบัญญัติที่เป็นอำนาจระนาบเดียวกับท่าน ให้เกียรติประชาชนที่เลือกท่านมาใช้อำนาจให้มากกว่านี้” นายปกรณ์วุฒิกล่าว
ในที่สุด ที่ประชุมมีมติอนุมัติให้ ครม. รับร่างไปพิจารณาเป็นเวลา 15 วัน ก่อนนำกลับเข้าสภา เพื่อลงมติวาระที่ 1 ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2567
https://www.facebook.com/MoveForwardPartyThailand/posts/962974058725280?ref=embed_post
สมชัย ยุเดินหน้า ดิจิทัล วอลเล็ต ยกความเห็น ป.ป.ช. แค่ข้อเสนอแนะ ไม่ต้องปฏิบัติตาม
https://www.matichon.co.th/politics/news_4414935
“สมชัย” ยุส่ง เดินหน้า “ดิจิทัล วอลเล็ต” ได้เลย ยกความเห็น ป.ป.ช. แค่เพียงข้อเสนอแนะ ไม่ต้องปฏิบัติตาม
เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต. กล่าวถึงข้อเสนอของคณะกรรมการ ป.ป.ช. กับโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ว่า ป.ป.ช.ไม่ได้ทำเกินหน้าที่ เพราะ พ.ร.ป. ว่าด้วยคณะกรรมการ ป.ป.ช. มาตรา 32 เขียนไว้ว่า ป.ป.ช. มีหน้าที่และอำนาจเสนอ มาตรการ ความเห็นและข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อป้องกันหรือปราบปรามการทุจริต แม้โครงการยังไม่เกิด ก็เสนอเพื่อป้องกันได้ และเห็นว่าข้อเสนอที่ให้ กกต. ไปดูนโยบายในการหาเสียงของพรรคเพื่อไทย ว่า มีการปฏิบัติต่างจากการหาเสียงหรือไม่นั้น ไม่เป็นการก้าวก่ายหน้าที่ กกต. เพราะมาตรา 221 ของรัฐธรรมนูญ กำหนดให้องค์กรอิสระร่วมมือและช่วยเหลือกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการปฏิบัติหน้าที่
ทั้งนี้ ครม.ไม่ต้องปฏิบัติตามข้อเสนอของ ป.ป.ช. ก็ได้ เพราะข้อเสนอของ ป.ป.ช. เป็นเพียงการให้ข้อคิดเห็น รัฐบาลไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตาม หากรัฐบาลเห็นว่า เป็นสถานการณ์จำเป็นเร่งด่วน ก็ออกเป็นพระราชกำหนด แต่หากอยากให้รัฐสภามีส่วนรับผิดชอบ ก็ออกเป็นพระราชบัญญัติ ครม. จะกล้าลงมติส่งร่าง พ.ร.บ. กู้เงิน 500,000 ล้านบาท เข้าสภาหรือไม่ และจะมีผลอย่างไรตามมา อยากรู้ก็ทำเลย
เปิด 5 จุดสลบข้าวไทย ปี 67 คาดส่งออกลด-ข้าวเปลือกราคาตก-ถูกญวนแซง
https://www.dailynews.co.th/news/3154257/
สมาคมผู้ส่งออกข้าว เปิด 5 จุดสลบข้าวไทย ปี 67 คาดส่งออกลด ราคาข้าวเปลือกตก ชี้ไทยต้นทุนผลิตสูง ขาดการพัฒนา แข่งขันยาก แถมอัตราแลกเปลี่ยนผันผวน ห่วงโดนเวียดนามแซงหน้า
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์ข้าวไทยในปี 67 คาดว่าจะเผชิญปัญหามากกว่าปีที่แล้ว หลังจากปีที่ผ่านมาทำได้ดีกว่าที่คาดไว้ ดังนั้นหน่วยงานภาครัฐจึงห้ามวางใจ และควรหาทางรับมือ โดยในปี 67 สมาคมประเมินว่าไทยจะส่งออกที่ 7.5 ล้านตัน ลดลงกว่า 1 ล้านตัน จากปีก่อนที่ 8.76 ล้านตัน และมูลค่าจากลดลงจากปีก่อน 1.78 แสนล้านบาท เหลือ 1.5 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ ในปี 67 มีปัจจัยที่กระทบต่อข้าวไทยอยู่ 5 เรื่องสำคัญ และอยากให้รัฐเข้ามาดูแลได้แก่ 1.ความผันผวนอัตราแลกเปลี่ยน ต้องมีเสถียรภาพ เพราะมีผลต่อการกำหนดราคาขาย 2.การเพิ่มขีดความสามารถแข่งขันของไทย ที่ขณะนี้ไทยเป็นรองทั้งปริมาณผลผลิต สามารถผลิตได้เพียงไร่ละ 450 กิโลกรัม ตามหลังเวียดนามที่มีผลผลิตได้มากกว่าไร่ละ 900 กิโลกรัม และยังขาดสายพันธุ์ใหม่ๆ เข้ามาแข่งขันในตลาด เช่น ข้าวพื้นนุ่ม
3.นโยบายแข่งขันด้านราคา ซึ่งไทยมีราคาและต้นทุนสูงกว่าคู่แข่งไม่ว่าจะเป็นอินเดีย เวียดนาม หรือแม้แต่ปากีสถาน ตลอดจนต้องดูแลเรื่องค่าขนส่ง จากค่าระวางเรือที่กำลังปรับเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว 4.นโยบายการกลับมาส่งออกข้าวของประเทศอินเดีย ซึ่งคาดว่าในปีนี้จะมีการผ่อนคลาย กลับมาส่งออกได้อีกครั้ง และ 5.ผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ที่จะกระทบต่อการผลิตเข้าไทยให้ลดน้อยลง
“ในปี 67 การส่งออกข้าวไทยมีโอกาส ที่จะถูกเวียดนามแซงหน้าได้ เพราะเริ่มเห็นตัวเลขการส่งออกข้าว เวียดนาม เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากปกติการส่งออกจะเฉลี่ยเพียง 6 ล้านตันต่อปี แต่มาปี 66 เวียดนามส่งออกได้ถึง 8.1 ล้านตัน และต้นปี 67 ก็เริ่มเห็นสัญญาณไม่ดี โดยการเปิดประมูลนำเข้าข้าวของอินโดนีเซีย เมื่อปลายเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา ปริมาณ 5 แสนนั้น เวียดนาม ชนะประมูลไปกว่า 4 แสนตัน ที่เหลือเป็นของปากีสถาน และเมียนมา โดยที่ไทย ไม่สามารถประมูลได้เลย เนื่องจากราคาข้าวสูงกว่าคู่แข่งถึง 40 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะเดียวกันภาครัฐควรปรับแนวมางการทำตลาดข้าวเพราะการเจรจาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ สมัยนี้เกิดได้ยากมากขึ้น เพราะแต่ละประเทศปรับเปลี่ยนการซื้อข้าว โดยใช้เอกชน เป็นผู้นำเข้าแทน“
ร้อยตำรวจโท เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า แนวโน้มราคาข้าวเปลือกในปีนี้ คาดว่าจะลดลงจากปีก่อนแน่ ซึ่งเป็นไปตามสถานการณ์การส่งออกโดย ปี 66 ที่ผ่านมา เคยเห็นข้าวเปลือกขาวขึ้นไปถึงตันละ 12,000 บาท แต่ปีนี้ไม่น่าจะถึงขนาดนั้น แต่เชื่อว่าจะทรงตัวไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท ซึ่งถือเป็นราคาที่ชาวนารับได้ เพราะเทียบกับต้นทุนการผลิตจะอยู่แค่ 4-5 พันบาทต่อตัน
”สถานการณ์ราคาข้าวไทย จะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทั้งการผลิต การส่งออก ไตรมาสแรกปีนี้ยังน่าจะดีอยู่มียอดเฉลี่ย 800,000 ตันต่อเดือน เนื่องจากมีออเดอร์ค้างส่งมาจากปีก่อน แต่ห่วงว่าตั้งแต่ไตรมาสสองยังไม่รู้จะเป็นอย่างไร หลังจากไทยไม่สามารถประมูลขายข้าวให้อินโดนีเซียได้เลย“