กาม...ที่พระอนาคามีท่านละได้ในสังโยชน์เบื้องต่ำนั้นไม่ใช่กามคุณห้าที่เกิดขึ้นที่ตาหูจมูกลิ้นกาย(สัมผัส)ในกายที่ประกอบด้วยดินน้ำลมไฟนี้แต่เป็น*กามราคะ*ในจิตซึ่งเป็นจิตที่เกิดจากปฏิสนธิวิญญาณคือเป็นวิญญาณธาตุที่ลงมาปฏิสนธิในครรภ์ของมารดาหลังจากมีตัวอ่อนที่เกิดจากไข่ของแม่ผสมกับอสุจิของพ่อแล้ว
***ถ้าไม่มีใครมาอธิบายให้ละเอียดในเรื่องของกามแบบนี้ความเข้าใจผิดๆในเรื่องการละกามในสังโยชน์ของพระอนาคามีและพระอรหันต์ก็จะพร่ามัวต่อไป***
จึงสรุปได้ว่ากามในสังโยชน์ทั้งของพระอรหันต์และของพระอนาคามีที่ท่านละได้นั้นไม่ใช่กามคุณห้าแต่เป็นกามราคะในดวงจิตที่ใช้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสารมายาวนานด้วยตัณหาเป็นเครื่องพาไปซึ่งแตกต่างจากกามคุณห้าของมนุษย์และเทวดาที่ย่อมแตกสลายไปพร้อมกับกายที่มีดินน้ำลมไฟนี้ในทุกๆชาติ จึงสรุปได้ว่าพระอรหันต์และพระอนาคามียังกามคุณห้าอยู่ครบตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่าพระอรหันต์แม้จะสิ้นสังโยชน์สิบเครื่องผูกสัตว์ไว้ในภพแล้วแต่ยังต้องประสบกับอารมณ์ที่น่ายินดีและไม่ยินดีด้วยมีชีพคือกายนี้เป็นปัจจัย
**ในสมัยพุทธกาลทั้งพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ที่บรรลุธรรมตั้งแต่เป็นสามเณรได้ถูกกล่าวหาด้วยการโฆษณาชวนเชื่อว่าท่านทั้งสองเสพเมถุนธรรมในส่วนของหญิงที่ถูกจ้างมากล่าวหาพระพุทธเจ้านั้นได้ตำหนิว่าพระองค์ทรงบัญญัติห้ามสาวกให้งดเสพเมถุนธรรมแต่ท่านกลับมาเสพเมถุนกับนางจนทำให้นางตั้งครรภ์และในส่วนพระอรหันต์อีกรูปหนึ่งนั้นถูกพวกภิกษุด้วยกันกลั่นแกล้งเพื่อให้ปรับอาบัติปาราชิกเพื่อให้ท่านพรากออกจากธรรมวินัยนี้ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อว่าท่านเสพเมถุนธรรมกับพระภิกษุณี
**จะเห็นได้ว่าความเป็นพระอรหันต์ผู้สิ้นกิเลสสังโยชน์ไม่ได้ปกป้องท่านทั้งสองให้ออกจากกามคุณห้าได้เลยด้วยว่าท่านทั้งสองนั้นถูกสังคมตำหนิในเรื่องการเสพเมถุนธรรมไปเรียบร้อยแล้วแม้ต่อมาท่านทั้งสองจะได้หลุดออกจากข้อกล่าวหาด้วยนางจิญจมาณวิกาได้ทำไม้ทรงกลมหลุดออกมาจากท้องความจึงแตกออกมาว่านางเสแสร้งด้วยอุบายว่าตั้งครรภ์กับพระพุทธองค์ในส่วนของภิกษุที่กลั่นแกล้งพระอรหันต์ก้อยอมรับสารภาพว่าใช้อุบายในการหาท่าน ขอสำทับด้วยกฏเหล็กที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติเรื่องกฎเหล็กไว้ใช้กับพระอรหันต์โดยตรงคือเมื่อภิกษุได้เป็นอรหันต์ขีณาสพแล้วห้ามกลับไปเสพเมถุนธรรมต่อไปอีก**
ที่จริงอาตมาเคยรู้สึกเบื่อหน่ายในการอธิบายเรื่องที่เข้าใจได้ยากแบบนี้แต่ได้เห็นประโยชน์แก่บุคคลทั่วไปจะได้เข้าใจในเรื่องกามในสังโยชน์กับกามคุณห้าได้อย่างถูกต้องและทั้งนี้ต้องขอขอบคุณความมีเมตตาจิตของเทพบุตรชั้นสุทธาวาสทั้งสองท่านเป็นอย่างสูงมาในที่นี้ด้วย
อรหันต์และอนาคามีละกามในสังโยชน์สิบซึ่งเป็นเครื่องผูกสัตว์ไว้กับภพได้แต่ยังยินดีในกามคุณห้าด้วยมีชีพคือกายนี้เป็นปัจจัย?
***ถ้าไม่มีใครมาอธิบายให้ละเอียดในเรื่องของกามแบบนี้ความเข้าใจผิดๆในเรื่องการละกามในสังโยชน์ของพระอนาคามีและพระอรหันต์ก็จะพร่ามัวต่อไป***
จึงสรุปได้ว่ากามในสังโยชน์ทั้งของพระอรหันต์และของพระอนาคามีที่ท่านละได้นั้นไม่ใช่กามคุณห้าแต่เป็นกามราคะในดวงจิตที่ใช้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสารมายาวนานด้วยตัณหาเป็นเครื่องพาไปซึ่งแตกต่างจากกามคุณห้าของมนุษย์และเทวดาที่ย่อมแตกสลายไปพร้อมกับกายที่มีดินน้ำลมไฟนี้ในทุกๆชาติ จึงสรุปได้ว่าพระอรหันต์และพระอนาคามียังกามคุณห้าอยู่ครบตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่าพระอรหันต์แม้จะสิ้นสังโยชน์สิบเครื่องผูกสัตว์ไว้ในภพแล้วแต่ยังต้องประสบกับอารมณ์ที่น่ายินดีและไม่ยินดีด้วยมีชีพคือกายนี้เป็นปัจจัย
**ในสมัยพุทธกาลทั้งพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ที่บรรลุธรรมตั้งแต่เป็นสามเณรได้ถูกกล่าวหาด้วยการโฆษณาชวนเชื่อว่าท่านทั้งสองเสพเมถุนธรรมในส่วนของหญิงที่ถูกจ้างมากล่าวหาพระพุทธเจ้านั้นได้ตำหนิว่าพระองค์ทรงบัญญัติห้ามสาวกให้งดเสพเมถุนธรรมแต่ท่านกลับมาเสพเมถุนกับนางจนทำให้นางตั้งครรภ์และในส่วนพระอรหันต์อีกรูปหนึ่งนั้นถูกพวกภิกษุด้วยกันกลั่นแกล้งเพื่อให้ปรับอาบัติปาราชิกเพื่อให้ท่านพรากออกจากธรรมวินัยนี้ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อว่าท่านเสพเมถุนธรรมกับพระภิกษุณี
**จะเห็นได้ว่าความเป็นพระอรหันต์ผู้สิ้นกิเลสสังโยชน์ไม่ได้ปกป้องท่านทั้งสองให้ออกจากกามคุณห้าได้เลยด้วยว่าท่านทั้งสองนั้นถูกสังคมตำหนิในเรื่องการเสพเมถุนธรรมไปเรียบร้อยแล้วแม้ต่อมาท่านทั้งสองจะได้หลุดออกจากข้อกล่าวหาด้วยนางจิญจมาณวิกาได้ทำไม้ทรงกลมหลุดออกมาจากท้องความจึงแตกออกมาว่านางเสแสร้งด้วยอุบายว่าตั้งครรภ์กับพระพุทธองค์ในส่วนของภิกษุที่กลั่นแกล้งพระอรหันต์ก้อยอมรับสารภาพว่าใช้อุบายในการหาท่าน ขอสำทับด้วยกฏเหล็กที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติเรื่องกฎเหล็กไว้ใช้กับพระอรหันต์โดยตรงคือเมื่อภิกษุได้เป็นอรหันต์ขีณาสพแล้วห้ามกลับไปเสพเมถุนธรรมต่อไปอีก**
ที่จริงอาตมาเคยรู้สึกเบื่อหน่ายในการอธิบายเรื่องที่เข้าใจได้ยากแบบนี้แต่ได้เห็นประโยชน์แก่บุคคลทั่วไปจะได้เข้าใจในเรื่องกามในสังโยชน์กับกามคุณห้าได้อย่างถูกต้องและทั้งนี้ต้องขอขอบคุณความมีเมตตาจิตของเทพบุตรชั้นสุทธาวาสทั้งสองท่านเป็นอย่างสูงมาในที่นี้ด้วย