เอ็กซ์อ๊อก talk “ชัยธวัช-ศิธา-อุ๊งอิ๊ง-ภราดร-ฐากร” ปมร้อนการเมือง67 หลังก้าวไกลชักธงรบ
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_4376614
รายการ เอ็กซ์อ๊อก talkทุกเรื่อง EP. นี้ พาไปคุยกับเหล่าคนการเมือง ที่มาร่วมงานวันเกิดมติชน ก้าวสู่ปีที่ 47 มองการเมืองปี 67 และปมร้อนหลังก้าวไกลชักธงรบในการอภิปรายงบ จะเป็นอย่างไร ทั้ง
ศิธา ทิวารี ,
ชัยธวัช ตุลาธน ,
แพทองธาร ชินวัตร ,
ภราดร ปริศนานันทกุล และ
ฐากร ตัณฑสิทธิ์ ติดตามรายละเอียดจากคลิปด้านล่างนี้
“กัณวีร์ สืบแสง” คดีเจ้าหน้าที่รัฐกับจังหวัดชายแดนใต้ ยุคนี้คนจับจ้องไม่เงียบเหมือนเดิม
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_4376659
มีเรื่องมาเคลียร์ by ศิโรตม์ โดย
ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ คุยกับ
กัณวีร์ สืบแสง จากพรรคเป็นธรรม อัพเดตคดีเจ้าหน้าที่รัฐกับประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ และบทบาทของ กรรมาธิการ สภาผู้แทนราษฎร ติดตามรายละเอียดจากคลิปด้านล่างนี้
แบงก์ชาติ เปิดใจกระแสร้อน ศก.ทรุด-เงินเฟ้อต่ำ แต่ยังลดดอกเบี้ยไม่ได้ ชี้มีต้นทุนและความเสี่ยง
https://www.matichon.co.th/economy/news_4376738
แบงก์ชาติ เปิดใจกระแสร้อน ศก.ทรุด-เงินเฟ้อต่ำ แต่ยังลดดอกเบี้ยไม่ได้ ชี้มีต้นทุนและความเสี่ยง
เมื่อวันที่ 15 มกราคม ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นาย
ปิติ ดิษยทัต ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงินและเลขาคณะกรรมการนโยบายการเงิน (ธปท.) กล่าวในงาน ธปท. เปิดแนวคิดนโยบายแบงก์ชาติ ว่า ที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายค่อยเป็นค่อยไป และพิจารณาปัจจัยทั้งหมดที่เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจ แล้วระดับดอกเบี้ยของไทยที่ 2.50% ณ ปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่ต่ำเมื่อเทียบกับโลก ทั้งในแง่ระยะสั้นและระยะยาว
“
ขณะเดียวกัน หากมีการลดดอกเบี้ยลงในระดับที่มากและกระชากอย่างรุนแรงอาจทำให้เศรษฐกิจมีความเสี่ยง กนง.ต้องพิจารณาอย่างระมัดระวังและพิจารณาถึงให้คุ้มค่าที่จะเกิดเป็นความเสี่ยงด้วย” นายปิติกล่าว
นาย
ปิติกล่าวว่า นอกจากนี้ หลังจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่ตัวเลขออกมาไม่ตรงกับที่คาดการณ์ส่อว่าดำเนินนโยบายผิดทาง ยืนยันว่าภาพรวมถือว่าไม่ เพราะ กนง. ตอนกำหนดนโยบายจะคำนึงถึงสิ่งที่รองรับเหตุการณ์จะเกิดขึ้นได้หลายกรณี
เช่น การประชุม 2 ครั้งที่ผ่านมา กนง.ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปสู่ 2.50% ถึงแม้นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท จะมาช้าหรือมาเร็วกว่าที่คาดการณ์ เศรษฐกิจจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยสามารถรองรับความเสี่ยงทั้ง 2 กรณีได้ เพราะดอกเบี้ยพยายามคุมภาพรวมเศรษฐกิจทั้งความเสี่ยงระยะสั้น ระยะปานกลางอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสมและพอไปได้ ซึ่งนโยบายการเงินไม่ได้เป็นตัวกำหนดว่าเศรษฐกิจจะไปทิศทางไหน
“
กนง. จะมีการประชุมปลายเดือนนี้ และประกาศผลประชุมต้นเดือนหน้า (7 กุมภาพันธ์) จากข้อมูลที่เกิดขึ้นทั้งหมด กนง.จะอัพเดตว่ามีผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจอย่างมีนัยหรือไม่ ภาพรวมจะเป็นการชั่งน้ำหนักระหว่างประเด็นเชิงโครงสร้างที่จะมีบทบาทมากขึ้น และบริบทต่างประเทศเปลี่ยนไป ยืนยันว่าไม่มีการประชุม กนง.นัดพิเศษ เพราะตัวเลขเศรษฐกิจยังเคลื่อนไหวปกติ” นาย
ปิติกล่าว
ทั้งนี้ ธปท. รับฟังข้อมูลจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะในฝั่งรัฐบาล ซึ่ง ธปท. มีการพูดคุยกันอยู่เสมอกับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งให้มุมมองที่มีประโยชน์มาก และ กนง.จะทบทวนเสมอว่าจุดยืนการดำเนินนโยบายและภาพที่มองเศรษฐกิจสอดคล้องและควรจะเป็นอย่างที่คาดการณ์หรือไม่
นาย
ปิติกล่าวว่า ซึ่งจุดยืนของ กนง.ต้องการให้ภาวะทางการเงินอยู่ในภาวะที่สมดุล เป็นกลาง และอยู่ระดับอัตราดอกเบี้ยที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจในระยะยาว (Neutral rate) เป็นภาวะการเงินที่ไม่ฉุดรั้งเศรษฐกิจและให้มีเม็ดเงินสามารถไหลเข้าไปช่วยหล่อเลี้ยงกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ ให้สภาพคล่องหมุนเวียน ค่าเงินจะมีความผันผวนขึ้นบ้างแต่ก็อยู่ในขอบเขตที่รับได้
ดังนั้น กรอบการดำเนินนโยบายที่ยืดหยุ่น ที่ ธปท. และธนาคารกลางต่างประเทศ ดำเนินการมาไม่ได้เพียงแค่ดูเงินเฟ้อระยะสั้น ซึ่งมีปัจจัยมากมายมากระทบแต่ต้องดูและชั่งน้ำหนักระหว่างหลายปัจจัยอย่างรอบด้าน และมองไปข้างหน้า มองไปในระยะปานกลาง เพราะนโยบายการเงินใช้ในการที่จะส่งผ่านไปสู่เศรษฐกิจจริง
นาย
ปิติกล่าวว่า การดำเนินนโยบายการเงิน กนง.จะพิจารณา 3 ส่วนเป็นหลัก 1.การให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างยั่งยืน 2.เงินเฟ้ออยู่ในกรอบเป้าหมายอย่างยั่งยืน และ 3.เสถียรภาพของระบบการเงิน
โดย 1.ในแง่ภาพเศรษฐกิจจากปีที่ผ่านมา สิ่งที่เป็นไปตามคาดคือเศรษฐกิจฟื้นตัว นำโดยการกลับมาของนักท่องเที่ยว และภาคบริการ รวมถึงอุปสงค์ภายในประเทศเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งเศรษฐกิจฟื้นตัวอยู่ในช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิดแล้ว อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวไม่ได้ทั่วถึงเท่าที่ควรและไม่เกิดความสมดุล เนื่องจากเครื่องยนต์เศรษฐกิจไม่ได้มาอย่างครบครันทุกเครื่อง โดยเฉพาะภาคการส่งออกและภาคการผลิตที่ยังไม่ฟื้นตัวกลับมาเต็มที่ รวมถึงรายได้จากภาคการท่องเที่ยวที่พลาดเป้า
ทั้งนี้ ปี 2567 แม้ ธปท.มองว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวแบบครบครันและสมบูรณ์มากขึ้น โดยการกลับมาของวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์โลก น่าจะช่วยให้การส่งออกมีแรงส่งมากขึ้น แต่ปัญหาเชิงโครงสร้างอาจเป็นความเสี่ยงที่จะทำให้ประโยชน์ที่จะได้รับจากการฟื้นตัวของภาคอุปสงค์ต่างประเทศมีไม่มากเท่าที่ควร กนง.ให้ความสำคัญและติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดในการประเมินภาคเศรษฐกิจระยะต่อไปต้องดูว่าประเด็นเรื่องโครงสร้างเศรษฐกิจจะมีพัฒนาการอย่างไร
“
ทำไมเศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์และไม่ลดอัตราดอกเบี้ย หลักๆ ก็มาจากเหตุผลของเศรษฐกิจที่ขยายตัวชะลอลง ส่วนใหญ่มาจากปัจจัยเชิงโครงสร้างภายในประเทศ และปัจจัยภายนอกประเทศที่อยู่นอกเหนือการควบคุม อัตราดอกเบี้ยไม่สามารถทำให้เรามีสินค้าส่งออกที่ซับซ้อนหรือไฮเทคมากขึ้น การท่องเที่ยวไม่สามารถเพิ่มเสน่ห์การท่องเที่ยวของไทยได้ ก็เป็นเรื่องที่ต้องดูในระยะต่อไป” นาย
ปิติกล่าว
นาย
ปิติกล่าวว่า 2.เรื่องเงินเฟ้อ ภาพรวมการที่เงินเฟ้อลดลงเป็นข่าวดี เมื่อเทียบกับจากต่างประเทศที่ขณะนี้ยังต้องต่อสู้กับปัญหาเงินเฟ้อและต้องตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับที่สูง เพื่อกระชากเศรษฐกิจให้ชะลอตัวลง แต่ในประเทศไทยปัญหาเงินเฟ้อได้คลี่คลายไปพอสมควรแล้ว ขณะเดียวกัน เงินเฟ้ออยู่ในระดับที่ต่ำหรือติดลบเล็กน้อยสะท้อนระดับราคาที่ไม่ได้ไปเพิ่มภาระให้กับประชาชน และสะท้อนว่าสินค้าบางประเภทก่อนหน้านี้ได้ปรับขึ้นเยอะจากปัญหาเชิงอุปทาน
การที่เงินเฟ้อปรับลดลงและติดลบในช่วงที่ผ่านมาก็เป็นสิ่งที่ กนง. คาดการณ์ไว้แล้ว และการที่ลดลงส่วนใหญ่มาจากราคาอาหารสดและราคาพลังงาน เป็นผลของมาตรการภาครัฐที่สนับสนุนด้านค่าครองชีพ หากหักผลของมาตรการเหล่านี้ตัวเลขยังคงเป็นบวกอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่พิจารณาสินค้ารายหมวดกว่า 400 รายการ ส่วนใหญ่ 75% ของสินค้าในตะกร้าเงินเฟ้อยังปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ และมี 25% ปรับตัวลดลง ซึ่งยังอยู่ในระดับปกติ
“
ดังนั้น ตัวเลขเงินเฟ้อติดลบไม่ได้หมายความว่าราคาสินค้าลดลงกับทุกไอเท็ม ไม่ได้เป็นการสะท้อนถึงอุปสงค์หรือกำลังซื้อที่หมดไป และไม่ใช่ภาวะเงินฝืด” นาย
ปิติกล่าว
นาย
ปิติกล่าวว่า แล้วทำไมเงินเฟ้อติดลบและยังไม่ลดอัตราดอกเบี้ย หลักๆ มี 4 เหตุผล คือ 1.ส่วนใหญ่เป็นเรื่องปัจจัยเฉพาะที่ไม่ยั่งยืน 2.การลดของดีมานด์ที่สะท้อนกำลังซื้อที่แผ่ว ซึ่งนโยบายการเงินไม่สามารถตอบสนองปัจจัยนั้นได้ 3.เงินเฟ้อคาดการณ์ยังยึดเหนี่ยวอยู่ในระดับ 2% และ 4.การลดลดลงของเงินเฟ้อส่วนหนึ่งสะท้อนปัจจัยปัญหาด้านการผลิตที่คลี่คลายลงในบางสินค้า
“
นโยบายการเงินในการที่จะกำหนดแนวโน้มเงินเฟ้อ กนง. พยายามจะดูให้เงินเฟ้ออยู่ในเป้าอย่างยั่งยืน ก็ต้องมองไปข้างหน้าและ กนง. มองว่าตัวเลขเดือนมกราคม 2567 เงินเฟ้อจะติดลบ และเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ก็น่าติดลบ และจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นมองว่าสิ้นปีนี้เงินเฟ้อน่าจะอยู่ที่ 2% ซึ่งอยู่ในกรอบเป้าหมายของ ธปท.” นายปิติกล่าว
นาย
ปิติกล่าวว่า 3.เสถียรภาพทางการเงิน โดย กนง. จะชั่งน้ำหนักเรื่องของหนี้เสีย (เอ็นพีแอล) ราคาสินทรัพย์ การแสวงหาผลกำไร (Search for Yield) แต่ปัญหาที่เผชิญขณะนี้คือเรื่องระดับหนี้ที่อยู่ในระดับสูง หนี้ครัวเรือนไทยไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 90.9% นอกจากจะเป็นตัวฉุดรั้งกำลังซื้อของประชาชนแล้วยังสร้างความเปราะบางให้กับระบบเศรษฐกิจ ลดความสามารถและลดความสามารถในการรองรับแรงกระแทกที่จะมาจากภายนอก ซึ่งการกำหนดอัตราดอกเบี้ยก็คำนึงถึงส่วนนี้ด้วย
สำหรับอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดควรจะสอดรับกับศักยภาพพื้นฐานของระบบเศรษฐกิจและโอกาสทางธุรกิจที่แท้จริง เพราะถ้ากำหนดอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำเกินไปจะสร้างแรงจูงใจให้กับประชาชน และผู้ประกอบการกู้ยืมทรัพยากรรายได้ในอนาคต มาลงทุนมาใช้ในวันนี้ แล้วกลายเป็นว่ารายได้ที่เกิดขึ้นจริงในอนาคตต่ำกว่าที่คาดไว้จะเกิดปัญหาที่เผชิญอยู่ทุกวันนี้
“
การบรรลุ 3 เป้าหมาย กนง. พยายามดูภาวะการเงินอย่างใกล้ชิด โดยมีการพิจารณาในหลายมิติ นอกจากอัตราดอกเบี้ยก็มีการผสมผสานเครื่องมืออื่นๆ ด้วย โดยเฉพาะมาตรการทางการเงินที่สามารถแก้ปัญหาได้เฉพาะจุดมากกว่า ซึ่งการกำหนดอัตราดอกเบี้ยจะพยายามให้อยู่ในระดับที่พอดีไม่สูงเกินไปที่จะเป็นอุปสรรคต่อเศรษฐกิจและไม่ต่ำเกินไปที่จะสร้างปัญหาเชิงเสถียรภาพทั้งในประเทศและต่างประเทศ และไม่สะสมความไม่สมดุลทางการเงิน” นาย
ปิติกล่าว
แวะเติมก่อนกลับ! พรุ่งนี้น้ำมันกลุ่มเบนซิน-โซฮอล์ ปรับขึ้น 50 สตางค์
https://www.matichon.co.th/economy/news_4376989
แวะเติมก่อนกลับ! พรุ่งนี้น้ำมันกลุ่มเบนซิน-โซฮอล์ ปรับขึ้น 50 สตางค์
เมื่อวันที่ 15 มกราคม PTT Station ประกาศปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์ทุกชนิดขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร GSH95 Premium ปรับขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร ส่วนกลุ่มดีเซลทุกชนิดคงเดิม มีผล 16 ม.ค. 2567 เวลา 05.00 น. เป็นต้นไป โดยราคาขายปลีกจะเป็น ดังนี้ ULG = 43.14, GSH95 = 35.25, E20 = 33.14, GSH91 = 33.48, E85 = 33.29, พรีเมี่ยม GSH95 = 42.64, HSD-B7 = 29.94, HSD-B10 = 29.94, พรีเมี่ยมดีเซล B7 = 41.54 บาทต่อลิตร โดยราคาขายปลีกข้างต้นยังไม่รวมภาษีบำรุงกรุงเทพมหานคร
JJNY : 5in1 ปมร้อนการเมือง67│“กัณวีร์”คดีจนท.รัฐกับจว.ชายแดนใต้│แบงก์ชาติเปิดใจ│แวะเติมก่อนกลับ!│LNG หยุดขนส่งชั่วคราว
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_4376614
รายการ เอ็กซ์อ๊อก talkทุกเรื่อง EP. นี้ พาไปคุยกับเหล่าคนการเมือง ที่มาร่วมงานวันเกิดมติชน ก้าวสู่ปีที่ 47 มองการเมืองปี 67 และปมร้อนหลังก้าวไกลชักธงรบในการอภิปรายงบ จะเป็นอย่างไร ทั้ง ศิธา ทิวารี , ชัยธวัช ตุลาธน , แพทองธาร ชินวัตร , ภราดร ปริศนานันทกุล และ ฐากร ตัณฑสิทธิ์ ติดตามรายละเอียดจากคลิปด้านล่างนี้
“กัณวีร์ สืบแสง” คดีเจ้าหน้าที่รัฐกับจังหวัดชายแดนใต้ ยุคนี้คนจับจ้องไม่เงียบเหมือนเดิม
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_4376659
มีเรื่องมาเคลียร์ by ศิโรตม์ โดย ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ คุยกับ กัณวีร์ สืบแสง จากพรรคเป็นธรรม อัพเดตคดีเจ้าหน้าที่รัฐกับประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ และบทบาทของ กรรมาธิการ สภาผู้แทนราษฎร ติดตามรายละเอียดจากคลิปด้านล่างนี้
แบงก์ชาติ เปิดใจกระแสร้อน ศก.ทรุด-เงินเฟ้อต่ำ แต่ยังลดดอกเบี้ยไม่ได้ ชี้มีต้นทุนและความเสี่ยง
https://www.matichon.co.th/economy/news_4376738
แบงก์ชาติ เปิดใจกระแสร้อน ศก.ทรุด-เงินเฟ้อต่ำ แต่ยังลดดอกเบี้ยไม่ได้ ชี้มีต้นทุนและความเสี่ยง
เมื่อวันที่ 15 มกราคม ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นายปิติ ดิษยทัต ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงินและเลขาคณะกรรมการนโยบายการเงิน (ธปท.) กล่าวในงาน ธปท. เปิดแนวคิดนโยบายแบงก์ชาติ ว่า ที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายค่อยเป็นค่อยไป และพิจารณาปัจจัยทั้งหมดที่เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจ แล้วระดับดอกเบี้ยของไทยที่ 2.50% ณ ปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่ต่ำเมื่อเทียบกับโลก ทั้งในแง่ระยะสั้นและระยะยาว
“ขณะเดียวกัน หากมีการลดดอกเบี้ยลงในระดับที่มากและกระชากอย่างรุนแรงอาจทำให้เศรษฐกิจมีความเสี่ยง กนง.ต้องพิจารณาอย่างระมัดระวังและพิจารณาถึงให้คุ้มค่าที่จะเกิดเป็นความเสี่ยงด้วย” นายปิติกล่าว
นายปิติกล่าวว่า นอกจากนี้ หลังจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่ตัวเลขออกมาไม่ตรงกับที่คาดการณ์ส่อว่าดำเนินนโยบายผิดทาง ยืนยันว่าภาพรวมถือว่าไม่ เพราะ กนง. ตอนกำหนดนโยบายจะคำนึงถึงสิ่งที่รองรับเหตุการณ์จะเกิดขึ้นได้หลายกรณี
เช่น การประชุม 2 ครั้งที่ผ่านมา กนง.ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปสู่ 2.50% ถึงแม้นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท จะมาช้าหรือมาเร็วกว่าที่คาดการณ์ เศรษฐกิจจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยสามารถรองรับความเสี่ยงทั้ง 2 กรณีได้ เพราะดอกเบี้ยพยายามคุมภาพรวมเศรษฐกิจทั้งความเสี่ยงระยะสั้น ระยะปานกลางอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสมและพอไปได้ ซึ่งนโยบายการเงินไม่ได้เป็นตัวกำหนดว่าเศรษฐกิจจะไปทิศทางไหน
“กนง. จะมีการประชุมปลายเดือนนี้ และประกาศผลประชุมต้นเดือนหน้า (7 กุมภาพันธ์) จากข้อมูลที่เกิดขึ้นทั้งหมด กนง.จะอัพเดตว่ามีผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจอย่างมีนัยหรือไม่ ภาพรวมจะเป็นการชั่งน้ำหนักระหว่างประเด็นเชิงโครงสร้างที่จะมีบทบาทมากขึ้น และบริบทต่างประเทศเปลี่ยนไป ยืนยันว่าไม่มีการประชุม กนง.นัดพิเศษ เพราะตัวเลขเศรษฐกิจยังเคลื่อนไหวปกติ” นายปิติกล่าว
ทั้งนี้ ธปท. รับฟังข้อมูลจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะในฝั่งรัฐบาล ซึ่ง ธปท. มีการพูดคุยกันอยู่เสมอกับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งให้มุมมองที่มีประโยชน์มาก และ กนง.จะทบทวนเสมอว่าจุดยืนการดำเนินนโยบายและภาพที่มองเศรษฐกิจสอดคล้องและควรจะเป็นอย่างที่คาดการณ์หรือไม่
นายปิติกล่าวว่า ซึ่งจุดยืนของ กนง.ต้องการให้ภาวะทางการเงินอยู่ในภาวะที่สมดุล เป็นกลาง และอยู่ระดับอัตราดอกเบี้ยที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจในระยะยาว (Neutral rate) เป็นภาวะการเงินที่ไม่ฉุดรั้งเศรษฐกิจและให้มีเม็ดเงินสามารถไหลเข้าไปช่วยหล่อเลี้ยงกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ ให้สภาพคล่องหมุนเวียน ค่าเงินจะมีความผันผวนขึ้นบ้างแต่ก็อยู่ในขอบเขตที่รับได้
ดังนั้น กรอบการดำเนินนโยบายที่ยืดหยุ่น ที่ ธปท. และธนาคารกลางต่างประเทศ ดำเนินการมาไม่ได้เพียงแค่ดูเงินเฟ้อระยะสั้น ซึ่งมีปัจจัยมากมายมากระทบแต่ต้องดูและชั่งน้ำหนักระหว่างหลายปัจจัยอย่างรอบด้าน และมองไปข้างหน้า มองไปในระยะปานกลาง เพราะนโยบายการเงินใช้ในการที่จะส่งผ่านไปสู่เศรษฐกิจจริง
นายปิติกล่าวว่า การดำเนินนโยบายการเงิน กนง.จะพิจารณา 3 ส่วนเป็นหลัก 1.การให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างยั่งยืน 2.เงินเฟ้ออยู่ในกรอบเป้าหมายอย่างยั่งยืน และ 3.เสถียรภาพของระบบการเงิน
โดย 1.ในแง่ภาพเศรษฐกิจจากปีที่ผ่านมา สิ่งที่เป็นไปตามคาดคือเศรษฐกิจฟื้นตัว นำโดยการกลับมาของนักท่องเที่ยว และภาคบริการ รวมถึงอุปสงค์ภายในประเทศเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งเศรษฐกิจฟื้นตัวอยู่ในช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิดแล้ว อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวไม่ได้ทั่วถึงเท่าที่ควรและไม่เกิดความสมดุล เนื่องจากเครื่องยนต์เศรษฐกิจไม่ได้มาอย่างครบครันทุกเครื่อง โดยเฉพาะภาคการส่งออกและภาคการผลิตที่ยังไม่ฟื้นตัวกลับมาเต็มที่ รวมถึงรายได้จากภาคการท่องเที่ยวที่พลาดเป้า
ทั้งนี้ ปี 2567 แม้ ธปท.มองว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวแบบครบครันและสมบูรณ์มากขึ้น โดยการกลับมาของวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์โลก น่าจะช่วยให้การส่งออกมีแรงส่งมากขึ้น แต่ปัญหาเชิงโครงสร้างอาจเป็นความเสี่ยงที่จะทำให้ประโยชน์ที่จะได้รับจากการฟื้นตัวของภาคอุปสงค์ต่างประเทศมีไม่มากเท่าที่ควร กนง.ให้ความสำคัญและติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดในการประเมินภาคเศรษฐกิจระยะต่อไปต้องดูว่าประเด็นเรื่องโครงสร้างเศรษฐกิจจะมีพัฒนาการอย่างไร
“ทำไมเศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์และไม่ลดอัตราดอกเบี้ย หลักๆ ก็มาจากเหตุผลของเศรษฐกิจที่ขยายตัวชะลอลง ส่วนใหญ่มาจากปัจจัยเชิงโครงสร้างภายในประเทศ และปัจจัยภายนอกประเทศที่อยู่นอกเหนือการควบคุม อัตราดอกเบี้ยไม่สามารถทำให้เรามีสินค้าส่งออกที่ซับซ้อนหรือไฮเทคมากขึ้น การท่องเที่ยวไม่สามารถเพิ่มเสน่ห์การท่องเที่ยวของไทยได้ ก็เป็นเรื่องที่ต้องดูในระยะต่อไป” นายปิติกล่าว
นายปิติกล่าวว่า 2.เรื่องเงินเฟ้อ ภาพรวมการที่เงินเฟ้อลดลงเป็นข่าวดี เมื่อเทียบกับจากต่างประเทศที่ขณะนี้ยังต้องต่อสู้กับปัญหาเงินเฟ้อและต้องตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับที่สูง เพื่อกระชากเศรษฐกิจให้ชะลอตัวลง แต่ในประเทศไทยปัญหาเงินเฟ้อได้คลี่คลายไปพอสมควรแล้ว ขณะเดียวกัน เงินเฟ้ออยู่ในระดับที่ต่ำหรือติดลบเล็กน้อยสะท้อนระดับราคาที่ไม่ได้ไปเพิ่มภาระให้กับประชาชน และสะท้อนว่าสินค้าบางประเภทก่อนหน้านี้ได้ปรับขึ้นเยอะจากปัญหาเชิงอุปทาน
การที่เงินเฟ้อปรับลดลงและติดลบในช่วงที่ผ่านมาก็เป็นสิ่งที่ กนง. คาดการณ์ไว้แล้ว และการที่ลดลงส่วนใหญ่มาจากราคาอาหารสดและราคาพลังงาน เป็นผลของมาตรการภาครัฐที่สนับสนุนด้านค่าครองชีพ หากหักผลของมาตรการเหล่านี้ตัวเลขยังคงเป็นบวกอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่พิจารณาสินค้ารายหมวดกว่า 400 รายการ ส่วนใหญ่ 75% ของสินค้าในตะกร้าเงินเฟ้อยังปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ และมี 25% ปรับตัวลดลง ซึ่งยังอยู่ในระดับปกติ
“ดังนั้น ตัวเลขเงินเฟ้อติดลบไม่ได้หมายความว่าราคาสินค้าลดลงกับทุกไอเท็ม ไม่ได้เป็นการสะท้อนถึงอุปสงค์หรือกำลังซื้อที่หมดไป และไม่ใช่ภาวะเงินฝืด” นายปิติกล่าว
นายปิติกล่าวว่า แล้วทำไมเงินเฟ้อติดลบและยังไม่ลดอัตราดอกเบี้ย หลักๆ มี 4 เหตุผล คือ 1.ส่วนใหญ่เป็นเรื่องปัจจัยเฉพาะที่ไม่ยั่งยืน 2.การลดของดีมานด์ที่สะท้อนกำลังซื้อที่แผ่ว ซึ่งนโยบายการเงินไม่สามารถตอบสนองปัจจัยนั้นได้ 3.เงินเฟ้อคาดการณ์ยังยึดเหนี่ยวอยู่ในระดับ 2% และ 4.การลดลดลงของเงินเฟ้อส่วนหนึ่งสะท้อนปัจจัยปัญหาด้านการผลิตที่คลี่คลายลงในบางสินค้า
“นโยบายการเงินในการที่จะกำหนดแนวโน้มเงินเฟ้อ กนง. พยายามจะดูให้เงินเฟ้ออยู่ในเป้าอย่างยั่งยืน ก็ต้องมองไปข้างหน้าและ กนง. มองว่าตัวเลขเดือนมกราคม 2567 เงินเฟ้อจะติดลบ และเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ก็น่าติดลบ และจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นมองว่าสิ้นปีนี้เงินเฟ้อน่าจะอยู่ที่ 2% ซึ่งอยู่ในกรอบเป้าหมายของ ธปท.” นายปิติกล่าว
นายปิติกล่าวว่า 3.เสถียรภาพทางการเงิน โดย กนง. จะชั่งน้ำหนักเรื่องของหนี้เสีย (เอ็นพีแอล) ราคาสินทรัพย์ การแสวงหาผลกำไร (Search for Yield) แต่ปัญหาที่เผชิญขณะนี้คือเรื่องระดับหนี้ที่อยู่ในระดับสูง หนี้ครัวเรือนไทยไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 90.9% นอกจากจะเป็นตัวฉุดรั้งกำลังซื้อของประชาชนแล้วยังสร้างความเปราะบางให้กับระบบเศรษฐกิจ ลดความสามารถและลดความสามารถในการรองรับแรงกระแทกที่จะมาจากภายนอก ซึ่งการกำหนดอัตราดอกเบี้ยก็คำนึงถึงส่วนนี้ด้วย
สำหรับอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดควรจะสอดรับกับศักยภาพพื้นฐานของระบบเศรษฐกิจและโอกาสทางธุรกิจที่แท้จริง เพราะถ้ากำหนดอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำเกินไปจะสร้างแรงจูงใจให้กับประชาชน และผู้ประกอบการกู้ยืมทรัพยากรรายได้ในอนาคต มาลงทุนมาใช้ในวันนี้ แล้วกลายเป็นว่ารายได้ที่เกิดขึ้นจริงในอนาคตต่ำกว่าที่คาดไว้จะเกิดปัญหาที่เผชิญอยู่ทุกวันนี้
“การบรรลุ 3 เป้าหมาย กนง. พยายามดูภาวะการเงินอย่างใกล้ชิด โดยมีการพิจารณาในหลายมิติ นอกจากอัตราดอกเบี้ยก็มีการผสมผสานเครื่องมืออื่นๆ ด้วย โดยเฉพาะมาตรการทางการเงินที่สามารถแก้ปัญหาได้เฉพาะจุดมากกว่า ซึ่งการกำหนดอัตราดอกเบี้ยจะพยายามให้อยู่ในระดับที่พอดีไม่สูงเกินไปที่จะเป็นอุปสรรคต่อเศรษฐกิจและไม่ต่ำเกินไปที่จะสร้างปัญหาเชิงเสถียรภาพทั้งในประเทศและต่างประเทศ และไม่สะสมความไม่สมดุลทางการเงิน” นายปิติกล่าว
แวะเติมก่อนกลับ! พรุ่งนี้น้ำมันกลุ่มเบนซิน-โซฮอล์ ปรับขึ้น 50 สตางค์
https://www.matichon.co.th/economy/news_4376989
แวะเติมก่อนกลับ! พรุ่งนี้น้ำมันกลุ่มเบนซิน-โซฮอล์ ปรับขึ้น 50 สตางค์
เมื่อวันที่ 15 มกราคม PTT Station ประกาศปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์ทุกชนิดขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร GSH95 Premium ปรับขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร ส่วนกลุ่มดีเซลทุกชนิดคงเดิม มีผล 16 ม.ค. 2567 เวลา 05.00 น. เป็นต้นไป โดยราคาขายปลีกจะเป็น ดังนี้ ULG = 43.14, GSH95 = 35.25, E20 = 33.14, GSH91 = 33.48, E85 = 33.29, พรีเมี่ยม GSH95 = 42.64, HSD-B7 = 29.94, HSD-B10 = 29.94, พรีเมี่ยมดีเซล B7 = 41.54 บาทต่อลิตร โดยราคาขายปลีกข้างต้นยังไม่รวมภาษีบำรุงกรุงเทพมหานคร