พิธา พอใจหลังเข้าไต่สวนคดีถือหุ้นไอทีวี ถ้าพ้นข้อกล่าวหา พร้อมทำหน้าที่ ส.ส.ทันที
https://www.matichon.co.th/politics/news_4339483
พิธา พอใจ หลังเข้าไต่สวนพยานปมถือหุ้นไอทีวี ตอบชัดพร้อมมากหากพ้นข้อกล่าวหา กลับไปทำหน้าที่ ส.ส.ตามเดิม
เมื่อเวลา 11.29 น. วันที่ 20 ธันวาคม ที่ศาลรัฐธรรมนูญ นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ กล่าวภายหลังเข้ารับการไต่สวนกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (ผู้ร้อง) ส่งคำร้องขอให้พิจารณาวินิจฉัยกรณีนาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ผู้ถูกร้อง) เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ว่า เป็นไปตามที่ได้คาดหวังไว้และพอใจ ซึ่งได้มีการไต่สวนครบทุกประการ ในรายละเอียดตนไม่สามารถให้สัมภาษณ์ได้ เพราะจะกลายเป็นการละเมิดศาล แต่ในข้อเท็จจริงตามที่สื่อมวลชนได้มีการนำเสนอกันนั้นมีการยุติการประกอบการของไอทีวี ส่วนการเป็นผู้จัดการมรดกของตนก็ได้มีการไต่สวนจากศาลและฝ่ายกฎหมายของผู้ร้องและผู้ถูกร้องอย่างครบถ้วน ในการให้ข้อมูลมีนายคิมห์ สิริทวีชัย ประธานที่ประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวี นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.
เมื่อถามว่ามีการประเมินน้ำหนักข้อมูลหลักฐานทางฝ่ายตนและผู้ร้องหรือไม่ นาย
พิธากล่าวว่า เรื่องนี้ตนชี้นำไม่ได้ แต่ที่พอจะพูดได้ก็คือตนรู้สึกพอใจ เป็นไปตามที่หวังไว้ทุกประการ ขั้นตอนต่อจากนี้จะเป็นการนัดฟังคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนจะเป็นวันไหนนั้นต้องรอข้อมูลแจ้งจากทางศาล ทั้งนี้ ตนไม่ได้คาดหวังอะไรจากทางศาล แต่ก็มั่นใจว่าจะได้รับความเป็นธรรม คำพิพากษาที่ออกมาก็หวังว่าจะได้กลับไปทำหน้าที่รับใช้ประชาชน อย่างไรก็ตามขอยืนยันว่าการถือหุ้นไอทีวีเป็นการถือแทนในฐานะผู้จัดการมรดก
เมื่อถามย้ำว่า ในฐานะทายาทโดยชอบหุ้นในฐานะ เป็นทายาทโดยชอบธรรมใช่หรือไม่ นาย
พิธากล่าวว่า ตนได้สละเจตนาไปแล้วก่อนเข้าพรรคอนาคตใหม่ และมีการแบ่งปันมรดกกัน ส่วนรายละเอียดคงตอบมากกว่านี้ไม่ได้ เพราะจะกลายเป็นการชี้นำสังคมและละเมิดศาล
เมื่อถามว่ามีการมองว่า ถึงไอทีวีจะไม่ได้ทำสื่อแล้วแต่ก็สามารถกลับมาทำสื่ออีกได้นั้น นายพิธากล่าวว่า ถ้าตามเอกสารต้องดูที่ประธานไอทีวีเคยพูดคุยกันในการประชุมผู้ถือหุ้นในปี 2558-2560 ส่วนในรายละเอียดถามนายคิมห์น่าจะเหมาะสมกว่า ตนพูดแทนไม่ได้ แต่ตามเอกสารที่ออกมาก็จะเห็นว่ามีการยุติการประกอบธุรกิจตั้งแต่ปี 2550 และคลื่นก็ไปอยู่ที่ไทยพีบีเอส ส่วนใบอนุญาตไม่มีแล้ว เพราะฉะนั้นการจะกลับมาประกอบกิจการเดิมก็ยังมีเรื่องคดีความเดิมกับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ที่ศาลปกครองสูงสุด
เมื่อถามว่าเมื่อพ้นข้อกล่าวหาพร้อมที่จะกลับมาทำงานการเมืองทันทีเลยหรือไม่ นาย
พิธากล่าวว่า แน่นอน
"ปดิพัทธ์" รอด มติเอกฉันท์ ศาลรธน.ไม่รับคำร้อง โฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
https://www.thairath.co.th/news/politic/2749192
ศาลรัฐธรรมนูญ มติเอกฉันท์ ไม่รับคำร้องไว้วินิจฉัย คดีโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในโซเชียลฯ "อ๋อง" ปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาคนที่ 1 ชี้ ผู้ร้องไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง
วันที่ 20 ธ.ค. 66 ศาลรัฐธรรมนูญ มติเอกฉันท์ ไม่รับคำร้องไว้วินิจฉัย คดีโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในโซเชียลฯ
"อ๋อง" ปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาคนที่ 1 ชี้ ไม่ปรากฏว่าผู้ร้องถูกละเมิดสิทธิและเสรีภาพ และได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจากการถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพโดยตรงจากการกระทําของผู้ถูกร้อง
นาย
ทรงชัย เนียมหอม (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 (เรื่องพิจารณาที่ ต.50/2566)
นาย
ทรงชัย เนียมหอม (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ว่า นายปฏิพัทธ์ สันติภาดา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพิษณุโลก รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง (ผู้ถูกร้อง) ซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงกระทําการอันเป็นการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยใช้สิทธิพิเศษของตนเอง เป็นการกระทําฝ่าฝืนพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 มาตรา 3 และมาตรา 32 ละเมิดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 4 มาตรา 25 วรรคสามและวรรคสี่ มาตรา 27 และมาตรา 50 (3)
ผลการพิจารณา
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคําร้องและเอกสารประกอบคําร้อง ไม่ปรากฏว่าผู้ร้องถูกละเมิดสิทธิและเสรีภาพ และได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจากการถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพโดยตรงจากการกระทําของผู้ถูกร้องอย่างไร กรณีไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาล รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 46 วรรคหนึ่งและวรรคสอง ซึ่งมาตรา 46 วรรคสาม บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่ง ไม่รับคําร้องไว้พิจารณา ดังนั้นผู้ร้องไม่อาจยื่นคําร้องดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213
ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเป็นเอกฉันท์สั่งไม่รับคําร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย.
พ.ย. ขายกระบะร่วงหนัก พิษหนี้ครัวเรือน ไฟแนนซ์เข้ม สวนทางอีวีป้ายแดงกระฉูด
https://www.matichon.co.th/economy/news_4339556
พ.ย. ขายกระบะร่วงหนัก พิษหนี้ครัวเรือน ไฟแนนซ์เข้ม สวนทางอีวีป้ายแดงกระฉูด
นาย
สุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงยอดการผลิต ยอดขายภายในประเทศ และการส่งออกรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของประเทศ ในเดือนพฤศจิกายน 2566 ว่า ยอดผลิตรถยนต์ทั้งหมด 163,337 คัน ลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2565 คิดเป็น 14.10% เพราะฐานการผลิตสูงในปีที่แล้วจากการได้รับชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์มากขึ้นเพราะการระบาดของโรคโควิด 19 ชะลอตัวลง คนทำงานกลับไปทำงานที่สำนักงานมากขึ้น คอมพิวเตอร์และมือถือขายลดลง
ยอดผลิตรถยนต์เดือนมกราคม – พฤศจิกายน 2566 มีจำนวน 1,708,042 คัน (ไม่รวมบีอีวีเพราะยังไม่ผลิตในไทย) ลดลงจากเดือนมกราคม – พฤศจิกายน 2565 คิดเป็น 0.98%
ด้านยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนพฤศจิกายน 2566 มีจำนวน 61,621 คัน ลดลง 9.76% เพราะยอดขายรถกระบะลดลงถึง 38.8% จากการเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อเพราะหนี้ครัวเรือนสูง
ยอดขายรถยนต์ตั้งแต่เดือนมกราคม – พฤศจิกายน 2566 จำนวน 707,454 คัน ลดลง 7.71%
ขณะที่การส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เดือนพฤศจิกายน 2566 จำนวน 99,609 คัน เพิ่มขึ้น 13.22% เพราะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าดี จึงส่งออกเพิ่มขึ้นในตลาดออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง ยุโรป อเมริกาเหนือ อเมริกากลางและอเมริกาใต้ รวมมูลค่าส่งออก 89,290.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.87%
ยอดการส่งออกรถยนต์เดือนมกราคม – พฤศจิกายน 2566 จำนวน 1,027,234 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว 15.59% รวมมูลค่าส่งออกรถยนต์ทั้งเครื่องยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และอะไหล่ 888,455.95 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.25%
สำหรับยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภทบีอีวี(รถยนต์ไฟฟ้า100%) เดือนพฤศจิกายน 2566 จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 11,290 คัน เพิ่มขึ้น 292.29%
จำนวนนี้เป็นรถยนต์นั่งและรถยนต์ประเภทต่างๆ 8,979 คัน เพิ่มขึ้น 583.33% ขณะที่รถกระบะ รถแวน 36 คัน เพิ่มขึ้น 620% รถยนต์สามล้อรับจ้าง 93 คัน เพิ่มขึ้น 126.83% รถจักรยานยนต์ 2,178 คัน เพิ่มขึ้น 67.93% และรถบรรทุก 4 คัน ซึ่งช่วงปีที่แล้วยังไม่มีการจดทะเบียน
ด้านเดือนมกราคม – พฤศจิกายน 2566 มีบีอีวีจดทะเบียนใหม่สะสม 89,027 คัน เพิ่มขึ้น 391.29% แบ่งเป็น รถยนต์นั่งและรถยนต์ประเภทต่างๆ 66,912 คัน เพิ่มขึ้น 696.38% รถกระบะ รถแวน 177 คัน เพิ่มขึ้น 580.77%
รวมทั้ง รถยนต์สามล้อ 389 คัน เพิ่มขึ้น 82.63% รถจักรยานยนต์ 20,080 คัน เพิ่มขึ้น 127.38% รถโดยสาร 1,211 คัน เพิ่มขึ้น 88.92% และรถบรรทุก 258 คัน เพิ่มขึ้น 3,125%
JJNY : พิธาพอใจหลังเข้าไต่สวน│"ปดิพัทธ์"รอด ศาลรธน.ไม่รับคำร้อง│พ.ย.ขายกระบะร่วงหนัก│ทางเหนือจีนเผชิญสภาพอากาศหนาวจัด
https://www.matichon.co.th/politics/news_4339483
พิธา พอใจ หลังเข้าไต่สวนพยานปมถือหุ้นไอทีวี ตอบชัดพร้อมมากหากพ้นข้อกล่าวหา กลับไปทำหน้าที่ ส.ส.ตามเดิม
เมื่อเวลา 11.29 น. วันที่ 20 ธันวาคม ที่ศาลรัฐธรรมนูญ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ กล่าวภายหลังเข้ารับการไต่สวนกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (ผู้ร้อง) ส่งคำร้องขอให้พิจารณาวินิจฉัยกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ผู้ถูกร้อง) เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ว่า เป็นไปตามที่ได้คาดหวังไว้และพอใจ ซึ่งได้มีการไต่สวนครบทุกประการ ในรายละเอียดตนไม่สามารถให้สัมภาษณ์ได้ เพราะจะกลายเป็นการละเมิดศาล แต่ในข้อเท็จจริงตามที่สื่อมวลชนได้มีการนำเสนอกันนั้นมีการยุติการประกอบการของไอทีวี ส่วนการเป็นผู้จัดการมรดกของตนก็ได้มีการไต่สวนจากศาลและฝ่ายกฎหมายของผู้ร้องและผู้ถูกร้องอย่างครบถ้วน ในการให้ข้อมูลมีนายคิมห์ สิริทวีชัย ประธานที่ประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวี นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.
เมื่อถามว่ามีการประเมินน้ำหนักข้อมูลหลักฐานทางฝ่ายตนและผู้ร้องหรือไม่ นายพิธากล่าวว่า เรื่องนี้ตนชี้นำไม่ได้ แต่ที่พอจะพูดได้ก็คือตนรู้สึกพอใจ เป็นไปตามที่หวังไว้ทุกประการ ขั้นตอนต่อจากนี้จะเป็นการนัดฟังคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนจะเป็นวันไหนนั้นต้องรอข้อมูลแจ้งจากทางศาล ทั้งนี้ ตนไม่ได้คาดหวังอะไรจากทางศาล แต่ก็มั่นใจว่าจะได้รับความเป็นธรรม คำพิพากษาที่ออกมาก็หวังว่าจะได้กลับไปทำหน้าที่รับใช้ประชาชน อย่างไรก็ตามขอยืนยันว่าการถือหุ้นไอทีวีเป็นการถือแทนในฐานะผู้จัดการมรดก
เมื่อถามย้ำว่า ในฐานะทายาทโดยชอบหุ้นในฐานะ เป็นทายาทโดยชอบธรรมใช่หรือไม่ นายพิธากล่าวว่า ตนได้สละเจตนาไปแล้วก่อนเข้าพรรคอนาคตใหม่ และมีการแบ่งปันมรดกกัน ส่วนรายละเอียดคงตอบมากกว่านี้ไม่ได้ เพราะจะกลายเป็นการชี้นำสังคมและละเมิดศาล
เมื่อถามว่ามีการมองว่า ถึงไอทีวีจะไม่ได้ทำสื่อแล้วแต่ก็สามารถกลับมาทำสื่ออีกได้นั้น นายพิธากล่าวว่า ถ้าตามเอกสารต้องดูที่ประธานไอทีวีเคยพูดคุยกันในการประชุมผู้ถือหุ้นในปี 2558-2560 ส่วนในรายละเอียดถามนายคิมห์น่าจะเหมาะสมกว่า ตนพูดแทนไม่ได้ แต่ตามเอกสารที่ออกมาก็จะเห็นว่ามีการยุติการประกอบธุรกิจตั้งแต่ปี 2550 และคลื่นก็ไปอยู่ที่ไทยพีบีเอส ส่วนใบอนุญาตไม่มีแล้ว เพราะฉะนั้นการจะกลับมาประกอบกิจการเดิมก็ยังมีเรื่องคดีความเดิมกับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ที่ศาลปกครองสูงสุด
เมื่อถามว่าเมื่อพ้นข้อกล่าวหาพร้อมที่จะกลับมาทำงานการเมืองทันทีเลยหรือไม่ นายพิธากล่าวว่า แน่นอน
"ปดิพัทธ์" รอด มติเอกฉันท์ ศาลรธน.ไม่รับคำร้อง โฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
https://www.thairath.co.th/news/politic/2749192
ศาลรัฐธรรมนูญ มติเอกฉันท์ ไม่รับคำร้องไว้วินิจฉัย คดีโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในโซเชียลฯ "อ๋อง" ปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาคนที่ 1 ชี้ ผู้ร้องไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง
วันที่ 20 ธ.ค. 66 ศาลรัฐธรรมนูญ มติเอกฉันท์ ไม่รับคำร้องไว้วินิจฉัย คดีโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในโซเชียลฯ "อ๋อง" ปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาคนที่ 1 ชี้ ไม่ปรากฏว่าผู้ร้องถูกละเมิดสิทธิและเสรีภาพ และได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจากการถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพโดยตรงจากการกระทําของผู้ถูกร้อง
นายทรงชัย เนียมหอม (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 (เรื่องพิจารณาที่ ต.50/2566)
นายทรงชัย เนียมหอม (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ว่า นายปฏิพัทธ์ สันติภาดา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพิษณุโลก รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง (ผู้ถูกร้อง) ซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงกระทําการอันเป็นการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยใช้สิทธิพิเศษของตนเอง เป็นการกระทําฝ่าฝืนพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 มาตรา 3 และมาตรา 32 ละเมิดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 4 มาตรา 25 วรรคสามและวรรคสี่ มาตรา 27 และมาตรา 50 (3)
ผลการพิจารณา
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคําร้องและเอกสารประกอบคําร้อง ไม่ปรากฏว่าผู้ร้องถูกละเมิดสิทธิและเสรีภาพ และได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจากการถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพโดยตรงจากการกระทําของผู้ถูกร้องอย่างไร กรณีไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาล รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 46 วรรคหนึ่งและวรรคสอง ซึ่งมาตรา 46 วรรคสาม บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่ง ไม่รับคําร้องไว้พิจารณา ดังนั้นผู้ร้องไม่อาจยื่นคําร้องดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213
ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเป็นเอกฉันท์สั่งไม่รับคําร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย.
พ.ย. ขายกระบะร่วงหนัก พิษหนี้ครัวเรือน ไฟแนนซ์เข้ม สวนทางอีวีป้ายแดงกระฉูด
https://www.matichon.co.th/economy/news_4339556
พ.ย. ขายกระบะร่วงหนัก พิษหนี้ครัวเรือน ไฟแนนซ์เข้ม สวนทางอีวีป้ายแดงกระฉูด
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงยอดการผลิต ยอดขายภายในประเทศ และการส่งออกรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของประเทศ ในเดือนพฤศจิกายน 2566 ว่า ยอดผลิตรถยนต์ทั้งหมด 163,337 คัน ลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2565 คิดเป็น 14.10% เพราะฐานการผลิตสูงในปีที่แล้วจากการได้รับชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์มากขึ้นเพราะการระบาดของโรคโควิด 19 ชะลอตัวลง คนทำงานกลับไปทำงานที่สำนักงานมากขึ้น คอมพิวเตอร์และมือถือขายลดลง
ยอดผลิตรถยนต์เดือนมกราคม – พฤศจิกายน 2566 มีจำนวน 1,708,042 คัน (ไม่รวมบีอีวีเพราะยังไม่ผลิตในไทย) ลดลงจากเดือนมกราคม – พฤศจิกายน 2565 คิดเป็น 0.98%
ด้านยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนพฤศจิกายน 2566 มีจำนวน 61,621 คัน ลดลง 9.76% เพราะยอดขายรถกระบะลดลงถึง 38.8% จากการเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อเพราะหนี้ครัวเรือนสูง
ยอดขายรถยนต์ตั้งแต่เดือนมกราคม – พฤศจิกายน 2566 จำนวน 707,454 คัน ลดลง 7.71%
ขณะที่การส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เดือนพฤศจิกายน 2566 จำนวน 99,609 คัน เพิ่มขึ้น 13.22% เพราะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าดี จึงส่งออกเพิ่มขึ้นในตลาดออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง ยุโรป อเมริกาเหนือ อเมริกากลางและอเมริกาใต้ รวมมูลค่าส่งออก 89,290.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.87%
ยอดการส่งออกรถยนต์เดือนมกราคม – พฤศจิกายน 2566 จำนวน 1,027,234 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว 15.59% รวมมูลค่าส่งออกรถยนต์ทั้งเครื่องยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และอะไหล่ 888,455.95 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.25%
สำหรับยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภทบีอีวี(รถยนต์ไฟฟ้า100%) เดือนพฤศจิกายน 2566 จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 11,290 คัน เพิ่มขึ้น 292.29%
จำนวนนี้เป็นรถยนต์นั่งและรถยนต์ประเภทต่างๆ 8,979 คัน เพิ่มขึ้น 583.33% ขณะที่รถกระบะ รถแวน 36 คัน เพิ่มขึ้น 620% รถยนต์สามล้อรับจ้าง 93 คัน เพิ่มขึ้น 126.83% รถจักรยานยนต์ 2,178 คัน เพิ่มขึ้น 67.93% และรถบรรทุก 4 คัน ซึ่งช่วงปีที่แล้วยังไม่มีการจดทะเบียน
ด้านเดือนมกราคม – พฤศจิกายน 2566 มีบีอีวีจดทะเบียนใหม่สะสม 89,027 คัน เพิ่มขึ้น 391.29% แบ่งเป็น รถยนต์นั่งและรถยนต์ประเภทต่างๆ 66,912 คัน เพิ่มขึ้น 696.38% รถกระบะ รถแวน 177 คัน เพิ่มขึ้น 580.77%
รวมทั้ง รถยนต์สามล้อ 389 คัน เพิ่มขึ้น 82.63% รถจักรยานยนต์ 20,080 คัน เพิ่มขึ้น 127.38% รถโดยสาร 1,211 คัน เพิ่มขึ้น 88.92% และรถบรรทุก 258 คัน เพิ่มขึ้น 3,125%