คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
จขพ สดับธรรม แล้วก็ ปรารภธรรม ด้วยอาการเดิม เป็น คำรบที่สาม สี่ ห้า
จะฟังธรรมจากใครแค่ไหน ก็จะได้อยู่แค่นี้ คือ ได้แต่ สำแดงว่า รู้ธรรม แจ้งธรรม
แล้วก็ พยักหน้ารับ กับตัวเอง หากมี กระจก ก็คงยักคิ้วให้กันและกันด้วย
ดังนั้น
หาก ตั้งใจถามจริงๆว่า ขั้นไหน และ ต้องการให้ ชี้แนะ
ก็จำต้องพูดว่า ขั้นขาดการสดับ ฟังธรรมมาผิด
ยกตัวอย่างคำว่า กาย กาย กาย หาก จขพ เห็นการละกาย คือ ละ หัว ไหล่ ตุ
อันนี้คือ ฟังธรรมมาผิด พวกทำญาน สายฤาษีลิงกัง สอนเอาไว้ผิด นักธรรม
จำนวนมากร้อยละร้อย ภาวนาผิด
หากเป็นคำตถาคต สิ่งใดที่ ผู้อื่นเรียกว่ากาย( แม้นแต่ อรหันตสาวก เรียกว่า กาย)
พระศาสดา เรียกสิ่งนั้นว่า จิต ดังนั้น การละกาย ไม่ใช่เรื่อง ละหัว ไหล่ ตุ
แต่เป็น การละวางจิต อย่างถูกวิธี คือ เห็นจิตเป็นธาตุเกิดจากอำนาจปัจจัย
กำหนดรู้เพียงแค่นี้ ย่อมละวางจิตได้ ไม่สำคัญในจิตอีก ความอมตะจะไม่ถูก
บิดเบือนให้กลายเป็นเรื่อง เข้าๆ ออกๆ นิพพาน รับคณะทัวร์ แจกยิ้ม
รอคนมาชอบ เพราะฉันว่า ฉันก็สวย ภาวนาเก่ง ฯลฯ
เอาแค่ ตัวอย่างเดียว พอนะฮับ แค่คำว่า "กาย กับ จิต" หากสดับแล้ว
ไม่สามารถรักษา คำของตถาคตไว้ได้ เที่ยวไปเชื่อ อรหันตสาวก
ผู้ไม่ฉลาดในมรรค ผู้ไม่ใช่ผู้ที่สามารถแสดงธรรม(หมุนธรรมจักร)
ก็จะโอ้ละพ่อ โดน ฤาษีลิงกังหลอกเอาจังหนับ โดน ปตอ.ปยุต ตาโต
หลอกเอาจังหนับ ไปวันหนึ่งๆ หาทางออกจาก สังสารวัฏ ไม่เจอ
จะฟังธรรมจากใครแค่ไหน ก็จะได้อยู่แค่นี้ คือ ได้แต่ สำแดงว่า รู้ธรรม แจ้งธรรม
แล้วก็ พยักหน้ารับ กับตัวเอง หากมี กระจก ก็คงยักคิ้วให้กันและกันด้วย
ดังนั้น
หาก ตั้งใจถามจริงๆว่า ขั้นไหน และ ต้องการให้ ชี้แนะ
ก็จำต้องพูดว่า ขั้นขาดการสดับ ฟังธรรมมาผิด
ยกตัวอย่างคำว่า กาย กาย กาย หาก จขพ เห็นการละกาย คือ ละ หัว ไหล่ ตุ
อันนี้คือ ฟังธรรมมาผิด พวกทำญาน สายฤาษีลิงกัง สอนเอาไว้ผิด นักธรรม
จำนวนมากร้อยละร้อย ภาวนาผิด
หากเป็นคำตถาคต สิ่งใดที่ ผู้อื่นเรียกว่ากาย( แม้นแต่ อรหันตสาวก เรียกว่า กาย)
พระศาสดา เรียกสิ่งนั้นว่า จิต ดังนั้น การละกาย ไม่ใช่เรื่อง ละหัว ไหล่ ตุ
แต่เป็น การละวางจิต อย่างถูกวิธี คือ เห็นจิตเป็นธาตุเกิดจากอำนาจปัจจัย
กำหนดรู้เพียงแค่นี้ ย่อมละวางจิตได้ ไม่สำคัญในจิตอีก ความอมตะจะไม่ถูก
บิดเบือนให้กลายเป็นเรื่อง เข้าๆ ออกๆ นิพพาน รับคณะทัวร์ แจกยิ้ม
รอคนมาชอบ เพราะฉันว่า ฉันก็สวย ภาวนาเก่ง ฯลฯ
เอาแค่ ตัวอย่างเดียว พอนะฮับ แค่คำว่า "กาย กับ จิต" หากสดับแล้ว
ไม่สามารถรักษา คำของตถาคตไว้ได้ เที่ยวไปเชื่อ อรหันตสาวก
ผู้ไม่ฉลาดในมรรค ผู้ไม่ใช่ผู้ที่สามารถแสดงธรรม(หมุนธรรมจักร)
ก็จะโอ้ละพ่อ โดน ฤาษีลิงกังหลอกเอาจังหนับ โดน ปตอ.ปยุต ตาโต
หลอกเอาจังหนับ ไปวันหนึ่งๆ หาทางออกจาก สังสารวัฏ ไม่เจอ
แสดงความคิดเห็น
ได้ดวงตาเห็นธรรม
เราคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง ทุกคนใช้ชีวิตในโลกมนุษย์ตามมายาของโลกไป แต่ว่าใจเราคิดแต่หาทางหลุดพ้น ได้แต่งเปล่งในใจว่ารู้แล้วเราเห็นแล้วเรามีปัญญาแล้ว
เรารักษาพรหมจรรย์ตอนแรกอยากจะครองเรือนในอนาคตแต่พอรู้แล้วว่าสิ่งที่ยึดติดเราไม่ให้ไปนิพพานคือกามคุณ เราจะมีอารมณ์ความรู้สึกสัมผัสกาย ขันธ์5 เราคิดอยากจะทำความดีไปเรื่อยๆ แล้วเราคิดว่าถ้าความตายมาถึงเราก็สามารถละกายนี้ได้ กายนี้ไม่ใช่ของเรา
เราใช้กายนี้ในทางโลกสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นล้วนเป็นกรรม
ทุกอย่างคือสิ่งมายา เหมือนลงไปเล่นเกมว่าจะผ่านด่านนั้นไหม คนที่รัก แล้วจะเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในวัฏจักรสงสาร นี้อีกล้านๆชัวกัปป เราเกิดความรู้สึกว่ายากหลุดพ้น แต่ก่อนเคยคิดว่าอยากอยู่สวรรค์เป็นเทวดานางฟ้า
แต่พอคิดไปคิดมาทุกสิ่งเป็นสิ่งไม่เที่ยงพอหมดอายุขัยจากภพนั้นๆเราจะเวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยๆ เราจะถือมั่นยึดมั่น ว่านี่ละภพนี้สบายใช้ชีวิตแบบไม่รู้ว่าจะต้องหมดอายุขัย เราละเว้นพยายามรักษาศีล5 ให้ทาน ทุกวันนี้คิดว่าการภาวนากับปานาสติกรรมฐานคือบุญกุศลครั้งใหญ่และการสร้างบารมีให้เราหลุดพ้นจากสรรพสัตว์ เราเบื่อหน่ายและเหนื่อยเกินทนกับโลก ผู้คนผิดศีลและเป็นผู้ไม่หลุดพ้นเราอธิบายไปเขาก็ไม่รู้กับเรา
เขารู้แค่ว่าเขาต้องใช้ชีวิตหาเงินเรียนหนังสือมีความรักไปวันๆ ทั้งๆที่กายนี้ไม่ใช่ของเราทุกๆอย่างมันต้องพลัดพลาดจากกัน ตั้งอยู่และดับไป ของๆทุกๆอย่างไม่ใช่ของเรา เงินมีก็หมดได้ รักได้ก็เลิกรักได้ ของใช้มันดีสุดท้ายก็พัง เราใช้เวลาหลายปีตามหาอะไรอยู่สิ่งของสมมตินี้หรอ พอตายไปภพหน้าสิ่งที่หามาได้ก็ไม่ได้เอาไป มีแต่บุญกับบาปที่ตามไป และทำไมในโลกมนุษย์พวกท่านไม่เคยคำนึงเล่า คิดได้ก็สายเกินไป ภพมนุษย์แสนสั้น ภพนรกกับสวรรค์นานๆแสนๆล้านๆกัปป ภพมนุษย์คือสิ่งที่ต้องเลือกทำอะไรได้อย่างนั้นนี่คือสิ่งที่เรารู้แล้ว