JJNY : 5in1 ณัฐวุฒิรับ อยากเห็นจับมือกัน│'หมูเถื่อน'เข้าไทย 3 ปี│'วรภพ'เย้ยแค่โปรโมชั่น│ดัชนี MPI ดิ่ง│ปาเลสไตน์กราดยิง

ณัฐวุฒิ ชี้นิรโทษฯ ต้องรวม 112 ให้ทุกฝ่ายตั้งต้นใหม่ รับอยากเห็น พท.-ก้าวไกล จับมือกัน
https://www.matichon.co.th/politics/news_4308408
 
 
ณัฐวุฒิ ชี้นิรโทษฯ ต้องรวม 112 ให้ทุกฝ่ายตั้งต้นใหม่ รับอยากเห็น พท.-ก้าวไกล จับมือกัน
 
เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนำนปช. คนเสื้อแดง ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ The Politics ทางมติชนทีวี ถึงจุดยืนต่อการนิรโทษกรรม ตอนหนึ่งว่า ส่วนตัวเห็นด้วยว่า พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ต้องรวมคดีในมาตรตรา 112 เพื่อปลดเปลื้องพันธนาการทางคดีความ ให้กับคนทุกกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการเมือง ทำให้คนทุกฝ่ายกลับคืนสู่จุดเริ่มต้น แล้วตั้งต้นกันใหม่
 
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
คำว่านิรโทษกรรมสำหรับเพื่อไทยเป็นของแสลง ถ้าสังเกตตั้งแต่หาเสียงไม่มีการพูดถึงเลย เพราะพูดแล้วเหมือนเป็น killing Zone แต่ในปัจจุบันจำนวนคนที่เจออะไรแบบนี้มีมากขึ้น เงื่อนไขทางความคิดซับซ้อนขึ้นมองด้วยหลักการ เรื่องการนิรโทษกรรม ทุกคนทุกฝ่าย ทุกพรรคทางการเมือง และตนพูดชัดมาตลอดว่า ต้องรวมทุกคดีความ ทุกข้อกล่าวหา ยกเว้นเรื่องทุรจริต คอร์รัปชั่นและเรื่องความผิดอันถึงแก่ชีวิต มาตรตรา 112 จำเป็นต้องได้รับนิรโทษกรรมในคราวเดียวกันนี้เสียด้วย” นายณัฐวุฒิ กล่าว
 
นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า สำหรับท่าทีของพรรคเพื่อไทยในหลักการ ก็ควรเห็นด้วยที่จะให้มีกฎหมายนิรโทษกรรม จึงเห็นว่า พรรครัฐบาลควรเสนอร่างกฎหมายประกบ และควรที่จะตั้งเข็มมุ่งในการที่จะทำให้คนทุกฝ่ายกลับคืนสู่จุดเริ่มต้น ไม่ใช่ใช้ความเมตตาของผู้มีอำนาจเป็นตัวตั้ง เอาลูกหลานออกจากคุก
 
ทั้งนี้ ถ้าสังเกตน้องๆที่เคลื่อนไหว จะเรียกว่าบทเรียน หรือชะตากรรมที่ประสบพบเจอ เขาเกิดการเรียนรู้ เกิดประสบการณ์ที่เพียงพอที่เราจะวางไม้ วางแส้ แล้วเอามือเปล่าๆไปกอดพวกเขาไว้หรือยัง อาจถึงเวลาตั้งหลักกันใหม่แล้วจริงๆก็ได้ แล้วให้ผู้รู้ คณะกรรมการอะไรก็ตามมาดูการบังคับใช้กฎหมายนี้ให้ชอบด้วยหลักนิติธรรม อย่าให้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ในการหาประโยชน์ หรือทำร้ายใครๆ ได้อีก
 
เพื่อไทยกับก้าวไกล ลองคุยกันดีๆ รับฟังกันมากๆ แล้วคิดถึงอนาคตบ้านเมืองมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลาคุยกันอย่าปล่อยมือเด็ก อย่าปล่อยมือลูกหลานที่ประสบชะตากรรมกันอยู่ลำพัง และเวลาสถานการณ์มันอาจจะค่อยๆ คลี่คลายกันได้ แต่อย่าให้เป็นวาระของผมคนเดียวเลย ช่วยกันคิดเถอะ” นายณัฐวุฒิ กล่าว 
 
เมื่อถามถึงกรณีที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ออกมาระบุว่า การเมืองไทยหนีไม่พ้นที่เพื่อไทยกับก้าวไกลต้องทำงานร่วมกัน นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ตนมองมุมเดียวกับนายธนาธร ที่ในอนาคตพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยอาจยังต้องจับมือกันอีกครั้ง เพราะกลไกอำนาจประเทศนี้ ไม่ยอมให้พรรคไหนหลุดเดี่ยว เพราะอย่างไรก็ตาม ประเทศไทยในระยะสั้นนี้ ยังต้องเป็นรัฐบาลผสม และเนื่องจากแต่ละพรรคมีจุดแข็งจุดอ่อนในตัวของตัวเอง ว่ากันด้วยเกมการเมือง ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีทั้งหลาย สู้กันให้เต็มที่ แต่อย่าล้มมวย อย่าถึงขั้นเป็นศัตรู ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบกัน ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องสร้างพันธมิตร สะสมแนวร่วม เพื่อเป้าหมาย เดินเข้าสู่อำนาจ
 
การเมืองไม่ใช่แก้ว ถ้าบอกว่าร้าวแล้ว ไม่สามารถจับมือทำเรื่องสร้างสรรค์อีก พูดแบบนั้นประชาชนจะวังเวง วันหน้าพรรคการเมืองจะเข้าใจเองว่า จะต้องตัดสินใจอย่างไร เพื่อตอบโจทย์หลักของพรรค คือการเข้าสู่อำนาจบริหาร แล้วเอาอำนาจนั้นมาตอบโจทย์ประชาชน ตามนโยบายที่ประกาศเอาไว้ เพื่อขยับสังคมไปข้างหน้า เชื่อว่าคนส่วนใหญ่อยากเห็นความร่วมมือกันของทั้งสองฝ่ายที่จะผลักดันนโยบายดีๆ เชื่อว่า ตอนนี้อยู่ในจุดที่ทำได้ ก็หวังใจว่า ถ้าใช้เหตุผล ข้อเท็จจริงมาคุยกัน อาจจะเกิดแนวทางแบบนั้นขึ้นก็ได้” นายณัฐวุฒิกล่าว

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ



ย้อนรอย 'หมูเถื่อน' แฉลักลอบเข้าไทยมา 3 ปีแล้ว ช็อกทะลักหมื่นตู้ รัฐบาลลุยกวาดล้าง
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7989046
‘หมูเถื่อน’ อีกประเด็นที่รัฐบาลเดินหน้าลุยกวาดล้างและปราบปรามอย่างจริงจัง
 
ถึงแม้รัฐบาล ‘เศรษฐา ทวีสิน’ จะเพิ่งเข้ามาทำงานบริหารประเทศได้เพียง 2 เดือนกว่า แต่ประเด็นหมูเถื่อน ถือเป็นอีกเรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญ
 
เห็นได้จากท่าทีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่กำชับสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ และกรมปศุสัตว์ ให้เร่งตรวจสอบหาถึงต้นตอที่มาที่ไปของหมูเถื่อน
 
จนนำมาสู่การจับกุม 5 บริษัทนำเข้าหมูเถื่อนและบริษัทชิปปิ้ง ที่ดีเอสไอตรวจสอบและขยายผล
 
เรื่องนี้นายเศรษฐา ทวีสิน เคยออกมาระบุด้วยว่า ปมหมูเถื่อนอยากให้เร่งดำเนินการโดยเร็วที่สุด และดำเนินคดีต่อผู้ทำผิดกฎหมาย โดยเน้นไปที่รายใหญ่
 
“เน้นจับกุมต้นตอรายใหญ่ให้ได้ เพื่อจะได้จบปัญหา เพราะหากจับกุมรายเล็ก ปัญหาก็ไม่มีวันจบสิ้น”
 
การที่นายกรัฐมนตรีต้องลงมาสั่งการด้วยตัวเองหลายต่อหลายครั้ง แสดงให้เห็นว่า หมูเถื่อนเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องเร่งสะสางและรัฐบาลให้ความสำคัญ
 
หากย้อนกลับไปดูจะพบข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับหมูเถื่อน
 
โดยจะพบว่า หมูเถื่อน ที่แพร่ระบาดเข้ามาในประเทศไทย ไม่ได้เพิ่งมาเกิดขึ้นในรัฐบาลเศรษฐาที่เพิ่งบริหารประเทศได้เพียง 2 เดือนกว่า
แต่พบว่า หมูเถื่อนแพร่ระบาดเข้ามาในประเทศไทยเป็นเวลากว่า 3-4 ปีแล้ว
 
ดูได้จากข้อมูลของกรมศุลกากร เมื่อวันที่ 17 ต.ค.2566 ระบุถึงสถิติการจับกุมการลักลอบและหลีกเลี่ยงศุลกากรกรณีเนื้อหมู
 
• ปี 2564 จับกุม 14 ราย น้ำหนัก 236,177 กิโลกรัม
• ปี 2565 จับกุม 25 ราย น้ำหนัก 431,660 กิโลกรัม
• ปี 2566 จับกุม 181 ราย น้ำหนัก 4,772,073 กิโลกรัม
 
รวม 3 ปี มีหมูเถื่อนที่เข้าไทย 5,439,910 กิโลกรัม หรือ 5,439 ตัน
 
ไม่หมดแค่นั้น ดีเอสไอ ยังออกมาระบุข้อมูลที่สอดคล้องกัน เมื่อพ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เรียกประชุมผู้บริหารและทีมทำคดีหมูเถื่อน
 
จากการประชุมมีข้อมูลด้วยว่า ที่ประชุมพิจารณารับเรื่องร้องทุกข์ใหม่ กรณีที่บริษัทนำเข้า หมูเถื่อน ซึ่งไม่ใช่กลุ่มบริษัทเดิม กำลังถูกดำเนินคดี 10 ราย จำนวน 161 ตู้ แต่เป็นกลุ่มบริษัทใหม่ จึงขออนุมัติออกเลขสอบสวนเพิ่ม
 
การสืบสวนสอบสวนเชิงเอกสารระบุว่า การนำเข้าหมูเถื่อนของกลุ่มบริษัทดังกล่าว พบข้อมูลการนำเข้าตั้งแต่ปี 2563-2566 ที่ตกใจคือจำนวนน่าจะสูงถึง 10,000 ตู้
 
ที่สำคัญเป็นการนำเข้าแบบสำแดงเท็จ ทำให้รัฐสูญเสียภาษีนำเข้ามหาศาล
 
นอกจากนี้ยังพบหมูเถื่อนตกค้างอยู่ที่ท่าเรือแหลมฉบัง และถูกนำไปฝังกลบแล้ว โดยกรมปศุสัตว์ ประกอบด้วย
 
วันที่ 22 พ.ย.66 จำนวน 10 ตู้ วันที่ 23 พ.ย.66 จำนวน 20 ตู้ วันที่ 24 พ.ย.66 จำนวน 30 ตู้
 
วันที่ 25 พ.ย.66 จำนวน 30 ตู้ วันที่ 26 พ.ย.66 จำนวน 30 ตู้ วันที่ 27 พ.ย.66 จำนวน 20 ตู้
 
จากข้อมูลของดีเอสไอและกรมศุลกากรที่ร่วมกันจับกุมหมูเถื่อน สะท้อนให้เห็นภาพว่า ตลอดระยะเวลา 3-4 ปีที่ผ่านมา พบหมูเถื่อนระบาดและลักลอบนำเข้ามาในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากผลจับกุมและการกวาดล้างที่มีมา
 
ทำให้เป็นอีกประเด็นสำคัญ ที่รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน พร้อมเปิดหน้าชนและเลือกที่จะไม่ปล่อยผ่าน ‘หมูเถื่อน’
 

 
'วรภพ' เย้ยนโยบายลดค่าไฟแค่โปรโมชั่น แนะรัฐบาลแก้ที่ต้นตอโครงสร้างราคาพลังงาน
https://voicetv.co.th/read/aRiDdNcXu

'วรภพ' เย้ยรัฐบาลหมดโปรโมชัน ลดค่าไฟได้แค่ 4 เดือน แค่เลื่อนจ่ายหนี้ กฟผ. ทำปีหน้าค่าไฟพุ่ง 69 สตางค์ต่อหน่วย แนะนายกฯ แก้ต้นตอ อย่าสานต่อปัญหารัฐบาลที่แล้ว
 
วันที่ 30 พ.ย. ที่อาคารรัฐสภา วรภพ วิริยะโรจน์ สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและบริหารจัดการงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึง กรณีการขึ้นค่าไฟในช่วง ต้นปีหน้า เดือน ม.ค. ถึง เม.ย. ที่อาจส่งผลให้ค่าไฟ เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 69 สตางค์ต่อหน่วย 
 
โดย วรภพ ระบุว่า ช่วงที่รัฐบาลเข้ามาทำงานก็ประกาศว่าเป็นผลงาน ที่ลดไป 46 สตางค์ต่อหน่วย แต่ความจริงเป็นการเลื่อนการจ่ายหนี้ ที่ค้างชำระ กฟผ. ออกไป จึงถือว่าเป็นโปรโมชั่น ลดได้แค่ 4 เดือน ทั้งนี้ ต้นตอโครงสร้าง ที่รัฐบาลยังไม่ได้แก้ไข และมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มทุนต่างๆ จึงกลายเป็นความจริงที่ว่า ประชาชนต้องมาแบกรับค่าไฟเหมือนเดิม โดยเฉพาะในเดือนมีนาคมถึงเมษายนที่เป็นช่วงหน้าร้อน แต่ค่าไฟกลับแพงขึ้น ประชาชนต้องมารับผลกระทบ 
 
วรภพ กล่าวว่า เราจึงไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลจะมองว่าการลดค่าไฟเป็นโปรโมชั่นสั้นๆ แต่ต้นต่อไม่ได้มีการแก้ไขเลย โดยเฉพาะเรื่องนโยบายก๊าซธรรมชาติ ซึ่งพรรคแกนนำรัฐบาลเองก็เคยหาเสียงเรื่องนี้ไว้ รวมถึงพรรคก้าวไกลเคยเสนอว่า ก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทย จะมีราคาถูกกว่า ควรนำมาเฉลี่ยเป็นต้นทุน ให้กับโรงไฟฟ้า เพื่อให้ค่าไฟของประชาชนถูกลง แต่ตอนนี้ประชาชน ต้องมาแบกรับต้นทุน ค่านำเข้าก๊าซ LNG จากต่างประเทศทั้งหมด ซึ่งนี่คือต้นตอของโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรม

วรภพ ยังกล่าวถึงปัญหาอีกส่วนหนึ่งว่า โรงไฟฟ้าที่มีกำลังผลิตมากเกิน เกือบ 60% ที่ไม่ได้เดินเครื่อง แต่รัฐบาลไม่ได้ริเริ่มแก้ไขสัญญาที่ไม่เป็นธรรมส่วนนี้เลย จึงต้องเสียค่าความพร้อมจ่ายให้กับโรงไฟฟ้าเหล่านี้ ซ้ำรัฐบาลยังสานต่อ การรับซื้อพลังงานไฟฟ้าเพิ่ม ต่อเนื่องจากรัฐบาลที่แล้ว ที่ซื้อพลังงานหมุนเวียน 5,200 เมกะวัตต์ แม้จะอ้างว่าเป็นพลังงานหมุนเวียน พอได้มีคำสั่งแต่ศาลปกครองก็ได้มีคำสั่งทุเลาชั่วคราวออกมาแล้ว เพราะกระบวนการรับซื้อไม่โปร่งใสไม่เป็นธรรม อาจสร้างความเสียหายให้กับประเทศได้ แต่รัฐบาลกลับไม่มีทีท่าที่จะเปลี่ยนหรือทบทวน และเรื่องนี้ยังไม่มีคำตอบจากนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง 
 
วรภพ ยังระบุว่า ตนได้สอบถามเพิ่มเติมไปยัง กฟผ. ว่า โครงการจัดซื้อพลังงานดังกล่าว จะเริ่มขึ้นในเดือนเมษายนนี้ นายกรัฐมนตรีจึงมีเวลาที่จะทบทวนโครงการนี้ เพื่อให้ประชาชนไม่ต้องเสียค่าไฟแพงบนความร่ำรวยของเจ้าสัวบางคน ไม่ควรสานต่อสิ่งที่รัฐบาลชุดที่แล้วทำมา จึงอาจเป็นเหมือนที่หัวหน้าพรรคก้าวไกลเคยพูดว่า นี่คือส่วนต่อขยายของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ 
 
เมื่อถามว่าหากรัฐบาลเลือกใช้วิธีการ ยืดหนี้ กฟผ. เพื่อตรึงราคาค่าไฟจะคุ้มค่ากับ งบประมาณที่ต้องเสียไปหรือไม่ วรภพ กล่าวว่า อาจชะลอราคาค่าไฟได้ชั่วคราว แต่ก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม เพราะเป็นเหมือนมาตรการระยะสั้น ที่ต้องมาลุ้นกันทุกสี่เดือน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่