เป็นคลิปสั้นๆ นะครับ ของเจนนิเฟอร์ บริโต ที่ใช้การรักษาทางเลือกในการรักษาลูกสาวให้หายเป็นออทิสติก
ข้อมูลทาง academics หรือ mainstream ทำให้เราเชื่อว่าโรคนี้ไม่มีทางรักษานะครับ
ปัจจุบันมีคนส่วนน้อยเท่านั้นที่จะหายจากโรคนี้ เพราะข้อมูลรอบด้านที่เราเจอกันปกติจะบอกว่ารักษาไม่ได้
มีเจ้าของบริษัทคนหนึ่งที่เคยมาติดต่อผม อ่านหนังสือค้นคว้าเอง แล้วก็บินไปรักษาเมืองนอก ก็ช่วยให้ลูกชายหายได้ครับ
ตัวผมเองก็ใช้วิธีเดียวกันในการศึกษาเองอ่านเอง ก็รักษาให้ลูกหายจากโรคติกส์ที่เขาเป็นรุนแรงมากๆ ได้เช่นกัน
มันก็จะเป็นหลักฐานส่วนหนึ่งนะครับว่า สิ่งที่ academics หรือ mainstream บอกมานั้น ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป
ก็อยากจะสนับสนุนคนที่สนใจค้นคว้าว่า คุณตัดสินใจถูกแล้วครับ ที่สนใจการอ่านหนังสือและการค้นคว้าด้วยตัวเอง
ผมอยากจะให้ทุกคนเปลี่ยน mindset เรื่องที่ว่าโรคออทิซึมรักษาไม่ได้นะครับ เพราะมันรักษาได้
ติดตามผมที่ผมจะมาลงเรื่อยๆ หรือเข้าไปติดตามที่ช่อง youtube ก็ได้ จะได้เตือนเวลาที่ผมลงคลิปใหม่
ไม่งั้นผมคงต้องตามหาคนที่สนใจข้อมูลนี้ไปเรื่อยๆ อย่างยากลำบากเพื่อให้พวกเขาได้ดูได้เห็น
ซึ่งข้อมูลที่ขัดแย้งกับ academics หรือ mainstream แบบนี้จะไม่ค่อยปรากฎให้เห็นในอัลกอริธึมของโซเชียลมีเดียส่วนใหญ่นะครับ
*ขอเล่าเพิ่มเติม
เจ้าของบริษัทคนนั้น พยายามจะบอกเล่าให้กับคนอื่นๆ ในศูนย์ของเด็กที่เป็นออทิสติกเกี่ยวกับความสำเร็จของเขา
แต่น่าแปลกที่ไม่มีใครในศูนย์นั้นทำตามเขาเลยสักคน
ซึ่งคำอธิบายที่เขาได้รับรู้ก็คือ คนทั่วไปคิดว่าการขับสารพิษโลหะหนักเป็นสิ่งที่อันตราย
เช่นเดิมก็คือ ข้อมูลทาง academics หรือ mainstream อาจจะทำให้คนทั่วไปเชื่อเช่นนั้น
คำถามก็คือ แล้วคนอย่างพวกเราที่ศึกษาค้นคว้าเองไม่กลัวกันหรือยังไง ทำไปถึงกล้าขับสารปรอทให้ลูก
ต้องขออธิบายในที่นี้ว่า ไม่ว่าใครก็ต้องพาลูกไปให้หมอรักษาให้เรียบร้อยก่อน
ซึ่งหมอก็รักษาโรคอย่างติกส์ หรือออทิซึมไม่ได้ใช่ไหมครับ
หลังจากที่เราพึ่งการรักษาของหมอไม่ได้ เราก็เลยต้องมาศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมครับ
สำหรับจ้าของบริษัทคนนั้น เขาอาจจะอ่านหนังสือต่างประเทศที่เขียนโดยหมอสักคน
ที่ไม่ได้เป็นแนว mainstream และเขามีเงินที่จะสามารถไปหาหมอที่รักษา
โรคออทิซึมด้วยการขับสารพิษได้โดยเฉพาะตามที่เขียนในหนังสือนั้น
แต่สำหรับผม เนื่องจากความรู้ทาง academics หรือ mainstream ทั้งหลาย
ไม่เคยพูดถึงสาเหตุที่แท้จริงของโรคเลย ว่าเกิดขึ้นกับลูกผมได้อย่างไร
มันเหมือนเป็นหัวข้อที่ละไว้ในฐานเข้าใจ เพราะเป็นเรื่องที่ยังค้นไม่พบ
และยังให้ข้อมูลที่เป็นความเชื่อทางการแพทย์มาให้ด้วย ว่ามีสาเหตุจากอะไรบ้าง
เมื่ออ่านดูแล้ว ก็ดูเหมือนว่า คงจะรักษาให้หายไม่ได้แน่นอนครับ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับพันธุกรรม
(ลูกผมเป็นทั้งติกส์และออทิสติก โรคแรกหายไปแล้ว
แต่โรคที่สองดีขึ้นมากแต่อาจจะยังไม่หาย 100% เพราะยังรักษาไม่เสร็จ)
แต่ก็ยังอยากหาสาเหตุที่แท้จริงให้ได้ เพราะที่เขาเขียนก็ระบุว่าเป็น "ความเชื่อในทางการแพทย์"
ถ้าหากเป็นความเชื่อ แสดงว่ายังไม่ใช่ข้อเท็จจริง ผมจึงเริ่มสืบจากประวัติของลูกเรา
ว่าเคยไปเจออะไรมาบ้าง กินอะไรมาบ้าง ลองกินลองไม่กินอาหารบางชนิด
จนรู้ว่า มันคืออาการของยีสต์ ที่มีขึ้นมีลงอยู่ในกระแสเลือด ซึ่งก็เกี่ยวกับเรื่องภูมิแพ้อาหารแฝงด้วย
มันหลาย ๆ อย่างรวมกัน แต่ถ้าเราโฟกัสไปที่ยีสต์ เราเห็นแล้วว่าเรามีโอกาสคุมอาการได้เกือบหมด
หมอไม่คุยกันเรื่องยีสต์ครับ ไม่คุยเลย และเมื่อเข้าไปคุยกับหมอ หมอก็ทำหน้างง ๆ
และในที่สุดเราก็สืบไปจนพบต้นเหตุที่ทำให้ยีสต์มันเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ
ซึ่งนั่นก็คือปรอทที่ร่างกายของเรากักเก็บเอาไว้ เมื่อเช็คประวัติ เช็คระดับสารพิษของตัวพ่อแม่
ทุกอย่างมันแมชท์หมด และจากการศึกษามันค่อนข้างแน่ชัดว่า คนส่วนใหญ่ก็สะสมปรอท
อยู่ในเซลล์ในระดับที่สูงกันทั้งนั้นครับ ตรวจเลือดจะไม่เจอ ตรวจผมอาจจะเจอบ้าง
แต่ที่เจอเหมือน ๆ กัน คือผมจะบอกว่า แร่ธาตุคุณดูไม่ค่อยเวิร์ค ดูผิดเพี้ยน ดูเหมือนขาดสารอาหาร
และมักจะพบ พวกภูมิแพ้ ภูมิแพ้อาหารแฝง ปัญหาลำไส้ เหนื่อยง่าย อ่อนล้าเรื้อรัง
อาจจะเป็นไม่หมดทุกอย่าง แต่เป็นได้หลายอย่าง
ดังนั้นวิธีการของเราเป็นการเช็คแบบวิทยาศาสตร์ แต่แค่ไม่เชื่อ academics หรือ mainstream
เท่านั้นเองครับ เมื่อเราค้นคว้าข้อมูลไปแล้ว จนรู้มากขึ้น เข้าใจมากขึ้น สิ่งที่เรียกว่าความกลัว
มันก็ไม่ใช่ของจริง ว่ามันน่ากลัวจริงๆ เพราะเช่นกันผมก็ต้องศึกษาค้นคว้าเพื่อหา
วิธีการขับสารปรอทที่ปลอดภัย
ที่จริงผมก็เคยไปโรงพยาบาลเพื่อให้หมอขับสารปรอทให้
และลองทำไปแล้วโดยที่ยังไม่ได้ศึกษา เมื่อมีบางโดสที่ลืมกินยา ก็ทำให้ได้สติขึ้นมา
ว่าไม่กลัวเหรอ ที่ทำไปโดยไม่ศึกษาเรื่องนี้เลย ก็เลยต้องกลับมาศึกษาเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
จนรู้ข้อมูลทางด้านเคมีเกี่ยวกับยาที่ใช้ ข้อควรระวังอะไรต่างๆ ทั้งหมด ที่พบว่า
ที่โรงพยาบาลละเลยในเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด โดยเฉพาะการไม่กินยาตามระยะครึ่งชีวิต
แล้ว ALA พาปรอทไปกำจัดออกจากร่างกายไม่ทัน หมดฤทธิ์ของมัน แล้วปรอทเกิดการย้อนกลับ
ซึ่งเรื่องนี้นี่เองที่เป็นต้นเหตุให้ เรื่องของการขับสารพิษเป็นเรื่องที่อันตรายมาก
เพราะการรักษาตามปกติ ไม่เคยสนใจเรื่องระยะครึ่งชีวิตของยาเลย
และไม่สนใจด้วยว่า สารพิษจะถูกพาไปกำจัดออกจากร่างกายได้ทันหมดฤทธิ์ยาหรือไม่
แล้วอวัยวะที่เกี่ยวข้องจะมีความเครียดหรือไม่ ถ้ามีการพาสารพิษลงมาในกระแสเลือดเยอะ
เรื่องของคุณเจนนิเฟอร์ บริโต ก็จะมาจากเพจของคัทเลอร์ ที่ใส่ใจในเรื่องนี้เป็นหลัก
ซึ่งมันช่วยให้การรักษาปลอดภัยอย่างมาก ถ้าหากไม่ปลอดภัยก็ต้องมีเหตุผลทางเคมี
เราซึ่งอยู่ในฝั่งที่รู้ และมีสิ่งที่เหมือนเป็น clinical trial มาร่วม 20 ปี กับคนหลายหมื่นคน
มันค่อนข้างแน่ชัดทั้งในด้านข้อมูลและการปฏิบัติจริง
บอกตามตรงว่าถ้าดูตามนี้ มันยังดูปลอดภัยกว่าวัคซีนล่าสุดที่รีบวิจัยและผลิตออกมาขายให้คนทั่วโลก
ใช้อย่างมาก ตัวนั้นดีกว่าแค่ มีหมอช่วยยืนยันคอนเฟิร์มให้ฉีด แต่ผลกระทบตามมาเยอะมาก
งานศึกษาก็เริ่มทะยอยออกมาให้เห็นเรื่อยๆ แล้วว่า มันร้ายแรงขนาดไหน
แต่มนุษย์เรายังมีความสุขกับเรื่องของความเชื่อ หรือสิ่งที่ฟังแล้วรู้สึกสบายใจ
เราก็พร้อมที่จะทำไป และความสูญเสียก็เกิดขึ้นตามมา ผมคงไม่ต้องบอกว่าอะไรเพราะมันยาว
แต่มันทำให้มีคนตายแน่นอน อันนี้เรื่องจริง ในขณะที่วิธีการขับสารพิษแบบตามระยะครึ่งชีวิตนี้
มีความรัดกุม มีระยะเวลาพิสูจน์ มีข้อมูลกระจ่างชัดทุกอย่าง เพียงแต่คุณต้องอ่านหนังสือเท่านั้น
เพื่อให้มันเห็นจุดเชื่อมโยงอะไรต่างๆ
"แต่มันยังไม่มีงานวิจัยรับรองแบบปกติเพราะมันเป็นลักษณะของผลกระทบ epigenetics"
ซึ่งมันเป็นไม้เบื่อไม้เมาที่ทำให้หมอหรือ academics / mainstream มารับรู้ข้อมูลนี้
มันก็คล้ายกับที่นักฟิสิกส์คลาสสิกรู้สึกไม่ค่อยโอเคกับฟิสิกส์ควอนตัม
เพราะมันเกี่ยวข้องกับความไม่แน่นอน เช่น
สมมติว่า เราพูดไม่ได้ว่าวัคซีนทำให้ตายหรือพิการ มันไม่มีหลักฐาน
แต่จากพยานหลักฐานแวดล้อมและระยะเวลาการเกิดขึ้น
เราสามารถพูดได้ว่า มันอาจมีส่วนเกี่ยวข้องที่กระตุ้นให้เกิดขึ้น
ชาวบ้านจะเข้าใจทันทีว่าวัคซีนทำให้ลูกเขาตาย เพราะฉีดไปแล้ววันรุ่งขึ้นอยู่ๆ ก็ตาย
แต่หมอจะไม่เข้าใจแบบนั้น พวกเขาจะมองว่าเป็นความบังเอิญ
จะโอกาสน้อยแค่ 1 ในล้านล้านล้านล้าน ไม่ว่าจะกี่ล้าน นั่นก็อาจจะเป็นแค่ความบังเอิญ
และเมื่อชันสูตรก็จะพบสาเหตุนั้นสาเหตุนี้ แต่โยงไปไม่ถึงวัคซีนสักที
ทั้งที่ผลกระทบของวัคซีน อาจเป็นแบบ systemic หรือแบบที่ทำให้หลายๆ
ส่วนในร่างกายเกิดขัดข้อง สุดท้าย ชาวบ้านคนนั้นก็ได้รับเงินชดเชยได้จากการได้รับผลกระทบหลังฉีด
แต่เขาก็จะไม่ถือว่า วัคซีนทำให้คนๆ นั้นตายอยู่ดี
นี่คือช่องว่าง ของสิ่งที่เกิดขึ้นจากผลกระทบทาง epigenetics
ดังนั้นถ้าคุณตรวจประวัติของตัวเองแล้วมันใช่ นั่นคือสิ่งที่ยืนยันได้สำหรับคุณ
ว่ามันเป็นประสบการณ์เฉพาะตัว ที่ผลกระทบทาง epigenetics
ทำให้เกิดสิ่งนั้นขึ้นกับคุณครับ เห็นไหมครับว่า เราพึ่งพาหมอได้ถึงแค่ไหน
และเลยจุดไหนไปแล้ว คุณควรจะพึ่งพาตนเอง
นี่ก็คือสิ่งที่ผมอยากจะอธิบายเพิ่มเติมให้ฟังสำหรับกระทู้นี้ครับ ยาวไปนิด
หลักฐาน: หายจากโรคออทิซึม
เป็นคลิปสั้นๆ นะครับ ของเจนนิเฟอร์ บริโต ที่ใช้การรักษาทางเลือกในการรักษาลูกสาวให้หายเป็นออทิสติก
ข้อมูลทาง academics หรือ mainstream ทำให้เราเชื่อว่าโรคนี้ไม่มีทางรักษานะครับ
ปัจจุบันมีคนส่วนน้อยเท่านั้นที่จะหายจากโรคนี้ เพราะข้อมูลรอบด้านที่เราเจอกันปกติจะบอกว่ารักษาไม่ได้
มีเจ้าของบริษัทคนหนึ่งที่เคยมาติดต่อผม อ่านหนังสือค้นคว้าเอง แล้วก็บินไปรักษาเมืองนอก ก็ช่วยให้ลูกชายหายได้ครับ
ตัวผมเองก็ใช้วิธีเดียวกันในการศึกษาเองอ่านเอง ก็รักษาให้ลูกหายจากโรคติกส์ที่เขาเป็นรุนแรงมากๆ ได้เช่นกัน
มันก็จะเป็นหลักฐานส่วนหนึ่งนะครับว่า สิ่งที่ academics หรือ mainstream บอกมานั้น ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป
ก็อยากจะสนับสนุนคนที่สนใจค้นคว้าว่า คุณตัดสินใจถูกแล้วครับ ที่สนใจการอ่านหนังสือและการค้นคว้าด้วยตัวเอง
ผมอยากจะให้ทุกคนเปลี่ยน mindset เรื่องที่ว่าโรคออทิซึมรักษาไม่ได้นะครับ เพราะมันรักษาได้
ติดตามผมที่ผมจะมาลงเรื่อยๆ หรือเข้าไปติดตามที่ช่อง youtube ก็ได้ จะได้เตือนเวลาที่ผมลงคลิปใหม่
ไม่งั้นผมคงต้องตามหาคนที่สนใจข้อมูลนี้ไปเรื่อยๆ อย่างยากลำบากเพื่อให้พวกเขาได้ดูได้เห็น
ซึ่งข้อมูลที่ขัดแย้งกับ academics หรือ mainstream แบบนี้จะไม่ค่อยปรากฎให้เห็นในอัลกอริธึมของโซเชียลมีเดียส่วนใหญ่นะครับ
*ขอเล่าเพิ่มเติม
เจ้าของบริษัทคนนั้น พยายามจะบอกเล่าให้กับคนอื่นๆ ในศูนย์ของเด็กที่เป็นออทิสติกเกี่ยวกับความสำเร็จของเขา
แต่น่าแปลกที่ไม่มีใครในศูนย์นั้นทำตามเขาเลยสักคน
ซึ่งคำอธิบายที่เขาได้รับรู้ก็คือ คนทั่วไปคิดว่าการขับสารพิษโลหะหนักเป็นสิ่งที่อันตราย
เช่นเดิมก็คือ ข้อมูลทาง academics หรือ mainstream อาจจะทำให้คนทั่วไปเชื่อเช่นนั้น
คำถามก็คือ แล้วคนอย่างพวกเราที่ศึกษาค้นคว้าเองไม่กลัวกันหรือยังไง ทำไปถึงกล้าขับสารปรอทให้ลูก
ต้องขออธิบายในที่นี้ว่า ไม่ว่าใครก็ต้องพาลูกไปให้หมอรักษาให้เรียบร้อยก่อน
ซึ่งหมอก็รักษาโรคอย่างติกส์ หรือออทิซึมไม่ได้ใช่ไหมครับ
หลังจากที่เราพึ่งการรักษาของหมอไม่ได้ เราก็เลยต้องมาศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมครับ
สำหรับจ้าของบริษัทคนนั้น เขาอาจจะอ่านหนังสือต่างประเทศที่เขียนโดยหมอสักคน
ที่ไม่ได้เป็นแนว mainstream และเขามีเงินที่จะสามารถไปหาหมอที่รักษา
โรคออทิซึมด้วยการขับสารพิษได้โดยเฉพาะตามที่เขียนในหนังสือนั้น
แต่สำหรับผม เนื่องจากความรู้ทาง academics หรือ mainstream ทั้งหลาย
ไม่เคยพูดถึงสาเหตุที่แท้จริงของโรคเลย ว่าเกิดขึ้นกับลูกผมได้อย่างไร
มันเหมือนเป็นหัวข้อที่ละไว้ในฐานเข้าใจ เพราะเป็นเรื่องที่ยังค้นไม่พบ
และยังให้ข้อมูลที่เป็นความเชื่อทางการแพทย์มาให้ด้วย ว่ามีสาเหตุจากอะไรบ้าง
เมื่ออ่านดูแล้ว ก็ดูเหมือนว่า คงจะรักษาให้หายไม่ได้แน่นอนครับ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับพันธุกรรม
(ลูกผมเป็นทั้งติกส์และออทิสติก โรคแรกหายไปแล้ว
แต่โรคที่สองดีขึ้นมากแต่อาจจะยังไม่หาย 100% เพราะยังรักษาไม่เสร็จ)
แต่ก็ยังอยากหาสาเหตุที่แท้จริงให้ได้ เพราะที่เขาเขียนก็ระบุว่าเป็น "ความเชื่อในทางการแพทย์"
ถ้าหากเป็นความเชื่อ แสดงว่ายังไม่ใช่ข้อเท็จจริง ผมจึงเริ่มสืบจากประวัติของลูกเรา
ว่าเคยไปเจออะไรมาบ้าง กินอะไรมาบ้าง ลองกินลองไม่กินอาหารบางชนิด
จนรู้ว่า มันคืออาการของยีสต์ ที่มีขึ้นมีลงอยู่ในกระแสเลือด ซึ่งก็เกี่ยวกับเรื่องภูมิแพ้อาหารแฝงด้วย
มันหลาย ๆ อย่างรวมกัน แต่ถ้าเราโฟกัสไปที่ยีสต์ เราเห็นแล้วว่าเรามีโอกาสคุมอาการได้เกือบหมด
หมอไม่คุยกันเรื่องยีสต์ครับ ไม่คุยเลย และเมื่อเข้าไปคุยกับหมอ หมอก็ทำหน้างง ๆ
และในที่สุดเราก็สืบไปจนพบต้นเหตุที่ทำให้ยีสต์มันเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ
ซึ่งนั่นก็คือปรอทที่ร่างกายของเรากักเก็บเอาไว้ เมื่อเช็คประวัติ เช็คระดับสารพิษของตัวพ่อแม่
ทุกอย่างมันแมชท์หมด และจากการศึกษามันค่อนข้างแน่ชัดว่า คนส่วนใหญ่ก็สะสมปรอท
อยู่ในเซลล์ในระดับที่สูงกันทั้งนั้นครับ ตรวจเลือดจะไม่เจอ ตรวจผมอาจจะเจอบ้าง
แต่ที่เจอเหมือน ๆ กัน คือผมจะบอกว่า แร่ธาตุคุณดูไม่ค่อยเวิร์ค ดูผิดเพี้ยน ดูเหมือนขาดสารอาหาร
และมักจะพบ พวกภูมิแพ้ ภูมิแพ้อาหารแฝง ปัญหาลำไส้ เหนื่อยง่าย อ่อนล้าเรื้อรัง
อาจจะเป็นไม่หมดทุกอย่าง แต่เป็นได้หลายอย่าง
ดังนั้นวิธีการของเราเป็นการเช็คแบบวิทยาศาสตร์ แต่แค่ไม่เชื่อ academics หรือ mainstream
เท่านั้นเองครับ เมื่อเราค้นคว้าข้อมูลไปแล้ว จนรู้มากขึ้น เข้าใจมากขึ้น สิ่งที่เรียกว่าความกลัว
มันก็ไม่ใช่ของจริง ว่ามันน่ากลัวจริงๆ เพราะเช่นกันผมก็ต้องศึกษาค้นคว้าเพื่อหา
วิธีการขับสารปรอทที่ปลอดภัย
ที่จริงผมก็เคยไปโรงพยาบาลเพื่อให้หมอขับสารปรอทให้
และลองทำไปแล้วโดยที่ยังไม่ได้ศึกษา เมื่อมีบางโดสที่ลืมกินยา ก็ทำให้ได้สติขึ้นมา
ว่าไม่กลัวเหรอ ที่ทำไปโดยไม่ศึกษาเรื่องนี้เลย ก็เลยต้องกลับมาศึกษาเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
จนรู้ข้อมูลทางด้านเคมีเกี่ยวกับยาที่ใช้ ข้อควรระวังอะไรต่างๆ ทั้งหมด ที่พบว่า
ที่โรงพยาบาลละเลยในเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด โดยเฉพาะการไม่กินยาตามระยะครึ่งชีวิต
แล้ว ALA พาปรอทไปกำจัดออกจากร่างกายไม่ทัน หมดฤทธิ์ของมัน แล้วปรอทเกิดการย้อนกลับ
ซึ่งเรื่องนี้นี่เองที่เป็นต้นเหตุให้ เรื่องของการขับสารพิษเป็นเรื่องที่อันตรายมาก
เพราะการรักษาตามปกติ ไม่เคยสนใจเรื่องระยะครึ่งชีวิตของยาเลย
และไม่สนใจด้วยว่า สารพิษจะถูกพาไปกำจัดออกจากร่างกายได้ทันหมดฤทธิ์ยาหรือไม่
แล้วอวัยวะที่เกี่ยวข้องจะมีความเครียดหรือไม่ ถ้ามีการพาสารพิษลงมาในกระแสเลือดเยอะ
เรื่องของคุณเจนนิเฟอร์ บริโต ก็จะมาจากเพจของคัทเลอร์ ที่ใส่ใจในเรื่องนี้เป็นหลัก
ซึ่งมันช่วยให้การรักษาปลอดภัยอย่างมาก ถ้าหากไม่ปลอดภัยก็ต้องมีเหตุผลทางเคมี
เราซึ่งอยู่ในฝั่งที่รู้ และมีสิ่งที่เหมือนเป็น clinical trial มาร่วม 20 ปี กับคนหลายหมื่นคน
มันค่อนข้างแน่ชัดทั้งในด้านข้อมูลและการปฏิบัติจริง
บอกตามตรงว่าถ้าดูตามนี้ มันยังดูปลอดภัยกว่าวัคซีนล่าสุดที่รีบวิจัยและผลิตออกมาขายให้คนทั่วโลก
ใช้อย่างมาก ตัวนั้นดีกว่าแค่ มีหมอช่วยยืนยันคอนเฟิร์มให้ฉีด แต่ผลกระทบตามมาเยอะมาก
งานศึกษาก็เริ่มทะยอยออกมาให้เห็นเรื่อยๆ แล้วว่า มันร้ายแรงขนาดไหน
แต่มนุษย์เรายังมีความสุขกับเรื่องของความเชื่อ หรือสิ่งที่ฟังแล้วรู้สึกสบายใจ
เราก็พร้อมที่จะทำไป และความสูญเสียก็เกิดขึ้นตามมา ผมคงไม่ต้องบอกว่าอะไรเพราะมันยาว
แต่มันทำให้มีคนตายแน่นอน อันนี้เรื่องจริง ในขณะที่วิธีการขับสารพิษแบบตามระยะครึ่งชีวิตนี้
มีความรัดกุม มีระยะเวลาพิสูจน์ มีข้อมูลกระจ่างชัดทุกอย่าง เพียงแต่คุณต้องอ่านหนังสือเท่านั้น
เพื่อให้มันเห็นจุดเชื่อมโยงอะไรต่างๆ
"แต่มันยังไม่มีงานวิจัยรับรองแบบปกติเพราะมันเป็นลักษณะของผลกระทบ epigenetics"
ซึ่งมันเป็นไม้เบื่อไม้เมาที่ทำให้หมอหรือ academics / mainstream มารับรู้ข้อมูลนี้
มันก็คล้ายกับที่นักฟิสิกส์คลาสสิกรู้สึกไม่ค่อยโอเคกับฟิสิกส์ควอนตัม
เพราะมันเกี่ยวข้องกับความไม่แน่นอน เช่น
สมมติว่า เราพูดไม่ได้ว่าวัคซีนทำให้ตายหรือพิการ มันไม่มีหลักฐาน
แต่จากพยานหลักฐานแวดล้อมและระยะเวลาการเกิดขึ้น
เราสามารถพูดได้ว่า มันอาจมีส่วนเกี่ยวข้องที่กระตุ้นให้เกิดขึ้น
ชาวบ้านจะเข้าใจทันทีว่าวัคซีนทำให้ลูกเขาตาย เพราะฉีดไปแล้ววันรุ่งขึ้นอยู่ๆ ก็ตาย
แต่หมอจะไม่เข้าใจแบบนั้น พวกเขาจะมองว่าเป็นความบังเอิญ
จะโอกาสน้อยแค่ 1 ในล้านล้านล้านล้าน ไม่ว่าจะกี่ล้าน นั่นก็อาจจะเป็นแค่ความบังเอิญ
และเมื่อชันสูตรก็จะพบสาเหตุนั้นสาเหตุนี้ แต่โยงไปไม่ถึงวัคซีนสักที
ทั้งที่ผลกระทบของวัคซีน อาจเป็นแบบ systemic หรือแบบที่ทำให้หลายๆ
ส่วนในร่างกายเกิดขัดข้อง สุดท้าย ชาวบ้านคนนั้นก็ได้รับเงินชดเชยได้จากการได้รับผลกระทบหลังฉีด
แต่เขาก็จะไม่ถือว่า วัคซีนทำให้คนๆ นั้นตายอยู่ดี
นี่คือช่องว่าง ของสิ่งที่เกิดขึ้นจากผลกระทบทาง epigenetics
ดังนั้นถ้าคุณตรวจประวัติของตัวเองแล้วมันใช่ นั่นคือสิ่งที่ยืนยันได้สำหรับคุณ
ว่ามันเป็นประสบการณ์เฉพาะตัว ที่ผลกระทบทาง epigenetics
ทำให้เกิดสิ่งนั้นขึ้นกับคุณครับ เห็นไหมครับว่า เราพึ่งพาหมอได้ถึงแค่ไหน
และเลยจุดไหนไปแล้ว คุณควรจะพึ่งพาตนเอง
นี่ก็คือสิ่งที่ผมอยากจะอธิบายเพิ่มเติมให้ฟังสำหรับกระทู้นี้ครับ ยาวไปนิด