สวัสดีค่ะ วันนี้เราอยากมาเล่าเรื่องประสบการณ์ในวัยเด็กที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณสิบกว่าปีที่แล้ว เป็นประสบการณ์จริงจากครอบครัวของเรา และทำให้เราไม่สามารถลืมได้เลย
ขอเกริ่นก่อนนะคะ
เจ้าของกระทู้มีชื่อว่าเมย์นะคะ
เมื่อประมาณสิบสองถึงสิบสามปีที่แล้ว ในช่วงที่เมย์อายุประมาณ5-6ขวบ แม่ได้เอาเมย์และพี่ชายที่อายุห่างกันสามปีมาฝากตาไว้ที่หมู่บ้านเล็กๆในจังหวัดสระแก้ว ก่อนจะเข้าไปทำงานที่หัวหิน บ้านของตาจะแยกออกจากหมู่บ้านไปที่ท้ายหมู่บ้าน ซึ่งก่อนจะไปถึงบ้านตาจะต้องเดินเข้าไปในซอยที่ห่างออก และจะต้องผ่านสวนมะพร้าวก่อนจะถึงบ้านตา เมื่อผ่านสวนมะพร้าวไปก็จะมีบ้านหลังใหญ่สองชั้นซึ่งก็คือบ้านย่าทวดของเราเอง ซึ่งชั้นแรกจะมีคนอยู่แต่ชั้นสองนี่จะถูกปิดตาย เพราะทุกคนบอกว่าปู่ทวดเฮี้ยนมาก จนไม่สามารถขึ้นชั้นสองได้เลย พอผ่านบ้านหลังนี้ไปก็จะไปเจอบ้านตาเรา ซึ่งเป็นบ้านปูนสังกะสีเล็กๆ มีนาล้อมรอบกับป่าหลังบ้านที่อยู่ติดกับนา ในช่วงวัยเด็กด้วยความที่เราไม่รู้ประสีประสาอะไรมากมายก็ไม่ได้สนใจหรือกลัวอะไรด้วย จนกระทั่งตอนเราอายุแปดปี ด้วยควาที่อยู่กับตาซึ่งไม่สามารถดูแลเรากับพี่ชายได้เต็มที่ แม่ก็เลยให้เรากับพี่ชายย้ายไปอยู่กับน้าน้อย ซึ่งเป็นน้องสาวของแม่เรา ทำให้เราไม่ได้เจอกับตานานมาก แต่ในระหว่างนั้นแม่เราก็มีเงินคืออยู่ในช่วงยุคทักษิณคุณปูด้วย แม่เราก็มีเงินมาสร้างบ้านทีละนิด โดยสร้างบ้านไว้ข้างๆบ้านเก่าตา ซึ่งบ้านหลังใหม่ก็อยู่ถัดจากบ้านตาไปอีก เราอยู่กับน้า และไม่ค่อยได้ไปเยี่ยมตาของเราเลย จนกระทั่งเวลาผ่านไปสองปีแล้ว เราอายุสิบขวบ ซึ่งอยู่ปอสี่ เราได้เข้าไปเยี่ยมตาบ่อยๆเพราะเริ่มได้ข่าวว่าตาป่วยออดแอด ปล.ที่บ้านเราแต่ก่อนทุกคนจะเล่นไฮโลกับไพ่เป็นอาชีพหลักเลยค่ะ ในตอนนั้นตาได้ย้ายของมาอยู่ที่บ้านใหม่แล้ว แต่บ้านใหม่ไม่ได้ติดประตูกับหน้าต่างครบ แต่ถึงตาป่วยออดแอดแม่ก็ไม่ให้เราไปเยี่ยมตาที่บ้านเลยค่ะ จนกระทั่งวันที่12สิงหาคม เป็นวันพุธค่ะเป็นวันที่เราจำได้แม่นที่สุด บรรดาญาติพี่น้องไปรวมตัวที่บ้านใหม่ รวมถึงเราด้วย ในตอนที่เราเห็นตาคือตาเราเดินไม่ได้แล้วค่ะบ้างก็บอกขาเป็นตะคริวแต่ก็ยังเล่นไฮโลและขำได้อยู่ เราถือดอกมะลิที่ติดตรงหน้าอกน่ะค่ะ เนื่องจากวันแม่ แม่เราไม่อยู่ เราก็เลยเอาดอกไม้ไปไหว้ตา ติดดอกมะลิที่อกตา จนเวลาผ่านไปสองวัน ซึ่งเป็นวันที่14 เราก็ใช้ชีวิตตามเดิมจนตอนเย็นมีญาติเราขี่รถมาในรร ระหว่างที่เรากำลังเล่นกระต่ายขาเดียวอยู่ พี่เขาก็เรียกเรามาและบอกว่าตาของเราเสียแล้วนะ จังหวะตอนนั้นเราก็นิ่งไปเลย พอเลิกเรียนก็ไปเก็บเสื้อผ้าไปวัดกัน บรรยากาศที่วัดวันแรกนี่น่ากลัวมาก คนก็เล่าให้เราฟังว่าตาตายในบ้าน นอนตายไปเลย ปล.มีลุงคอยดูแลตาอยู่นะคะจนกระทั่งตอนเช้าแกไปเคาะเรียกประตูที่ตาเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น
บรรยากาศที่วัดก็น่ากลัวมากๆเพราะข้างหลังวัดเป็นป่าช้าคริสต์ พอตกกลางคืนก็เพิ่มบรรยากาศไปอีก แม่เราก็รีบขับรถมาจากต่างจังหวัดเลยล่ะค่ะ เมื่อพระเริ่มสวดในคืนแรกทุกอย่างดูปกติดี แต่ไม่ค่ะไฟติดๆดับๆตลอด จนย่าทวดต้องลุกไปเคาะโลงศพ ไฟถึงกลับมาปกติ พอตกดึกทุกคนก็แยกย้ายกัน แต่ยายสีซึ่งเป็นแฟนเก่าตากับลูกพี่ลูกน้องของเราสองคนเป็นผู้ชายกลับไปนอนบ้านที่ตาเสีย เพราะที่วัดเป็นวัดเล็กๆและมีคนนอนเยอะแล้วเลยตัดสินใจกลับไปนอนที่บ้านตา พอวันต่อมาทุกคนมานั่งคุยกันว่ามีคนเห็นตานั่งอยู่บนโลง
ส่วนยายสีกับลูกพี่ลูกน้องเล่าว่า ไปนอนตรงกลางบ้านกัน ช่วงดึกมาได้ยินเสียงคนตำน้ำพริก และไอกระแฮ่มๆ ที่ห้องครัว ยายได้ยินเสียงตาถือไม้เท้าเดินรอบบ้าน หมาที่บ้านก็หอน และเปลี่ยนเสียงเหมือนกำลังเล่นกับใครอยู่ในตอนนั้นทุกคนเริ่มไม่ไหวละนอนไม่ได้ สุดท้ายก็หนีมานอนวัด จนจบงานศพเป็นงานที่ทุลักทุเลมาก บ้านหลังใหม่ที่พึ่งสร้างเสร็จก็ไม่มีใครเข้าไปอยู่ เราไปนอนบ้านน้าตกดึกมาเสียงมาหอนจนเรากลัวและนอนไม่ได้เลยค่ะ เราเลยอธิษฐานขอให้ย่าที่บ้านช่วยทำให้เสียงเงียบทีค่ะ ภายในเวลาไม่ถึงสามนาทีทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม เสียงหมาหอนกลับเงียบ
ปล.มีต่ออีพีสองด้วยนะคะ
คุณตาของฉัน
ขอเกริ่นก่อนนะคะ
เจ้าของกระทู้มีชื่อว่าเมย์นะคะ
เมื่อประมาณสิบสองถึงสิบสามปีที่แล้ว ในช่วงที่เมย์อายุประมาณ5-6ขวบ แม่ได้เอาเมย์และพี่ชายที่อายุห่างกันสามปีมาฝากตาไว้ที่หมู่บ้านเล็กๆในจังหวัดสระแก้ว ก่อนจะเข้าไปทำงานที่หัวหิน บ้านของตาจะแยกออกจากหมู่บ้านไปที่ท้ายหมู่บ้าน ซึ่งก่อนจะไปถึงบ้านตาจะต้องเดินเข้าไปในซอยที่ห่างออก และจะต้องผ่านสวนมะพร้าวก่อนจะถึงบ้านตา เมื่อผ่านสวนมะพร้าวไปก็จะมีบ้านหลังใหญ่สองชั้นซึ่งก็คือบ้านย่าทวดของเราเอง ซึ่งชั้นแรกจะมีคนอยู่แต่ชั้นสองนี่จะถูกปิดตาย เพราะทุกคนบอกว่าปู่ทวดเฮี้ยนมาก จนไม่สามารถขึ้นชั้นสองได้เลย พอผ่านบ้านหลังนี้ไปก็จะไปเจอบ้านตาเรา ซึ่งเป็นบ้านปูนสังกะสีเล็กๆ มีนาล้อมรอบกับป่าหลังบ้านที่อยู่ติดกับนา ในช่วงวัยเด็กด้วยความที่เราไม่รู้ประสีประสาอะไรมากมายก็ไม่ได้สนใจหรือกลัวอะไรด้วย จนกระทั่งตอนเราอายุแปดปี ด้วยควาที่อยู่กับตาซึ่งไม่สามารถดูแลเรากับพี่ชายได้เต็มที่ แม่ก็เลยให้เรากับพี่ชายย้ายไปอยู่กับน้าน้อย ซึ่งเป็นน้องสาวของแม่เรา ทำให้เราไม่ได้เจอกับตานานมาก แต่ในระหว่างนั้นแม่เราก็มีเงินคืออยู่ในช่วงยุคทักษิณคุณปูด้วย แม่เราก็มีเงินมาสร้างบ้านทีละนิด โดยสร้างบ้านไว้ข้างๆบ้านเก่าตา ซึ่งบ้านหลังใหม่ก็อยู่ถัดจากบ้านตาไปอีก เราอยู่กับน้า และไม่ค่อยได้ไปเยี่ยมตาของเราเลย จนกระทั่งเวลาผ่านไปสองปีแล้ว เราอายุสิบขวบ ซึ่งอยู่ปอสี่ เราได้เข้าไปเยี่ยมตาบ่อยๆเพราะเริ่มได้ข่าวว่าตาป่วยออดแอด ปล.ที่บ้านเราแต่ก่อนทุกคนจะเล่นไฮโลกับไพ่เป็นอาชีพหลักเลยค่ะ ในตอนนั้นตาได้ย้ายของมาอยู่ที่บ้านใหม่แล้ว แต่บ้านใหม่ไม่ได้ติดประตูกับหน้าต่างครบ แต่ถึงตาป่วยออดแอดแม่ก็ไม่ให้เราไปเยี่ยมตาที่บ้านเลยค่ะ จนกระทั่งวันที่12สิงหาคม เป็นวันพุธค่ะเป็นวันที่เราจำได้แม่นที่สุด บรรดาญาติพี่น้องไปรวมตัวที่บ้านใหม่ รวมถึงเราด้วย ในตอนที่เราเห็นตาคือตาเราเดินไม่ได้แล้วค่ะบ้างก็บอกขาเป็นตะคริวแต่ก็ยังเล่นไฮโลและขำได้อยู่ เราถือดอกมะลิที่ติดตรงหน้าอกน่ะค่ะ เนื่องจากวันแม่ แม่เราไม่อยู่ เราก็เลยเอาดอกไม้ไปไหว้ตา ติดดอกมะลิที่อกตา จนเวลาผ่านไปสองวัน ซึ่งเป็นวันที่14 เราก็ใช้ชีวิตตามเดิมจนตอนเย็นมีญาติเราขี่รถมาในรร ระหว่างที่เรากำลังเล่นกระต่ายขาเดียวอยู่ พี่เขาก็เรียกเรามาและบอกว่าตาของเราเสียแล้วนะ จังหวะตอนนั้นเราก็นิ่งไปเลย พอเลิกเรียนก็ไปเก็บเสื้อผ้าไปวัดกัน บรรยากาศที่วัดวันแรกนี่น่ากลัวมาก คนก็เล่าให้เราฟังว่าตาตายในบ้าน นอนตายไปเลย ปล.มีลุงคอยดูแลตาอยู่นะคะจนกระทั่งตอนเช้าแกไปเคาะเรียกประตูที่ตาเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น
บรรยากาศที่วัดก็น่ากลัวมากๆเพราะข้างหลังวัดเป็นป่าช้าคริสต์ พอตกกลางคืนก็เพิ่มบรรยากาศไปอีก แม่เราก็รีบขับรถมาจากต่างจังหวัดเลยล่ะค่ะ เมื่อพระเริ่มสวดในคืนแรกทุกอย่างดูปกติดี แต่ไม่ค่ะไฟติดๆดับๆตลอด จนย่าทวดต้องลุกไปเคาะโลงศพ ไฟถึงกลับมาปกติ พอตกดึกทุกคนก็แยกย้ายกัน แต่ยายสีซึ่งเป็นแฟนเก่าตากับลูกพี่ลูกน้องของเราสองคนเป็นผู้ชายกลับไปนอนบ้านที่ตาเสีย เพราะที่วัดเป็นวัดเล็กๆและมีคนนอนเยอะแล้วเลยตัดสินใจกลับไปนอนที่บ้านตา พอวันต่อมาทุกคนมานั่งคุยกันว่ามีคนเห็นตานั่งอยู่บนโลง
ส่วนยายสีกับลูกพี่ลูกน้องเล่าว่า ไปนอนตรงกลางบ้านกัน ช่วงดึกมาได้ยินเสียงคนตำน้ำพริก และไอกระแฮ่มๆ ที่ห้องครัว ยายได้ยินเสียงตาถือไม้เท้าเดินรอบบ้าน หมาที่บ้านก็หอน และเปลี่ยนเสียงเหมือนกำลังเล่นกับใครอยู่ในตอนนั้นทุกคนเริ่มไม่ไหวละนอนไม่ได้ สุดท้ายก็หนีมานอนวัด จนจบงานศพเป็นงานที่ทุลักทุเลมาก บ้านหลังใหม่ที่พึ่งสร้างเสร็จก็ไม่มีใครเข้าไปอยู่ เราไปนอนบ้านน้าตกดึกมาเสียงมาหอนจนเรากลัวและนอนไม่ได้เลยค่ะ เราเลยอธิษฐานขอให้ย่าที่บ้านช่วยทำให้เสียงเงียบทีค่ะ ภายในเวลาไม่ถึงสามนาทีทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม เสียงหมาหอนกลับเงียบ
ปล.มีต่ออีพีสองด้วยนะคะ